ขันทีที่ถือพระราชโองการเงยหน้ามองแผ่นป้ายเหนือประตู
ประตูใหญ่ทาสีน้ำมันสีแดงมีแผ่นป้ายจากไม้จำพวกไม้แดงแขวนอยู่ พร้อมกับตัวอักษรฉาบด้วยทองเขียนไว้ว่า ‘จวนตงผิงปั๋ว’
ใช่จวนตงผิงปั๋วไม่ผิดแน่
สายตาของขันทีมองสำรวจนายประตูที่พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ แล้วสลับไปมองสาวรับใช้ที่หน้าตาเหี้ยมโหด รู้สึกลังเลขึ้นมาแล้วสิ
ทว่าไม่เคยเห็นสาวรับใช้ของจวนไหนที่จะออกไปข้างนอกแล้วต้องโยนนายประตูออกมาเช่นนี้เลย
“ที่นี่คือจวนตงผิงปั๋วใช่หรือไม่” ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ยิ่งมาแจ้งพระราชประสงค์ที่สำคัญขนาดนี้ด้วย ขันทีตัดสินใจถามยืนยันเพื่อความแน่ชัด
เสียงแหลมสูงของขันทีทำให้นายประตูรับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของผู้มาเยือน เขาจึงไม่สนใจที่จะเถียงกับอาหมาน แล้วรีบเอ่ยขึ้น “ใช่ขอรับ ไม่ทราบว่าพวกท่าน…”
ขันทีพูดแทรกนายประตูที่พูดมากน่ารำคาญออกมา “ข้ามาแจ้งพระราชประสงค์จากในวัง”
นายประตูตะลึง เชิญขันทีทั้งหลายเข้ามาทันที จากนั้นก็รีบวิ่งแจ้นไปรายงานข่าว
อาหมานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
มีคนจากในวังมา นางควรจะรีบไปแจ้งข่าวให้คุณหนูทราบหรือว่าไปซื้อซาลาเปาเนื้อก่อนดี
เด็กสาวรับใช้รู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจครู่หนึ่ง แล้วถือชายกระโปรงวิ่งไปที่ปากทางเข้าตรอก
ซื้อซาลาเปาเนื้อก่อนแล้วค่อยไปแจ้งข่าวให้คุณหนูทราบมันก็เหมือนกันนั่นแหละ จะปล่อยให้คุณหนูหิวไม่ได้
ภายในเรือนฉือซิน บ่าวรับใช้ทำหน้าที่ทุกอย่างอย่างเบามือ ไม่มีผู้ใดกล้าทำเสียงดัง
เมื่อคืนเหล่าฮูหยินนอนไม่หลับ จนถึงตอนนี้จึงยังไม่ตื่น
สาวรับใช้นางหนึ่งวิ่งปรี่เข้ามา
อาฝูจ้องเขม็ง เอ่ยกระซิบน้ำเสียงตำหนิ “เบาหน่อยสิ!”
“เร็ว เร็วเข้า รีบปลุกเหล่าฮูหยินเร็วเข้า วัง ในวังส่งคนมา…” สาวรับใช้หายใจหอบ แทบไม่ได้สนใจพูดเสียงเบา
อาฝูตกตะลึง รีบบอกผ่านม่านกั้นลมออกไปทันที
“เหล่าฮูหยิน ตื่นเถิดเจ้าค่ะ คนในวังมาแล้ว…”
เฝิงเหล่าฮูหยินดีดตัวลุกขึ้นมา เลิกผ้าม่านออก “เจ้าว่าอะไรนะ”
พอเห็นเฝิงเหล่าฮูหยินตื่นแล้ว อาฝูก็เลิกพูดเสียงเบา “เมื่อครู่นายประตูส่งข่าวมา บอกว่ามีกงกงหลายท่านเข้ามาแจ้งพระราชประสงค์”
เฝิงเหล่าฮูหยินสับสนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเก็บที่นอนอย่างลวกๆ จากนั้นก็รีบตรงไปที่ห้องรับแขก
ระหว่างทางเฝิงเหล่าฮูหยินก็รู้สึกใจคอไม่ดี
อยู่ดีๆ ทำไมในวังถึงส่งคนมาแจ้งพระราชประสงค์กันนะ
จริงด้วย เมื่อวานเจียงซื่อเพิ่งจะไปร่วมงานเลี้ยงชมดอกเหมยในวังมา การมาแจ้งพระราชประสงค์ในครั้งนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่
เจียงซื่อก่อเรื่องในงานเลี้ยงชมดอกไม้เช่นนั้น ฮ่องเต้รู้เข้าจะต้องรู้สึกไม่พอพระทัยอย่างแน่นอน นี่คือการลงโทษจวนปั๋วสินะ
ฮ่องเต้เท่านั้นที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่ตระกูลจูโชคร้าย จวนอันกงกั๋วก็ตกอับตามไปด้วยอย่างพิลึกพิลั่น
เป็นเพราะเจียงซื่อนางเด็กตัวซวยคนนั้นเลยเชียว!
เหล่าฮูหยินขาอ่อนยวบ พร้อมกับเดินเซไปเล็กน้อย
“ระวังเจ้าค่ะเหล่าฮูหยิน” มีมือหนึ่งยื่นเข้ามา
เฝิงเหล่าฮูหยินตั้งสติได้ เมื่อเห็นนายท่านเจียงซานกับภรรยาจึงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าก็ทราบข่าวแล้วหรือ”
ซานไท่ไท่กัวซื่อเอ่ยตอบ “พี่สะใภ้รองส่งคนไปแจ้งที่เรือนจิ้งหลานเจ้าค่ะ”
ทั้งสามรีบเดินมาที่ห้องรับแขก ก็เห็นเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่ออยู่ข้างในกับชายหน้าขาวนวลไร้หนวดเครา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ขันทีก็หันมอง
“ขออภัยที่ให้กงกงรอนานเจ้าค่ะ”
พอคิดว่าสตรีตรงหน้าจะเป็นท่านย่าของพราะชายาอ๋องในอนาคต ขันทีก็แสดงสีหน้าอ่อนโยนลง เอ่ยถามขึ้น “พวกข้าได้รับคำสั่งให้มาแจ้งพระราชประสงค์ ไม่ทราบว่าคุณหนูเจียงซื่ออยู่หรือไม่”
มาหาเจียงซื่อจริงๆ ด้วย!
เนื่องจากเฝิงเหล่าฮูหยินรีบร้อนเพราะนอนตื่นสาย เวลานี้ในใจจึงได้แต่รู้สึกสับสนกระวนกระวาย นางจึงพยักหน้าออกไปทื่อๆ “อยู่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปเชิญคุณหนูเจียงซื่อออกมาเถิด แล้วก็พวกเจ้านายในจวนด้วย บอกให้ออกมาฟังพระราชโองการ”
ไม่นานลานบ้านก็เต็มไปด้วยกลุ่มคนยืนเต็มไปหมด
ขันทีมองกวาดออกไปอย่างช้าๆ จากนั้นก็หยิบพระราชโองการออกมาเปิด
แค่เห็นแผ่นพระราชโองการสีเหลืองอร่าม ทุกคนก็รีบคุกเข่าลงทันที ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัดไม่นานเสียงขันทีอ่านพระราชโองการก็ดังขึ้น
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา: ข้าได้ยินมาว่าบุตรตรีของตงผิงปั๋วมีเมตตาอ่อนโยนและซื่อสัตย์ รูปลักษณ์หน้าตาโดดเด่นสวยงาม ข้าได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้องค์ชายเจ็ดถึงเวลาอันควรที่จะอภิเษกแล้ว จึงต้องเลือกสตรีที่คู่ควร…ข้ามีประสงค์ให้จวนตงผิงปั๋วรับการหมั้นหมายนี้เพื่อให้เจียงซื่อเป็นพระชายาในองค์ชายเจ็ดด้วย ทั้งนี้ข้าได้เลือกฤกษ์งามยามเพื่อจัดงานอภิเษกแล้ว”
“สิ้นราชโองการ…”
เมื่ออ่านพระราชโองการจบ ทั้งลานกว้างก็เงียบกริบ เงียบจนน่าขนลุก
ขันทีมุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในจวนตงผิงปั๋วก็รู้สึกว่าครอบครัวนี้แปลกประหลาด เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ
“คุณหนูสี่ รับพระราชโองการเถิด”
เจียงซื่อทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วรับพระราชโองการ “หม่อนฉันรับพระราชโองการเพคะ”
“อะแฮ่มอะแฮ่ม พระราชโองการถูกส่งมอบแล้ว พวกข้าขอตัวลากลับก่อน” ขันทีคารวะลา ละสายตาออกไป
นอกจากเจียงซื่อที่ถือพระราชโองการไว้ ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ยังคงมีสีหน้าล่องลอย
ขันทีแอบกลอกตา
เสียดาย เขานึกว่าเดินทางมาถึงนี่จะได้สินบนนิดหน่อย แต่ดูท่าแล้วน่าจะไม่มี
“พวกข้าขอตัวกลับล่ะ” ขันทีประสานมือไว้ที่ระดับอก แล้วหันหลังเดินกลับไปพร้อมกับลูกน้อง
เฝิงเหล่าฮูหยินราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน “กงกงช้าก่อนเจ้าค่ะ!”
เฝิงหม่ามาที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบเอาเหอเปายัดเข้าไปในมือ “ลำบากกงกงแล้วเจ้าค่ะ”
ขันทียิ้มเอ่ยขึ้น “เกรงใจเกินไปแล้ว”
เฝิงเหล่าฮูหยินใช้สายตามองสำรวจขันทีอย่างละเอียด
ขันทีฉีกยิ้มออกมาช้าๆ
เมื่อครู่เขายังคิดว่าคนที่จวนตงผิงปั๋วก็น่าสนใจอยู่เลย ทว่าเหล่าฮูหยินท่านนี้มองเขาโดยใช้สายตาจ้องจับผิดคนโกหกทำไมกัน
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง จึงพูดพึมพำออกมา “คุณหนูสี่ได้รับพระราชทานให้เป็นพระชายาในองค์ชายเจ็ดจริงๆ หรือ”
ขันทียิ้มร่า “ดูท่านพูดเข้า นี่จะเป็นเรื่องโกหกได้อย่างไร การแจ้งพระราชโองการเท็จจะถูกประหารเก้าชั่วโคตรเชียวนา”
ใช่ ประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร!
พอคิดถึงตรงนี้ ในที่สุดเฝิงเหล่าฮูหยินก็เลิกคิดว่าตัวเองอยู่ในความฝัน แล้วกลับมาสู่ความเป็นจริง
ไม่นึกเลยว่าเจียงซื่อจะกลายเป็นพระชายาแล้ว!
ขันทีกลับไปแล้ว ทว่าคนที่ลานกว้างในเรือนกลับไม่มีใครกลับไปสักคน สายตาทั้งหมดจ้องไปที่เจียงซื่อ
เฝิงเหล่าฮูหยินเดินเข้าไปตรงหน้าเจียงซื่อ ยื่นมือที่สั่นระริกออกไป ลูบมือเจียงซื่อเบาๆ “เจียงซื่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…”
เจียงซื่อดึงมือกลับ เอ่ยพูดน้ำเสียงเฉยชา “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าขอตัวกลับเรือนไห่ถังก่อน เมื่อวานท่านรับย่าสั่งว่าไม่ให้ข้าออกจากเรือนบ่อยๆ”
เมื่อเห็นเจียงซื่อหันหลังกำลังจะเดินออกไป เฝิงเหล่าฮูหยินก็พูดโพล่งออกไป “หยุดนะ!”
เจียงซื่อหันกลับมา เอ่ยถามท่าทางเรียบเฉย “ท่านย่ามีอะไรจะสั่งอีกหรือเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินพลั้งปากพูดออกมา
เวลานี้เจียงซื่อได้เป็นพระชายาอ๋อง ท่าทีที่มีต่อนางจึงจำเป็นต้องเปลี่ยน
ถึงจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องกลืนคำพูดที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงเลยเมื่อเทียบกับความเป็นจริงที่ว่าจวนตงผิงปั๋วมีพระชายาอ๋อง!
เฝิงเหล่าฮูหยินเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นออกมา “ย่าไม่ได้หมายความดั่งที่เจ้าคิด ข้าเพียงแค่คิดว่าอากาศยังไม่อบอุ่นมากเท่าที่ควร กลัวว่าเจ้าจะไม่สบายเพราะออกไปข้างนอกบ่อย…เท่านั้น”
ในที่สุดอาหมานที่ตกใจสุดขีดก็รู้สึกตัวขึ้น จึงเอ่ยพูดแทรกออกไป “เช่นนั้นเหตุใดบ่าวถึงห้ามให้ออกไปล่ะเจ้าค่ะ เช้าวันนี้บ่าวจะออกไปซื้อซาลาเปาเนื้อสองสามลูกเอง แต่นายประตูนั้นหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้ข้าออกไป”
“ซื้อซาลาเปาเนื้องั้นรึ”
เด็กสาวรับใช้รีบพูดออกไป “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อวานอาหารมื้อค่ำที่ถูกส่งมาจากครัวใหญ่แทบไม่ใช่อาหารของคนกินด้วยซ้ำ เช้าวันนี้ก็ส่งมาให้แค่ข้าวต้มเหลวๆ ถ้วยหนึ่ง บ่าวยก็แค่จะออกไปซื้อของกินมาให้คุณหนูเท่านั้นเองเจ้าค่ะ…”
เฝิงเหล่าฮูหยินหน้าแดงก่ำขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยความโมโห “เซียวซื่อ เจ้าดูแลเรือนอย่างไรกัน!”
เซียวซื่อยังคงสับสนงงงวย
นี่มันเกี่ยวอะไรกับนางกัน นางยังไม่ทันได้ทรามานเจียงซื่อเลย
“กัวซื่อ จากนี้ไปในเรือนนี้เจ้าเป็นคนดูแล ช่วงนี้พี่สะใภ้รองของเจ้าร่างกายไม่ดีนัก จำเป็นต้องพักผ่อนอยู่อย่างสงบ”
เจียงซื่อได้แต่หัวเราะเยาะ เมื่อได้ยินเฝิงเหล่าฮูหยินดุเซียวซื่อต่อหน้าต่อตาทุกคน