ตอนที่ 234 มาถึงแล้ว (2)
ชายชราผู้พิทักษ์ประตูสองสามคนนั้นจึงรีบเปิดค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขาและปล่อยให้หนึ่งเผ่ามังกร และหนึ่งเผ่าทะเลเข้าสู่ค่ายกลเวท พวกเขากำลังคิดว่าควรแจ้งให้เหล่าผู้อาวุโสใหญ่ออกมารับพวกเขาหรือไม่

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ศิษย์ได้รับสหายที่มาเยี่ยมแล้ว ข้าจึงขอพาสหายไปที่ยอดเขาหยกน้อยนะขอรับ”

เหล่าเซียนผู้พิทักษ์ประตูฝืนหัวเราะแหยๆ และมองดูร่างทั้งสามขี่เมฆจากไป พวกเขาแต่ละคนรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วและคนอื่นๆ จากไปแล้ว เหล่าเซียนผู้พิทักษ์ประตูก็รีบไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์และรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสสูงสุด และถามว่าพวกเขาอยากเชิญปรมาจารย์เผ่ามังกรทั้งสองคนไปยังสำนักหรือไม่

ผู้อาวุโสไม่อาจตัดสินใจได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเตือนเจ้าสำนักซึ่งกำลังเข้าปิดด่านพักฟื้นอยู่

ทว่าเมื่อจี้อู๋โหย่วได้ยินว่าเป็น หลี่ฉางโซ่วจากยอดเขาหยกน้อย เขาก็หัวเราะและดุเหล่าผู้อาวุโส

“ฉางโซ่วมีสหายมากมาย ไยต้องเอะอะให้เป็นเรื่องใหญ่เล่า? ศิษย์ผู้นี้ ฉางโซ่วนั้นไม่เลว เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ภักดี และใจดี มีคุณธรรม ต่อให้ราชามังกรจะมาที่นี่ ก็ไม่มีอะไรต้องตื่นตกใจ นับประสาอะไรกับองค์ชายแห่งเผ่ามังกร ไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เอ่อ แค่กๆๆ… ให้คนส่งชาและสุราชั้นดีไปที่ยอดเขาหยกน้อย และให้ฉางโซ่วคอยดูแลรับรององค์ชายรองเผ่ามังกรให้สำราญใจ อย่าลืมว่าอ๋าวอี่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญแห่งเกาะเต่าทองด้วย เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเซียนใหญ่อู้หยุน ความอาวุโสของเขาเทียบเท่ากับข้า ทว่าเขานับเป็นรุ่นเดียวกับฉางโซ่ว นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขันเลย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง แต่ละคนต่างก็เต็มไปด้วยความสงสัย

ไม่รู้ว่าพวกเขาประมาทเกินไป หรือว่า จู่ๆ เจ้าสำนักก็มีบางอย่าง… ผิดปกติ

ในวันนั้นบรรยากาศของสำนักตู้เซียน มีเสียงอึกทึกครึกโครมค่อนข้างแปลกประหลาด

เมื่อหลี่ฉางโซ่วพาอ๋าวอี่ไปที่ยอดเขาหยกน้อย แล้วพวกเขาก็พบสามในสี่สมาชิกระดับสูงของกลุ่มยอดนักกินแห่งยอดเขาหยกน้อย กำลังรวมตัวกัน

แม้โหย่วฉินเสวียนหย่าจะเข้าปิดด่านฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก แต่ก็เหลือทั้งสามคนนี้ที่ยังคงเดิม

ในฐานะศิษย์น้องหญิงของหลี่ฉางโซ่ว ในวันนี้ หลิงเอ๋อร์มุ่งเน้นการแต่งตัวอีกครั้งด้วยชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนและแขนเสื้อพลิ้วไหว และแต่งใบหน้าของนางด้วยสีดอกท้อเพราะนางได้ยินมาว่ามีองค์หญิงเงือกมา นางจึงต้องให้หน้าศิษย์พี่ของนาง

ส่วนอาจารย์อาน้อย นางคุ้นชินกับการแต่งตัวสบายๆ และวันนี้ นางก็ไม่ได้แต่งตัวมากเกินไป นางเพียงทิ้งน้ำเต้าใหญ่แล้วเปลี่ยนรองเท้าฟางที่เท้าเป็นรองเท้าผ้ายาวหุ้มข้อ เข้ากับเสื้อแขนสั้นและกระโปรงที่นางสวมใส่บ่อยครั้ง

จิ่วจิ่วเพียงยืนอยู่ตรงนี้ พลางยืดอกอวบอิ่มแล้วเงยศีรษะขึ้น เท่านั้นมันก็เพียงพอแล้วที่จะข่มสตรีงดงามสุดๆ ส่วนใหญ่ได้

ทว่าสงหลิงลี่กลับแต่งตัว… เอ่อ เปลี่ยนเป็นชุดเกราะสีสดใส บางทีอาจเป็นเพราะนางอยู่ที่ยอดเขาหยกน้อยอย่างสบายเกินไป บัดนี้ แขนของสงหลิงลี่จึงหนาขึ้นเล็กน้อย

เมื่อหลี่ฉางโซ่วพาอ๋าวอี่และเจียงซื่อเอ๋อร์ลงมา หลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่ก็เป็นคนแรกๆ ที่ไปต้อนรับทักทายพวกเขาในขณะที่จิ่วจิ่วก็บินไปข้างหลังอย่างสงบ

เมื่อเจียงซื่อเอ๋อร์เห็นหลิงเอ๋อร์ นางก็อดจะถอนหายใจด้วยความชื่นชมไม่ได้ จากนั้น นางก็นึกถึงสิ่งที่นางวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ และมุ่งเป้าไปที่หลิงเอ๋อร์ในทันที

หลิงเอ๋อร์ก้าวออกไปข้างหน้าและโค้งคำนับให้อย่างสง่างาม เจียงซื่อเอ๋อร์โค้งคำนับกลับในทันทีและเรียกนางอย่างนุ่มนวลว่า “พี่หลิงเอ๋อร์”

หลิงเอ๋อร์ก็ตอบกลับอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนั้น ข้าขอเรียกท่านว่าน้องซื่อเอ๋อร์ได้หรือไม่?”

จากนั้น ทั้งสองก็จับจูงมือกันไปที่กระท่อมมุงจากพลางพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข หลี่ฉางโซ่วและอ๋าวอี่ที่อยู่ข้างหลังพวกนาง ต่างก็เอียงศีรษะเฝ้ามอง

อ๋าวอี่กระซิบ “พี่ฉางโซ่ว พวกนางรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”

“อืม… อย่าห่วงไปเลย มิตรภาพระหว่างสตรีนั้นลึกลับยิ่ง ปล่อยให้พวกนางเล่นกันเอง ข้ามีเรื่องที่น่าสนใจมากมายที่ต้องทำที่นี่ ไปที่หอโอสถและดูกันเถิด”

“ขอรับ” อ๋าวอี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

หลี่ฉางโซ่วสั่งบางอย่างกับหลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์พยักหน้าแล้วขอให้เจียงซื่อเอ๋อร์นั่งลงก่อนจะนำขนมและผลไม้เซียนบางอย่างมาให้พร้อมกับเริ่มชงชาอย่างชำนาญ

เมื่อจิ่วจิ่วและสงหลิงลี่เข้าไปในกระท่อมมุงจาก สิ่งต่าง ๆ ในกระท่อมมุงจากก็คึกคัก มีชีวิตชีวาขึ้นมาก

ที่หน้าหอโอสถ หลี่ฉางโซ่วได้หยิบเบาะนั่งสมาธิสองใบออกมาแล้วนั่งลงกับอ๋าวอี่ พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องที่น่าสนใจบางอย่างบนเกาะเต่าทอง

อ๋าวอี่ยิ้มและกล่าวว่า “ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พบพี่ชายเช่นนี้คือ ยังอยู่ในระหว่างการแข่งขันครั้งใหญ่ของสำนักตู้เซียน เฮ้อ…”

“มีอันใดผิดปกติหรือ?” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ในขณะนี้ เจ้าน่าจะมีความสุขมาก แล้วไยถึงถอนหายใจหนักเช่นนี้?”

“มีปัญหาวุ่นวายไปทั่วทั้งสี่คาบมหาสมุทร…”

หลี่ฉางโซ่วทำท่าทางให้เงียบเสียง และหยิบยันต์หยกออกมาเพื่อควบคุมและสร้างชั้นค่ายกลต่างๆ ขึ้นที่นี่

เขามองไปที่หินสัมผัสและกล่าวว่า “ยากที่เจ้าจะมาที่นี่ได้ อย่าพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกเลย”

“ขอรับ” อ๋าวอี่พยักหน้าทันที แน่นอนว่า เขาเข้าใจว่า หลี่ฉางโซ่วไม่ต้องการจะเปิดเผยตัวตนของเขา

หลี่ฉางโซวกระแอมไอและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ครั้งสุดท้ายที่ข้าบอกลาเจ้าในสำนัก เจ้าได้ใช้ของที่ข้ามอบให้ไปหรือไม่ แล้วมันได้ผลหรือไม่?”

ใบหน้าของอ๋าวอี่พลันแดงก่ำขึ้นในทันทีและกล่าวตอบตะกุกตะกักว่า “ศิษย์พี่บนเกาะเอาสุราสมุนไพรและภาพวาด ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ออกไปก่อนที่ข้าจะได้ทันใช้พวกมันด้วยซ้ำ… พวกเขายืมมันมาและไม่ได้บอกว่าจะคืนมันให้ข้า ข้าเองก็ไม่กล้าขอคืนมาขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้หรือร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาทันที

อ๋าวอี่มีท่าทีละอายใจขณะกล่าวว่า “ข้าขออภัยที่ทำให้ศิษย์พี่ผิดหวังขอรับ”

“มีอันใดให้ผิดหวังหรือเล่า?” หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ามีคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาพวาดฤดูใบไม้ผลิแล้ว เจ้านำโอสถและสุราสมุนไพรเหล่านี้กลับไปลองใช้ดูเถิด”

ขณะกล่าว หลี่ฉางโซ่วก็หยิบแหวนขุมทรัพย์ออกมา

“ข้าได้ปรับปรุงสุราสมุนไพรอีกครั้ง มันมีฤทธิ์แรงน้อยกว่า แต่ให้ผลคงอยู่ยาวนาน โอสถเม็ดนี้เรียกว่า โอสถปรารถนา ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน บางทีมันอาจจะให้ผลที่คาดไม่ถึงต่อร่างกายที่หยุดการเติบโตของเจ้า ทว่ายามนี้ เจ้าก็มีคู่บำเพ็ญเต๋าแล้ว ย่อมปลอดภัยที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ เพียงแค่ใช้มันในปริมาณที่เหมาะสม และทางที่ดีควรกินเป็นช่วงระยะห่างประจำ”

อ๋าวอี่หยิบแหวนไปในทันที

ขณะที่เขากำลังจะกล่าวคำขอบคุณ หลี่ฉางโซ่วก็ขมวดคิ้วทันทีและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียง

“เมืองอันสุ่ย วิหารเทพทะเล”

“หือ?” อ๋าวอี่ขมวดคิ้ว ในขณะนั้นเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ทั้งสองมองหน้ากัน และอ๋าวอี่ก็เกือบจะโพล่งออกมาว่า “พวกเขากำลังเริ่มโจมตีหรือขอรับ?”

“เงียบ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “เราจะใช้เจตจำนงวิญญาณของเราเพื่อสังเกตผ่านรูปปั้น มาดูกันว่าพวกเขาสร้างปัญหาได้อย่างไร”

“ขอรับ” อ๋าวอี่พยักหน้ารับทันที เขาหลับตาและเพ่งจิต เจตจำนงวิญญาณของเขาจดจ่อไปที่รูปปั้นรองแห่งวิหารเทพทะเลในเมืองอันสุ่ย

ผ่านรูปปั้น ในเวลานี้ ทั้งสองคนล้วนสัมผัสได้ทันทีว่า เมืองอันสุ่ยกำลังโกลาหล มังกรแท้ที่มีเกล็ดสีน้ำเงินเหินบินไปมาบนท้องฟ้า ดึงดูดความสนใจของมนุษย์ในเมืองให้เงยหน้าขึ้นมอง

หากผู้บำเพ็ญเหวินจิงไม่ได้แจ้งเขามาก่อนหน้านี้ ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วก็คงจะงงงวย และไม่รู้ว่าเผ่ามังกรกำลังทำอะไรอยู่

ในขณะนี้ เจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักเทพทะเลต่างกำลังสื่อสารกันผ่านเจตจำนงวิญญาณของเขา

‘พี่อี่ นี่คือ คนจากเผ่าของเจ้าใช่หรือไม่?’

“นั่นไม่ถูกต้อง นี่คือร่างจำแลงของมังกรวารี แม้จะเป็นของเผ่ามังกร แต่มีสถานะไม่สูงในเผ่า มันเป็นเพียงแค่ผู้พิทักษ์”

ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ทันใดนั้น มังกรแท้บนท้องฟ้าก็ตกลงมายังวิหารเทพทะเล และกลางอากาศนั้น มันก็กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนที่มีเขามังกรอยู่เหนือศีรษะและตกลงไปที่ลานภายในของวิหารเทพทะเล

ดูเหมือนว่า ฐานพลังปราณของเขาจะอยู่ที่ขอบเขตเซียนเทียนขั้นสูงสุด แม้จะไม่สูง แต่ก็ไม่นับว่าต่ำที่นี่

หลี่ฉางโซ่วกล่าวผ่านเจตจำนงวิญญาณว่า “มาดูกันว่า เขาสร้างปัญหาอย่างไร”

อ๋าวอี่พยักหน้า แม้จะเกิดโทสะในใจ แต่เขาก็ไม่กล้ารีบบุ่มบ่ามตัดสินใจทำอะไร

อีกด้านหนึ่งนั้น… เมื่อทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในชั้นค่ายกล และไม่รู้ว่าจะทำอะไร

ในกระท่อมมุงจาก เจียงซื่อเอ๋อร์ที่กำลังพูดถึงความสนิทสนมของนางกับอ๋าวอี่ ทันใดนั้นก็หัวเราะเบาๆ และถามหลิงเอ๋อร์ว่า “พี่สาว ท่านมีผู้ใดในใจแล้วหรือไม่? ครั้งนี้ ข้านำสมบัติจากเผ่ามาด้วย หากท่านมีผู้ใดในใจ ของสิ่งนี้ก็อาจมีประโยชน์”

……………………………………………………………………….