บทที่ 319 สถานที่เกิดเหตุ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ไม่เจ็บ ฉันแค่เสียใจมากๆ แม้แต่ความจริงที่แม่ฉันเสียชีวิตฉันยังสืบไม่ได้”น้ำตาของวารุณีไหลออกมา ไหลลงไปที่นิ้วโป้งของเขาพอดี รู้สึกอุ่นๆ

นัทธีปล่อยมือของเธอ ไปเช็ดน้ำตาให้เธอ

วารุณีกลับโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขาโดยตรง หลังจากเขาเช็ดเสร็จ เสียงนั้นสะอึกสะอื้นอย่างมาก“นัทธี ฉันไม่มีแม่แล้ว……”

“ผมรู้”นัทธีกอดแผ่นหลังเธอไว้ ตบเบาๆ“แต่คุณยังมีผม ยังมีลูกทั้งสอง ยังมีศรัณย์”

“ศรัณย์?”เหมือนถูกเตือนอะไรได้ วารุณีดันเขาออก ยกแขนขึ้นมา ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ“คุณพูดถูก ยังมีศรัณย์ ฉันเกือบลืมบอกศรัณย์ไป”

พูดไป เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาเบอร์ศรัณย์

ศรัณย์กำลังนอนอยู่ ยังไงที่ต่างประเทศก็มืดแล้ว ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ทนความง่วงคลำเอาโทรศัพท์ที่หัวเตียง ไม่ได้ดูเบอร์ที่โชว์ ก็เอาไว้ข้างหูเลย“ใครเหรอ?”

“ศรัณย์ พี่เอง”วารุณีถูกนัทธีประคองให้นั่งลงไป

นัทธีก็นั่งอยู่ข้างเธอ หยิบแฟ้มคดีตรงหน้าเธอ แล้วก้มลงอ่านอีกครั้ง

ที่ต่างประเทศ ศรัณย์ได้ยินว่าเป็นวารุณี ก็ยิ้ม รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนอย่างเงียบๆ เหมือนกับเทวดา“พี่เองเหรอ มีอะไรเปล่า?”

“ศรัณย์ พี่…..”ริมฝีปากของวารุณีขยับ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร

ศรัณย์ตอบอืออย่างสงสัย“พี่?”

“ศรัณย์ คือแม่……”

“แม่เป็นอะไร?”ศรัณย์ฟังความเศร้าที่วารุณีอัดอั้นไว้ในน้ำเสียงออก แล้วก็ได้สติมาทันที นั่งขึ้นมาจากเตียง รีบถามว่า“พี่ พี่รีบพูดมาเถอะ!”

เขาพูดเร่ง

มือวารุณีที่ถือโทรศัพท์ก็สั่น“พี่บอกไปแล้ว นายต้องใจเย็นนะเข้าใจไหม?”

ถึงแม้หัวใจของศรัณย์ได้รับการผ่าตัดบายพาสแล้ว แต่ยังไงหัวใจก็ยังมีปัญหาอยู่ เธอกลัวว่าเขาได้ยินข่าวที่แม่เสียชีวิตแล้ว จะรับแรงกระตุ้นไม่ไหว แล้วเป็นอะไรไป

“ผมรู้ วางใจเถอะพี่ ผมจะใจเย็น”ศรัณย์สูดหายใจลึกๆแล้วพูด

วารุณีเอามือวางไว้ที่แขนของนัทธี อยากได้ความกล้าหาญจากเขาตรงนั้น จากนั้นพูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า“แม่เขา……เสียแล้ว!”

ตูม!

ศรัณย์แค่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองโดนฟ้าผ่า ตะลึงงันไปทั้งตัว สักพักจึงส่งเสียงกลับมา เสียงนั้นแหบแห้งสุดๆ“พี่ พี่พูดอะไร?”

“แม่ไม่อยู่แล้ว!”วารุณีกัดริมฝีปาก พูดใหม่อีกรอบ

ตุบ!

โทรศัพท์ไหลลงจากมือของศรัณย์ หล่นลงเตียง

วารุณีได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่เข้ามาในสาย ก็ตกใจจนยืนขึ้นมา

นัทธีเห็นเธอแบบนี้ สีหน้าก็ซีเรียสขึ้นมาทันที“เป็นอะไร?”

วารุณีไม่ตอบเขา แต่กำโทรศัพท์แน่นพูดไปที่สายว่า:“ศรัณย์ ศรัณย์นายไม่เป็นไรใช่ไหม?อย่าทำพี่ตกใจสิ ศรัณย์!”

ศรัณย์ได้ยินคำถามที่ดูเป็นห่วงของวารุณีในสาย ในที่สุดก็ได้สติคืนมา เก็บโทรศัพท์ที่เตียง

ก็แค่มือของเขา กลับสั่นอย่างมาก จับอยู่หลายครั้งถึงคว้าโทรศัพท์ได้ จากนั้นยกมาไว้ที่ข้างหูสั่นๆ พูดออกไป เสียงนั้นสะอึกสะอื้น“พี่……ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมแม่ไม่อยู่แล้ว เมื่อวานเธอยังคุยโทรศัพท์กับผมอยู่เลย!”

วารุณีได้ยินเสียงร้องไห้ของศรัณย์ น้ำตาของตัวเอง ก็ไหลออกมาอย่างทนไม่ไหว เอาหน้าซุกที่ไหล่ของนัทธี พูดเรื่องที่วรยาเกิดเรื่องออกมา

ศรัณย์ฟังจบ รูม่านตาก็หดลงอย่างมาก พึมพำว่า:“เพราะผม……ผมทำร้ายมาจนตาย ถ้าไม่ใช่เพื่อผม แม่ก็คงไม่ไปตระกูลศรีสุขคํา เพราะผม พี่ เป็นความผิดผมเอง……”

“ไม่ใช่ ศรัณย์ ไม่ใช่ความผิดนาย”วารุณีเงยหน้าขึ้น รีบพูด

แต่ศรัณย์กลับไม่ฟัง คิดอย่างเดียวว่าเป็นความผิดตัวเอง เอาแต่โทษตัวเอง เหมือนเธอเมื่อวาน

นัทธีหยิบโทรศัพท์ของวารุณีมา ภายใต้ความประหลาดใจของเธอประหลาดใจ“คุณโทษตัวเองอยู่ที่นั่น ก็ไม่สู้กลับประเทศมา แล้วจัดการเรื่องงานศพของแม่คุณดีกว่า”

“คุณเป็นใคร?”ศรัณย์ได้ยินว่าในสายไม่ใช่วารุณี แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เสียงก็หม่นลงขึ้นเยอะ

นัทธีมองวารุณี“พี่เขยคุณเอง”

วารุณีหน้าแดง

ศรัณย์อ้าปากอย่างตกใจ“คุณคือพี่เขย?”

“อือ”นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย“เมื่อกี๊ที่คุณคุยกับพี่สาวคุณผมได้ยินหมดแล้ว การตายของแม่พวกคุณ ไม่เกี่ยวกับพวกคุณเลย พวกคุณจะโทษก็ต้องโทษสามีภรรยาสุภัทรนั่น แต่ว่าก่อนตรงนั้น คุณต้องกลับประเทศก่อน พี่สาวคุณต้องการคุณอยู่ข้างๆ นอกจากนี้แล้วคดีความของแม่พวกคุณกับสุภัทร ก็ต้องการให้คุณปรากฏตัว”

วรยาตายแล้ว พวกเขาสองคนพี่น้องคือคนที่เสียใจที่สุด อยู่ด้วยกันก็สามารถปลอบใจกันได้

ซึ่งมีประโยชน์อย่างมาก กับการขจัดความเสียใจของวารุณีออกไป

“ผมเข้าใจแล้วพี่เขย ผมจะซื้อตั๋วกลับประเทศทันที”ศรัณย์สูดจมูกขึ้นแล้วพูด

นัทธีตอบอือ แล้วยื่นโทรศัพท์ให้วารุณี

วารุณีก็พูดอย่างอื่นกับศรัณย์อีกหน่อย แล้ววางสาย

จากนั้น ทั้งสองก็ออกไปจากโรงพัก ไปที่ตระกูลศรีสุขคํา ตรวจดูสถานที่เกิดเหตุของวรยา

สถานที่เกิดเหตุถูกทางตำรวจปิดล็อกแล้ว และยังมีตำรวจสืบหาอยู่ด้านใน พวกวารุณีมีใบรับรองของทางตำรวจ ดังนั้นจึงเข้าไปอย่างง่ายดาย

พอเข้าไป วารุณีก็มองเห็นพื้น ตำรวจใช้เส้นขาววาดรูปร่างคนออกมา นั่นก็คือจุดที่วรยาตกบันไดแล้ว นอนลง

พอมองที่ตรงนั้นแล้ว วารุณีก็ทรุดตัวลงไป ปิดหน้าร้องไห้ออกมา

นัทธียืนอยู่ข้างๆเธอ อยู่เป็นเพื่อนอย่างไม่ส่งเสียงใดๆ

ร้องไห้อยู่นาน วารุณีก็ยืนขึ้นมา สูดหายใจลึกๆแล้ว ก็กะพริบตาที่บวมแดง แล้วก็ถูกนัทธีดึงขึ้นมา

“ฉันอยากไปดูข้างบน”วารุณีเงยมองด้านบน

นัทธีพยักหน้า“ผมไปกับคุณเอง”

“ค่ะ”วารุณีฉีกยิ้มออกไป ถูกเขาประคองขึ้นไปด้านบน

เธอไม่ถูกประคองก็ไม่ได้ ร้องไห้ไปหลายรอบ จึงไม่มีแรงแล้ว

บวกกับเมื่อกี๊นั่งยองมากไป ขาจึงชา

แป๊บเดียว ทั้งสองก็ขึ้นมา วารุณียืนอยู่ที่ราวบันไดและมองลงมา

ถึงคฤหาสน์นี้จะมีสองชั้น แต่ความสูงกลับสิบกว่าเมตร ตกลงไปจากบันไดที่สั่นแบบนี้ พอคิดดู ก็รู้เลยว่าจะมีจุดจบแบบไหน

สองมือวารุณีจับราวบันไดไว้อย่างแน่น สายตานั้นจ้องรูปร่างคนที่ชั้นล่างเขม็ง พูดเสียงแหบ:“นัทธี คุณว่า ตอนนั้นที่แม่ฉันตกลงไปจากตรงนี้ จะเจ็บปวดหมดหวังแค่ไหนกันนะ”

สายตานัทธีสั่นคลอน ไม่พูด

วารุณีก็ไม่ได้จะให้เขาพูด ยังไงก็แค่อุทาน

ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงนี้สักพัก ไม่พบร่องรอยที่น่าสงสัย ก็มีตำรวจมาเร่งให้ทั้งสองคนออกไป

ยังไงก็เป็นสถานที่เกิดเหตุ ถึงแม้พวกเขาได้ใบรับรองที่เข้าไปได้ ก็มีเวลาจำกัด แค่หนึ่งชั่วโมง

ตอนนี้ถึงหนึ่งชั่วโมงแล้ว ควรไปได้แล้ว

วารุณีก็ไม่ทำให้ตำรวจลำบากใจ ออกไปจากตระกูลศรีสุขคํากับนัทธี กลับไปที่คฤหาสน์

เพราะว่าวรยาเสียชีวิต เด็กทั้งสองคนจึงลา ไม่ได้ไปโรงเรียนอนุบาล รออยู่ที่คฤหาสน์ตลอด เห็นวารุณีกับนัทธีกลับมา ก็รีบวิ่งไป เกาะขาคนละข้าง

“หม่ามี๊ พวกเราไม่มีคุณยายแล้วเหรอ?”ไอริณเงยหน้าเล็กๆขึ้นมา ถามด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ

วารุณีลูบหัวของเธอ ทำเป็นตอบไปอย่างเข้มแข็งว่า:“มีสิ คุณยายเป็นยายของไอริณตลอดไป แค่ต่อไปคุณยายไม่อยู่ข้างๆไอริณแล้ว แต่ไปอยู่บนฟ้า”

พูดไป เธอก็ชี้ไปที่ฟ้า

ไอริณกะพริบตาปริบๆ“จริงเหรอคะ?”

นัทธีอุ้มไอริณขึ้นมา“จริงๆ คุณยายกลายเป็นดาว ตอนดึกไอริณถึงจะเห็นได้ ดวงที่สว่างที่สุด ก็คือคุณยาย”

“พ่อพูดถูก”อารัณก็พยักหน้า

เขาฉลาดกว่าไอริณมาก ยังเรียนหลักสูตรมัธยมปลายอยู่ ดังนั้นจึงเข้าใจดีว่าอะไรคือการตาย ไม่เหมือนไอริณที่รู้ครึ่งหนึ่ง

ดังนั้นเขาเสียใจคนเดียวก็พอแล้ว เขาหวังว่าไอริณจะมีความสุขตลอดไป ยังไง เธอก็คือน้องสาวที่เขาสาบานแล้วว่าจะปกป้องไปตลอดชีวิต