ถ้าหากเจียงซื่อได้รับดอกเหมยเพียงแค่ดอกเดียว เฝิงเหล่าฮูหยินก็จะดีใจมาก
เพราะยังไงก็ไม่มีทางได้เป็นพระชายาอ๋องอยู่แล้ว การได้รับดอกเหมยจากองค์ชายท่านใดท่านหนึ่ง อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าหลานสาวของนางสวยสง่าและเป็นเกียรติแก่จวนตงผิงปั๋ว แต่ทว่าเจียงซื่อไม่ใช่แค่ได้รับดอกเหมยแค่ดอกสองดอก นี่มันดอกเหมยหกดอกเชียวนะ!
ไม่ว่าเยี่ยนอ๋องจะคิดอย่างไรก็ตาม การนำดอกเหมยหกดอกมามอบให้เจียงซื่อเพียงคนเดียวนั้น คนที่โดนผลักออกไปยังจุดที่อันตรายที่สุดก็คือเจียงซื่อแห่งจวนตงผิงปั๋ว
สตรีเพียงผู้เดียวที่ได้รับดอกเหมยทั้งหมดจากองค์ชาย พวกชนชั้นสูงจะคิดอย่างไรกัน
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นท่าไม่ดี จ้องเจียงซี่อเขม็งแล้วเอ่ยถามออกไป “เยี่ยนอ๋องนำดอกเหมยทั้งหมดมอบให้กับเจ้า จวงเฟยเหนียงเหนียงกับเสียนเฟยเหนียงเหนียงว่าอย่างไรกันบ้าง”
เจียงซื่อตอบตามความจริง “จวงเฟยเหนียงเหนียงไม่ได้ตรัสอะไร ส่วนเสียนเฟยเหนียงเหนียงตรัสว่าเยี่ยนอ๋องทำเช่นนี้มันไม่ถูกทำนองคลองธรรม…”
“มันไม่ถูกทำนองคลองธรรมแน่นอน!” เฝิงเหล่าฮูหยินกระทืบเท้าออกมาอีกครั้ง สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
ถึงเยี่ยนอ๋องจะก่อเรื่องยังไงเขาก็เป็นองค์ชาย อย่างมากก็ถูกฮ่องเต้เรียกพบเท่านั้น แต่ว่าเจียงซื่อล่ะ
หากเรื่องที่งานชมดอกเหมยแพร่งพรายออกไป ผู้คนจะต้องหาว่าเจียงซื่อเป็นต้นตอของปัญหาแน่
และจวนตงผิงปั๋วที่เลี้ยงดูตัวปัญหาออกมาจะถูกพูดถึงในทางที่ดีได้อย่างไร
เพียงแค่คิดเฝิงเหล่าฮูหยินก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
ปีนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับจวนตงผิงปั๋วกันแน่ มีแต่เรื่องโชคร้ายเกิดขึ้น คุณหนูสองคนถูกหย่า ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นตัวซวย แล้วคนที่เหลือจะได้แต่งงานออกเรือนหรือไม่
มาถึงตอนนี้แล้ว ที่จริงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่จะสามารถทำให้จวนตงผิงปั๋วหลีกหนีจากความลำบากใจนี้ได้นั่นก็คือเจียงซื่อกลายเป็นพระชายาของเยี่ยนอ๋องจริงๆ
ทว่าความเป็นไปได้นี้แวบผ่านเข้ามาในใจเฝิงเหล่าฮูหยินเพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วนางก็หัวเราะเยาะออกมาเป็นนัยว่าเป็นไปไม่ได้หรอก
เจียงซื่อกลายเป็นพระชายาอ๋องงั้นหรือ คำพูดแบบนี้นางไม่กล้าจะเอ่ยขึ้นมาแม้แต่คำเดียว ถ้าพูดออกมาก็คงจะถูกคนอื่นหัวเราะใส่จนฟันร่วง
“เจียงซื่อ เจ้าเล่าเรื่องในงานเลี้ยงชมดอกเหมยมาให้ข้าฟังอย่างละเอียดเลยนะ โดยเฉพาะเรื่องหลังจากที่เยี่ยนอ๋องมอบดอกเหมยให้เจ้า”
เจียงซื่อสังเกตได้ถึงน้ำเสียงของเฝิงเหล่าฮูหยินที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะไปงานชมดอกเหมย น้ำเสียงของนางทั้งอ่อนโยนมีเมตตา แต่ตอนนี้กลับมาพูดจาคาดคั้น
เจียงซื่อยิ้มมุมปากอออกมาเล็กน้อย พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงชมดอกเหมยให้เฝิงเหล่าฮูหยินฟังอย่างไม่เร่งรีบ
เหล่าฮูหยินเป็นผู้อาวุโส ส่วนนางเป็นผู้น้อย ถึงจะใจร้อนหรือหงุดหงิดเพียงไหน ก็ต้องมีท่าทีและสติเป็นพื้นฐาน
เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ก็เสด็จมาด้วย ใบหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินราวกับถูกแป้งผัดหน้า มันซีดขาวจนน่าตกใจ ลูกประคำในมือถูกหมุนอย่างรวดเร็ว
“กลับเรือนไห่ถังเถอะ” เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อยากจะมองหน้าเจียงซื่อแล้ว จึงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “จากนี้ไปให้อยู่แต่ในเรือนไห่ถังอ่านหนังสือ ปักผ้า ไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่ต้องออกมา และยิ่งไปว่านั้นก็คือไม่ต้องออกไปไหน”
ในเมื่อเป็นอย่างที่นางเล่า ฮ่องเต้กับเสียนเฟยต่างเอ่ยว่าจะไม่นับเรื่องการมอบดอกเหมย นี่มันชัดเจนมากว่าจะไม่เอาเรื่องที่เยี่ยนอ๋องมอบดอกเหมยมาจริงจังทำเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งเจียงซื่อก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันในงานเลี้ยงดอกไม้ จากนี้ไปพวกชนชั้นสูงจะพูดถึงเจียงซื่อในทางที่ดีได้อย่างไร
เวลานี้จึงทำได้เพียงให้เจียงซื่ออยู่แต่ในเรือน จะได้ไม่ต้องออกไปขายขี้หน้าใคร
เจียงซื่อเงยหน้ามองเฝิงเหล่าฮูหยิน พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ท่านย่าจะกักบริเวณข้างั้นหรือ”
คำพูดบางคำอาจจะปลอยผ่านไปได้ แต่บางคำกลับต้องอธิบายให้ชัดเจน
หากนางเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วได้เป็นพระชายาอ๋อง ท่านย่าก็ยังคงเป็นผู้อาวุโสผู้มีเมตตาเช่นเดิม นางไม่อาจพูดจาไม่ให้เกียรติได้
ตอนนี้ท่านย่าได้เผยความคิดออกมาตรงๆ อย่างน้อยหลังจากที่ฐานะของนางเปลี่ยนไป นางจะทำตัวเย็นชาเล็กน้อยท่านย่าก็คงจะสำนึกได้อยู่ อย่าเอาแต่คิดว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสจึงไม่คำนึงถึงฐานนะตัวตนของตัวเอง
เฝิงเหล่าฮูหยินหน้าสั่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตะลึงงัน
เด็กคนนี้ยังจะกล้าถามออกมาเช่นนี้อีกรึ!
“ไม่เช่นนั้นเล่า!” เฝิงเหล่าฮูหยินสบตากับเจียงซื่อ แล้วเอ่ยถามขึ้นเสียงแข็ง
เจียงซื่อทำหน้านิ่ง “ไม่ทราบว่าข้าทำอะไรผิด ท่านขึ้นถึงจะกักบริเวณข้า”
ท่าทางของนางยั่วโมโหเฝิงเหล่าฮูหยินให้อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เหล่าฮูหยินหยิบกาน้ำชาเขวี้ยงออกไป พลางเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน “เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกรึ ไร้ยางอายเสียจริง!”
เจียงซื่อไม่ได้หลบ กาน้ำชาจึงโดนตัวนางเข้าอย่างจัง
ผ่านไปเพียงครู่เดียว…มันรู้สึกเจ็บมาก
น้ำชาร้อน แต่โชคดีที่เทลงในแก้วไว้ครู่หนึ่งอุณหภูมิจึงเปลี่ยน น้ำชาไหลตามชายเสื้อลงไป เสื้อคลุมสีแดงกุหลาบเปื้อนไปด้วยคราบสีน้ำตาล
เจียงซื่อได้แต่ถอนในใจอยู่ในใจ
เสียดายชุดใหม่จริงๆ เลย นางชอบเสื้อคลุมสีแดงกุหลาบตัวนี้มากเลยทีเดียว
น้ำเสียงพูดของเหล่าฮูหยินแข็งกระด้างราวกับหินกรวด ทั้งแห้งหยาบและแหลมสูง “เจ้าก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ในงานเลี้ยมชมดอกเหมยอันดีงาม ยังจะอยากเสนอหน้าออกไปให้ผู้คนชี้หน้าว่ากล่าวอีกงั้นหรือ เจ้าไม่อับอายขายขี้หน้าใคร แต่จวนปั๋วขายขี้หน้า!”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
เจียงซื่อหันไปมองตาม ก็เห็นเจียงอันเฉิงกับนายท่านเจียงซานเดินตามกันเข้ามา
มีบางกิจการของจวนปั๋วที่เปิดทำการมาแล้วจำเป็นต้องได้รับการจัดการครั้งใหม่ เจียงอันเฉิงกับนายท่านเจียงซานจึงต้องออกไปดูตั้งแต่ช่วงเทศกาลโคมไฟ ในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนหนึ่ง
เมื่อกวาดสายตามองคราบเลอะเทอะบนร่างของเจียงซื่อ เจียงอันเฉิงสีหน้าเปลี่ยนทันควัน “ท่านแม่มีเรื่องอะไรทำไมถึงไม่พูดกันดีๆ ซื่อเอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง เหตุใดถึงต้องลงไม้ลงมือกันด้วย”
เฝิงเหล่าฮูหยินชี้ไปยังเด็กสาวที่ปิดปากเงียบ “เจ้ายังจะปกป้องนางอีกหรือ นางก่อเรื่องไว้ขนาดนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเจ้าปล่อยปะละเลยนาง!”
เจียงอันเฉิงถีบเก้าอี้นั่งตัวเล็กปลิวออกไป “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เขาเพิ่งจะออกจากจวนไปได้ไม่กี่วัน นึกไม่ถึงเลยว่าจะปฏิบัติต่อลูกสาวเขาอย่างโหดร้ายเช่นนี้ หากออกไปนานกว่านี้อีกหน่อยกลับมาคงไม่ต้องเก็บศพลูกสาวตัวเองเลยหรือ
เก้าอี้นั่งตัวเล็กปลิวออกไปกระแทกเข้ากับผนัง เกิดเป็นเสียงดังลั่น คนรับใช้ด้านนอกตกใจจนต้องออกมาชะเง้อมองข้างนอกห้อง ทว่าอาฝูสาวรับใช้ที่อยู่ในห้องรับรู้ได้ถึงความอันตรายจนแทบยืนไม่อยู่
นายท่านเจียงซานรีบเข้าไปดึงแขนเจียงอันเฉิงไว้ “พี่ใหญ่ อย่างใจร้อนไปเลย มีอะไรค่อยๆ พูดกันเถอะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินโกรธจนตัวสั่น “เหล่าต้า นี่เจ้าจะทำร้ายแม่แท้ๆ ของเจ้างั้นรึ”
เจ้าลูกอกตัญญู น่าโมโหจริงๆ เลย!
“ลูกมิอาจหรอกขอรับ ลูกแค่รู้สึกว่าเก้าอี้นั่งตัวเล็กนั่นมันเกะกะสายตา ถีบออกไปให้พ้นถึงจะสบายใจ”
“เจ้า เจ้าไสหัวออกไปซะ!”
เจียงอันเฉิงไม่ขยับเขยื้อน “ท่านแม่พูดออกมาเถอะว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านถึงได้โกรธมากขนาดนี้”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจียงซื่อสร้างปัญหาไว้ใหญ่มากแค่ไหน”
เฝิงเหล่าฮูหยินเล่าเรื่องงานเลี้ยงชมดอกเหมยออกมา เจียงอันเฉิงยิ่งฉุนเฉียวเข้าไปใหญ่ “อะไรกัน พระราชวังเลือกพระชายาให้องค์ชายแถมยังส่งเทียบเชิญให้ซื่อเอ๋อร์อีก เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้”
เขาโกรธจนทนไม่ไหว มองซ้ายมองขวา แล้วเดินไปถีบเก้าอี้นั่งตัวเล็กที่ล้มอยู่กับพื้น
“มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก เจียงซื่อก่อเรื่องฉาวโฉ่ไว้ ไม่ให้นางอยู่ที่เรือนเฉยๆ จะให้นางออกไปขายขี้หน้าข้างนอกงั้นรึ”
เจียงอันเฉิงหัวเราะเยาะออกมา “หากต้องพูดถึงคนที่ไร้ยางอาย เช่นนั้นก็คงจะต้องเป็นเยี่ยนอ๋องต่างหากที่ไร้ยางอาย ทำไมถึงกลายเป็นซื่อเอ๋อร์ที่ผิดได้ และหากคนทั่วไปคิดเช่นนี้มันก็เป็นการรังแกคนที่อ่อนแอชัดๆ ท่านแม่เป็นคนฉลาดและมีวิสัยทัศน์ เพราะฉะนั้นอย่าได้ให้คนที่ขี้ขลาดและไร้คุณสมบัติพวกนั้นมาส่งผลกระทบต่อท่านได้ ท่านสงบสติอารมณ์เถอะ ข้าขอตัวพาซื่อเอ๋อร์ออกไปก่อน”
“เหล่าต้า…” เมื่อเห็นว่าเจียงอันเฉิงดึงเจียงซื่อออกไปโดนไม่หันหลังกลับมามอง เฝิงเหล่าฮูหยินที่ลุกขึ้นตะโกนออกไปหลายครั้งเดินวนไปวนมาด้วยความโกรธ ปลายเท้าแตะโดนเก้าอี้นั่งตัวเล็กที่ยังไม่หยุดนิ่ง จึงออกแรงถีบมันออกไปที่กำแพง
นางทำบาปทำกรรมอะไรไว้นะ ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กล้วนทำให้นางไม่สบายใจ!
นายท่านเจียงซานแอบจับเก้าอี้นั่งตัวเล็กขึ้นมาตั้ง จากนั้นทำความเคารพแล้วขอตัวออกไป
จริงๆ เลย เก้าอี้นั่งตัวเล็กนี้ไปอยู่ที่ใครก็ทำให้คนผู้นั้นหงุดหงิด