เจียงอันเฉิงเดินออกมาอย่างรวดเร็ว เจียงซื่อเดินตามอยู่ข้างหลัง
เจียงอันเฉิงหยุดกึกพลางเหลือบมองลูกสาว ความโกรธคุกรุ่นราวกับเปลวไฟท่ามกลางสายลม ที่บางเวลาก็ลุกโชติช่วง บางเวลาก็มอดลง
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง เขาเอ่ยสะบัดน้ำเสียงออกมา “ตามข้ามา”
ไม่นานสองพ่อลูกก็มาถึงห้องหนังสือ
เจียงอันเฉิงนั่งลงแล้วมองไปยังลูกสาวที่เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา จากนั้นก็ชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งลงสิ”
เจียงซื่อนั่งลง พลางจับเสื้อที่เปียกจากน้ำชาเมื่อครู่ไปไว้ข้างๆ
เจียงอันเฉิงเห็นสภาพแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา เอามือกุมหัวด้วยความกลุ้มใจ “ซื่อเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกพ่อสักคำเขาว่าเจ้าได้รับเทียบเชิญจากพระราชวัง ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่อยู่ที่เรือน เจ้าก็ให้คนไปส่งข่าวบอกพ่อก็ได้นี่นา”
เจียงซื่อยิ้ม “ข้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่งั้นรึ” เจียงอันเฉิงเบิกตาโพลง “งานเลี้ยงพิลึกพิลั่นแบบนี้ควรจะเรียกว่าความผิดพลาดมากกว่า ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกเยี่ยนอ๋องที่ไร้ยางอายคนนั้นดึงเข้าไปพัวพันหรอก!”
พอเจียงอันเฉิงพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ชะงักไป “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเคยเจอเยี่ยนอ๋องแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น…”
“นึกไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนอ๋องก็คือคุณชายอวี๋” เจียงซื่อเอ่ยพูดออกมาก่อน
เจียงอันเฉิงทุบกำปั้นลงบนโต๊ะหนังสือ “เจ้าเด็กนั่น เห็นทีคงจะสนใจเจ้าตั้งแต่แรก!”
เจียงซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางพูดโน้มน้าวใจ “ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ฮ่องเต้กับเหนียงเหนียงเป็นคนตัดสินเรื่องการเลือกพระชายาอ๋อง…”
เจียงอันเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรกันเล่า! เอาเถอะ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ส่วนเรื่องท่านย่า…ช่วงนี้ก็อย่าได้เป็นเพ่นพ่านตรงหน้านางก็พอ”
“เช่นนั้นลูกขอตัวลาเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเดินออกมาจากห้องหนังสือ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าเริ่มปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สีทองลอดผ่านกลุ่มเมฆหมอกสาดส่องลงมา แผ่กระจายทองอร่ามปกคลุมหลังคากระเบื้องสีเขียวของเรือน
แม้เดือนแรกในฤดูใบไม้ผลิอากาศจะหนาวเย็น ทว่าอย่างไรก็ตามมันก็มาถึงแล้ว
ท่านพ่อเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไป กังวลว่าหากนางถูกเลือกจะร้องไห้จนเป็นลมไปงั้นหรือ
เจียงซื่อรวบผ้าคลุมเข้ามาหากัน จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินไปเรือนไห่ถัง
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อาจทำใจให้สงบลงได้ จึงสั่งให้คนออกไปสืบข่าวเรื่องงานเลี้ยงชมดอกเหมย
ไม่นานเฝิงมาหม่าแม่บ้านคนสนิทก็คาบข่าวกลับมา
เมื่อเห็นสีหน้าของเฝิงมาหม่า เฝิงเหล่าฮูหยินก็หัวใจกระตุกวาบขึ้นมา รีบเอ่ยถามออกไป “ได้ข่าวมาหรือไม่”
เฝิงมาหม่าพยักหน้าลงอย่างแรง “ตอนนี้เรื่องแพร่งพรายออกไปถึงข้างนอกแล้ว คุณหนูสี่ได้รับดอกเหมยจากเยี่ยนอ๋องหกดอกจริงๆ และไม่เพียงเท่านี้ ว่ากันว่าดอกเหมยดอกแรกของสู่อ๋องก็ได้มอบให้กับคุณหนูสี่เช่นกัน…”
เฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินถึงกับมองตาขวาง กัดฟันกรอดก่นด่าออกไป “มารยาร้อยเล่มเกวียน!”
เสียดายที่คิดว่าในอนาคตบางทีเจียงซื่ออาจจะอาศัยรูปลักษณ์หน้าตาได้รับโชคดีบ้าง ทว่าคิดเกินตัวไปแล้วจริงๆ
เฝิงเหล่าฮูหยินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
“ข้างนอกว่ากันว่าอย่างไรบ้าง”
พอเห็นเฝิงมาหม่าลังเล เฝิงเหล่าฮูหยินก็ทำหน้าขรึม “ได้ยินอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ตอนนี้ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีก!”
“ข้างนอกต่างพากันนินทาเหน็บแนมเรื่องคุณหนูซื่อเป็นตัวปัญหา แถมยังบอกว่าบอกว่าไร้ประโยชน์เสียจริง คนชั้นสูงในวังล้วนออกปากพูดแล้วว่าไม่ถือสาการมอบดอกเหมยนั่น หากคุณหนูแห่งจวนตงผิงปั๋วอยากจะบินขึ้นไปกลายเป็นหงส์ มันก็แค่ฝันกลางวัน…” เฝิงมาหม่าพูดไปพลางสังเกตสีหน้าเฝิงเหล่าฮูหยินไป ก็เห็นว่าใบหน้าที่มีอายุเริ่มขรึมลง ขรึมลงเรื่อยๆ
“ไอ้พวกปากสวะ!” พอเฝิงเหล่าฮูหยินได้ยินก็รู้สึกกระวนกระวายใจ จึงกำชับเฝิงมาหม่าออกไป “แจ้งคนเฝ้าประตูให้ดี ห้ามปล่อยให้คุณหนูซื่อออกไปเด็ดขาด”
ตามคำสั่งที่เฝิงเหล่าฮูหยินแจ้งออกมา บ่าวรับใช้ภายในจวนต่างก็ทำตามรับสั่งอย่างเชื่อฟังทันที
ในเวลาเดียวกันเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อก็มีคำสั่งออกมา “เช่นนั้นเรือนเย็บผ้าที่ทำเสื้อผ้าใหม่ให้คุณหนูซื่อโดยเฉพาะก็หยุดทำงานก่อนเถอะ ในเมื่อไม่ได้ออกไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อผ้าเยอะขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำเกินหน้าเกินตาคุณหนูคนอื่น…”
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ อาหมานเหลือบมองเด็กรับใช้จากห้องครัวที่ยกอาหารเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “นี่มันกินได้รึ ซุปกุ้งก็เย็นชืด ไก่กรอบชุบพริกเกลือก็มีเพียงแค่หัวไก่ แล้วเนื้อไก่ล่ะ! ข้าจะไปจัดการเรือนครัวใหญ่ ไอ้พวกสารเลวนั่นจงใจทำแน่!”
“ไม่จำเป็นหรอก” เจียงซื่อชำเลืองมองกับข้าวที่ไม่เหมือนกับข้าว นี่มันน่าขำเสียจริง
ท่านย่าเปลี่ยนหน้าเร็วราวกับพลิกหน้าหนังสือ พวกบ่าวรับใช้ก็ทำตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็วดีเสียจริง แสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจของนางในตอนแรกเฉียบแหลมมากแค่ไหน
ในเมื่ออยู่ที่ไหนก็ไม่สงบสุข เช่นนั้นเหตุใดนางต้องเกลือกกลั้วอยู่ในบ่อโคลนแห่งจวนตงผิงปั๋วอีก
“คุณหนู พวกเราจะต้องทนอยู่อย่างนี้หรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อไม่หันมองกับข้าวพวกนั้นอีก นางกลับไปนั่งลงที่เตียงที่มีพู่ระย้าห้อยลงมาจากผ้าม่าน “ถ้าหากต้องอดทนทั้งชาติ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทน แต่ถ้าให้ทนเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่ง มันจะเป็นอะไรไป”
หากนางอาศัยอยู่ที่จวนปั๋วต่อไปนานๆ แล้วเอ้อร์ไท่ไท่คิดจะทรมานนางเหมือนในตอนแรก นางก็คงไม่ทนแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เช่นนั้นหากลูกน้องในจวนเห็นว่านางรังแกได้ง่ายเพียงนี้ต่างก็ต้องพากันมาเหยียบย่ำนางเป็นแน่
แต่ตอนนี้ เหตุใดถึงจะไม่ทนเล่า!
ยิ่งเหล่าฮูหยินทำเกินเหตุมากเท่าไหร่ ในอนาคตหากนางร้ายกาจขึ้นมาบ้าง ก็จะพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์มาตำหนิได้
อาหมานฟังแล้วก็รู้สึกงุนงง “อดทนหนึ่งชาติ อดทนชั่วขณะหนึ่ง คุณหนู บ่าวงงไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าแค่รู้เอาไว้ว่าสองสามวันนี้อย่าไปสนใจอะไรพวกนั้นก็พอแล้ว หากข้าวปลาอาหารไม่ถูกใจ ก็ออกไปซื้อ”
“แต่ว่า…”
อาเฉี่ยวดึงแขนอาหมานเป็นการสะกิดเบาๆ “คุณหนูพูดออกมาแล้ว ทำตามนั้นเถอะ คุณหนูต้องมีเหตุผลของคุณหนูอยู่แล้ว”
อาหมานคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย จึงพยักหน้าลงอย่างสมัครใจ
หึ หากไม่ใช่เพราะคุณหนูพูดออกมาเอง นางคงจะไปจัดการเรือนครัวใหญ่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปแล้ว!
ท้องฟ้ามืดเริ่มลงเรื่อยๆ อาเฉี่ยวจุดตะเกียงเพิ่มอีกอัน ภายในห้องสว่างขึ้นมาทันที
พอเจียงซื่ออาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนไปใส่ชุดสีขาว นั่งลงที่ริมขอบเตียง
มันไม่ใช่ฤดูหนาวแล้ว หลังจากอาบน้ำร่างกายจึงอบอุ่น แม้แต่กระดิกปลายเท้ายังเริ่มรูสึกขี้เกียจเลย
เมื่อเห็นเจียงซื่อดูเพลียเหมือนอยากจะเข้านอน อาเฉี่ยวก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “คุณหนู ข้าว่าท่านพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่รีบ” เจียงซื่อพูดขึ้นพลางชำเลืองมองไปที่หน้าต่างอย่างไม่รู้ตัว
นางเข้าใจอวี้ชีดี คืนนี้เขาจะต้องมาหาแน่ๆ
ความคิดนี้เพิ่งจะผ่านไป ไม่ทันไรก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าต่าง
“คุณหนู?” อาเฉี่ยวถามเจียงซื่อว่ามันหมายความว่าอย่างไร
เจียงซื่อพยักหน้าลงเบาๆ
อาเฉี่ยวหยิบแจกันดอกไม้ขึ้นมาอย่างชำนาญแล้วเดินไปถามขึ้น “ใคร”
ไม่ว่าจะเวลาไหนก็ต้องห้ามประมาท ถ้าเกิดว่าข้างนอกไม่ใช่คุณชายอวี๋จะได้เขวี้ยงแจกันดอกไม้ออกไป แล้วตะโกนเรียกคน
ณ ข้างนอกหน้าต่าง โฮ่ง!
อาเฉี่ยวรีบเปิดหน้าต่างออก สุนัขตัวโตตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา
เมื่อเห็นเอ้อร์หนิว เจียงซื่อก็ดีอกดีใจ รีบเดินไปลูบหัวมันอย่างแรง แล้วปลดห่อผ้าไหมที่คอของมันออกมาเปิดดู
บนกระดาษมีรูปวาดหยกเขียวหนึ่งอัน
เจียงซื่อเห็นแล้วก็เม้มปากยิ้มออกมา ในที่สุดก็สบายใจได้สักที
…..
เช้าวันต่อมาขันทีจำนวนหนึ่งก็แอบออกมาจากพระราชวังเงียบๆ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มขี่ม้าแยกออกไปคนละทาง
ปากทางเข้าตรอกซอยอี้เฉียนที่จวนตงผิงปั๋วตั้งอยู่มีผู้คนมาล้อมรอบตั้งแผงขายอาหารเช้ากันเป็นจำนวนมาก ทั้งกลิ่นหอมของซาลาเปา ปาท่องโก๋ลอยตลบอบอวลเข้ามาในเรือน
อาหมานเอามือเท้าสะเอวเถียงกับนายประตู “ข้าแค่จะออกไปซื้อซาเลาเปาเนื้อที่ตรอกสักสองสามอัน เหตุใดถึงไม่ยอมให้ข้าออกไป”
คนเฝ้าประตูแทบไม่ลืมตาดูด้วยซ้ำ “เหล่าฮูหยินสั่งไว้ ไม่มีธุระอันใดห้ามออกไป”
“ซื้อซาลาเปาเนื้อไม่ใช่ธุระหรือ”
“หากมีธุระจะต้องมีป้ายขอออกไปทำธุระ”
“ป้ายบ้าบออะไรกัน ว่างมากนักใช่หรือไม่” อาหมานเห็นว่าคงจะพูดด้วยดีๆ ไม่รู้เรื่อง จึงจับคนเฝ้าประตูโยนออกไปข้างนอก
ขันทีที่นำพระราชโองการมองตาเฒ่าที่ล้มกลิ้งอยู่ตรงหน้า อึ้งไปชั่วขณะ