บทที่ 321 ไม่กลับตระกูลศรีสุขคํา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีรู้ว่าที่เขาถามคืออารมณ์ของเธอ ก็ยกมุมปากขึ้นมายิ้ม“อือ ไม่เป็นไรแล้ว คนเราต้องมองไปข้างหน้า จะจมอยู่แต่ความเจ็บปวดอย่างเดียวไม่ได้ การตายของแม่ถูกกำหนดไว้แล้ว ถึงฉันจะเสียใจแค่ไหนก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ สู้เดินออกมา เผชิญหน้ากับชีวิตต่อไปดีว่า”

“คุณนายคิดแบบนี้ถูกแล้วค่ะ”ป้าส้มที่อยู่ข้างๆก็ยิ้มเห็นด้วย

นัทธีเห็นวารุณีคิดได้ไวขนาดนี้ ก็ถือว่าโล่งอก

วารุณีมองศรัณย์ที่อยู่ตรงข้าม“ศรัณย์นายก็ด้วย รีบเดินออกมา อย่าทำให้พี่เป็นห่วง โรคหัวใจของนาย……”

“วางใจเถอะพี่”ศรัณย์ยิ้มอย่างอบอุ่น“ผมรู้แล้ว”

“งั้นก็ดี”วารุณีพยักหน้า

ทานอาหารเช้าเสร็จ นัทธีพาเด็กสองคนไปโรงเรียนอนุบาล

ส่วนวารุณีกับศรัณย์เดินทางไปที่ศาล เพื่อจบคดีความระหว่างวรยากับสุภัทร

ที่จริงคดีความของพวกเขาสองคนยังต้องลากเวลาไปอีกนาน แต่ตอนนี้วรยาตายแล้ว คดีความก็ไม่ต้องดำเนินต่อไปแล้ว

ทั้งสองคนมาที่ศาล ขณะเดียวกันสุภัทรก็มาถึงเช่นกัน

หลังจากสืบได้แล้วว่าวรยาเกิดอุบัติเหตุ สองสามีภรรยาสุภัทรก็ถูกชำระล้างข้อหาผู้ต้องสงสัย และถูกพ้นผิด

ดังนั้นเมื่อคืน วารุณีก็ส่งข้อความหาเขา บอกว่าให้เขามาศาลวันนี้ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญอย่างนี้ เจอกันเข้า

“วารุณี”สุภัทรเรียกสองพี่น้องวารุณี

วารุณีหยุดฝีเท้าลง ศรัณย์ที่อยู่ข้างกายเธอก็หยุดลง

ตอนแรกสุภัทรจำศรัณย์ไม่ได้ พอเดินไปแล้ว จึงเบิกตาโตอย่างตกใจ“ศรัณย์ ลูกคือศรัณย์ใช่ไหม?”

เขายื่นมือที่สั่นออกไป อยากไปสัมผัสศรัณย์

หลังจากศรัณย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็ขยับไปทางวารุณี เพื่อหลบเขา

“สวัสดีคุณสุภัทร”ศรัณย์ทักทายสุภัทร

ถึงแม้เขาจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นดูห่างเหินและเย็นชา

มือและอาการของสุภัทร จึงนิ่งไป สักพักจึงชักกลับมาอย่างอึดอัด“ศรัณย์จริงๆด้วย โตขนาดนี้แล้ว เจ็ดปีก่อน ลูกยังเด็กอยู่เลย”

วารุณีกับศรัณย์มองเขาด้วยใบหน้าราบเรียบ ไม่พูดรับเขา

และแบบนี้ สุภัทรที่พูดเองเออเอง เหมือนกับตัวตลกคนหนึ่ง

สุภัทรตระหนักถึงสิ่งนี้ได้ ก็พูดต่อไปไม่ไหว จึงหุบปากลง

วารุณีละสายตาคืนมา“ศรัณย์ พวกเราเข้าไปเถอะ”

ศรัณย์ตอบอือ ตามอยู่หลังเธอ จะเข้าไปในศาล

ตอนนี้เอง จู่ๆสุภัทรก็จับเขาไว้

ศรัณย์เดินไปไม่ได้ หันหน้าไปอย่างไม่พอใจ“คุณสุภัทร คุณทำอะไร?”

วารุณีก็หันหน้าไป

หน้าแก่ๆของสุภัทรดูเหยเกเล็กน้อย“พวกลูกมาที่นี่ เพื่อมาจบคดีความของพ่อกับแม่พวกลูกใช่ไหม”

“ถูกต้อง แม่ไม่อยู่แล้ว คดีความนี้ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการต่อไปแล้ว”ศรัณย์ชักแขนของตัวเองกลับมา

สุภัทรมองเขา“ในเมื่อแบบนี้ งั้นลูกกลับตระกูลศรีสุขคํากับพ่อเถอะ”

“ฮะ?”ศรัณย์ตะลึง

วารุณีหรี่นัยน์ตาดอกท้ออันสวยงามลง จากนั้นดึงศรัณย์ไปด้านหลังของตัวเอง“ทำไมต้องกลับตระกูลศรีสุขคําไปกับคุณด้วย!”

“ทำไม?”สุภัทรเหมือนจะรู้สึกว่าเธอถามคำถามมากไป ขมวดคิ้วตอบว่า:“เพราะแม่ของพวกลูกตายแล้ว พ่อจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวของพวกลูก ศรัณย์ไม่กลับไปตระกูลศรีสุขคําแล้วจะไปไหน?”

“คุณพูดผิดแล้ว”ศรัณย์ยืนออกมาจากด้านหลังของวารุณี เสียงนั้นไม่อบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเคย แต่ดูแข็งกร้าวขึ้นเยอะ“คุณสุภัทร คุณไม่ใช่ญาติเพียงคนเดียวของพวกเรา ผมกับพี่ยังมีญาติคนอื่น นั่นก็คืออารัณ ไอริณและพี่เขย และผมก็ไม่กลับตระกูลศรีสุขคําไปกับคุณด้วย”

หน้าแก่ๆของสุภัทรหมองหม่นลงไป“ลูกไม่กลับตระกูลศรีสุขคําไปกับพ่อ แล้วใครจะดูแลลูก?”

“ผมไม่ต้องการให้ใครมาดูแล ร่างกายของผมดีขึ้นนานแล้ว ผมสามารถดูแลตัวเองได้”ศรัณย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ริมฝีปากของสุภัทรขยับ ยังอยากจะพูดอะไรอีก

ศรัณย์กับวารุณีไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว พวกเขาเดินเข้าไปในศาล

ทางด้านศาลรับรู้การมาของพวกเขา บวกกับศรัณย์คือเป้าหมายที่แย่งกันของคดีความ

เขาที่เป็นเป้าหมายของการแย่งชิงนี้ แสดงออกว่าไม่อยู่กับสุภัทร ศาลก็บังคับเขาไม่ได้

ดังนั้นสุดท้ายแล้วท่าทีของวารุณีกับสุภัทร รอจนสุภัทรอายุถึงหกสิบปี ทุกๆเดือนต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้คนละสองพัน ศาลจึงเห็นด้วยให้พวกเขาจบการยื่นคดีความ

ถึงสุภัทรจะไม่ยอมแค่ไหน ก็ได้แต่ยอมรับวิธีแก้ปัญหานี้

บนรถระหว่างที่กลับไป ศรัณย์จองตั๋วเครื่องบินเสร็จ ก็พูดกับวารุณีว่าตัวเองเตรียมไปต่างประเทศพรุ่งนี้

วารุณีคาดเดาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ตกใจ ยอมรับผลลัพธ์นี้อย่างใจเย็น พยักหน้า“อยู่ต่างประเทศก็ดี อยู่ในประเทศ ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าสุภัทรจะไม่ไปรบกวนนายบ่อยๆ”

“ใช่ วิทยาลัยทาเลียก็เริ่มเปิดรับนักศึกษาพอดี ผมก็ต้องกลับไปสมัครและเข้าร่วมการสอบให้ได้”ศรัณย์ยิ้ม

วิทยาลัยทาเลียเป็นหนึ่งในสถาบันศิลปะที่มีชื่อเสียงระดับโลก

เขาชอบวาดภาพ ความฝันตั้งแต่เด็กก็คือสองเข้าไปได้ ดังนั้นเขาจะพลาดไปไม่ได้

วารุณีก็รู้ว่าความฝันของศรัณย์คือสิ่งนี้ จึงหมุนพวงมาลัยแล้วพูดให้กำลังใจ:“สู้ๆ พี่สนับสนุนนาย”

“อือ!”ศรัณย์พยักหน้าแรงๆ

จากนั้นบ่ายวันถัดมา เขาก็ไปต่างประเทศภายใต้การมาส่งของวารุณีกับนัทธี

จากนั้น นัทธีก็ไปส่งวารุณีที่ชั้นล่างของบริษัทเธอ

ตอนเธอลงจากรถ จู่ๆเขาก็เรียกเธอไว้“เดี๋ยวก่อน”

“ทำไมเหรอ?”วารุณีก้มเอว มองเขาผ่านกระจกรถตรงที่นั่งข้างคนขับ

นิ้วมือของนัทธีเคาะไปที่พวงมาลัยเบาๆ“มีเรื่องหนึ่ง อยากคุยกับคุณหน่อย”

“อือ คุณว่ามาสิ”วารุณีพยักหน้าเบาๆ รอเขาพูด

ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับ“คือแบบนี้ วันที่นวิยาออกจากโรงพยาบาลกำหนดมาแล้วนะ สัปดาห์หน้า”

พอได้ยิน สายตาวารุณีก็สั่นคลอน ในใจก็มีการคาดเดาไม่ดีเท่าไหร่นัก“แล้วไงต่อ?เธอคงไม่ใช่ว่า จะมาพักกับพวกเราหรอกนะ?”

นัทธีลูบพวงมาลัย สุดท้ายก็พยักหน้า“ใช่ ตอนนั้นตระกูลแก้วสุทธิล้มละลาย ทรัพย์สินทั้งหมดถูกยึด และเธอก็ไม่มีบ้านที่เป็นชื่อของเธอ”

“แบบนี้นี่เอง”วารุณีละสายตาลง เงียบไปแป๊บหนึ่ง จากนั้นพูดต่อว่า:“จะต้องพักบ้านพวกเราแน่ใช่ไหม?ให้บ้านอีกหลังเธอ แล้วจ้างแม่บ้านมาคนหนึ่งไม่ได้เหรอ?”

ถามคำนี้จบ เธอก็เงยมองชายหนุ่ม

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากบางๆ“ก่อนหน้านี้ผมรับปากเธอแล้ว และให้เธออยู่ข้างนอกคนเดียว ผมก็ไม่วางใจ”

“แบบนี้นี่เอง”วารุณีเอามือที่วางไว้ตรงขอบกระจกรถออกไป“ในเมื่อคุณรับปากแล้ว ก็แล้วแต่ ยังไงซะคฤหาสน์ก็เป็นของคุณ”

พูดจบ เธอก็เดินออกไป

นัทธีมองออกว่าอารมณ์ของเธอไม่ดี ไม่ต้อนรับนวิยาเท่าไหร่ ยังไงก่อนหน้านี้ไม่นานนวิยาก็ใส่ร้ายเธอ

นัทธีลดกระจกรถที่นั่งคนขับลง รอวารุณีเดินผ่านหน้ารถ เดินมาที่เขา เขาพูดเสียงดังขึ้น“รอร่างกายของนวิยาฟื้นตัวได้แล้ว ผมจะให้เธอย้ายออกไป”

ฝีเท้าของวารุณีชะงักลง ไม่พูดอะไร เดินก้าวเท้ายาวเข้าไปในอาคาร

นัทธีมองทางที่เธอออกไปด้วยสายตาที่หม่นลง ในใจก็เริ่มทบทวนการกระทำที่ตัวเองให้นวิยาเข้าไปพักในคฤหาสน์ ว่าผิดหรือไม่

แต่ถึงผิดก็ช้าไปแล้ว เขารับปากไปแล้ว

เขาแค่หวังว่าต่อไปนี้ นวิยาจะสามารถเข้ากันได้ดีกับวารุณีได้

ถ้าเข้ากันไม่ได้จริงๆ เขาค่อยคิดหาทางแยกพวกเธอออกละกัน

คิดแบบนี้ นัทธีก็ลดกระจกรถขึ้นมา แล้วขับออกไป

หลังจากวารุณีมาถึงออฟฟิศของตัวเองแล้ว วางกระเป๋าเสร็จก็เดินไปที่ระเบียง จากนั้นก้มหน้าลงมองไปที่ถนนชั้นล่าง มองไปยังถนนที่ไม่มีเบนท์ลีย์คันนั้นที่คุ้นเคยแล้ว เธอเม้มริมฝีปากสีแดงลง

เธอไม่รู้จริงๆว่าผู้ชายอย่างนัทธีคิดได้ไง ถึงให้นวิยาไปพักในคฤหาสน์

หรือเขาไม่รู้เหรอว่าระหว่างเธอกับนวิยามีความขัดแย้งอะไรกัน?ผู้หญิงที่ไหนบ้างยอมพักอยู่ใต้หลังคาเดียวกันกับศัตรูหัวใจ?