ช่วงฤดูใบไม้ผลิรัชศกจิ่งหมิงปีที่สิบเก้าฝนตกชุก การสอบชิงตำแหน่งขุนนางภูมิภาคที่หมู่มวลมหาชนรอคอยได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ
กว่าการสอบทั้งสามสนามจะสิ้นสุดลง เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสองเดือนแล้ว ยามใดที่ดอกซิ่งผลิบาน แผ่นป้ายประกาศก็จะถูกติดไว้ที่ด้านหน้าก้งย่วน สถานที่จัดสอบขุนนาง
ณ วันที่ติดประกาศ บริเวณด้านหน้าก้งย่วนมีผู้คนมากมายอัดแน่นเบียดเสียดกันเข้ามาดูรายชื่อ ผู้คนพบว่าผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งก็คือเจินเหิงเจี่ยหยวนหลาง ผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบชิงขุนนางระดับมณฑล
ไม่สิ เวลานี้ต้องเรียกว่าฮุ่ยหยวนหลาง
ทันใดนั้นเองราวกับมีคลื่นลูกใหญ่โหมซัดเข้ามา
คุณชายเจินผู้นี้ได้ตำแหน่งเจี่ยหยวนหลางก่อน จากนั้นก็เป็นฮุ่ยหยวนหลาง หากถึงการสอบจอหงวนรอบสุดท้ายที่ฮ่องเต้เป็นผู้ทดสอบด้วยพระองค์เองแล้วได้รับตำแหน่งจอหงวนอีก นี่จะเป็นการสอบได้ตำแหน่งขุนนางสามขั้นติดต่อกันเลยเชียวนะ
การสอบผ่านทั้งสามขั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะมีผู้ที่ทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายเจินยังอายุน้อย
ตลอดทั้งเดือนสอง ชาวเมืองทุกคนต่างจับจ้องเรื่องนี้ด้วยความตื่นเต้น ได้แต่รอคอยผู้มีปัญญาที่สอบชิงตำแหน่งขุนนางได้อันดับหนึ่งสามขั้นติดต่อกันปรากฏตัวเกิดขึ้น การได้เกิดมามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับอัจริยะฟ้าประทาน นับเป็นเกียรติภูมิของทุกๆ คนเลยก็ว่าได้
วันสอบจอหงวนรอบสุดท้าย จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้แต่พึมพำไปมาในใจ หากข้าไม่ทำตามความเห็นของประชาชน จะถูกนินทาลับหลังหรือไม่
ช่างเถอะ ลูกชายของเจ้าเจินซื่อเฉิงนั่นมีความสามารถจริงๆ แถมยังดูท่าทางน่าเชื่อถือ การใช้ชีวิตในฐานะฮ่องเต้ที่ผ่านอะไรมามากมาย หากมีผู้มีปัญญาที่สอบชิงตำแหน่งขุนนางได้สามระดับติดต่อกันปรากฏตัวขึ้น แล้วถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ เหตุใดถึงจะไม่เป็นเรื่องที่น่ายินดีล่ะ
เพียงจิ่งหมิงฮ่องเต้ลงลายนามพระหัตถ์ ตำแหน่งจอหงวนหลางท่านใหม่ก็ได้ตกเป็นของเจินเหิง
ทันทีที่ราชสำนักประกาศรายชื่อ คนจำนวนมากต่างกู่ร้องตะโกนทรงพระเจริญ พลางวิ่งกระโดดโลดเต้น
ต้าโจวได้ถือกำเนิดอัจริยะที่สอบขุนนางได้อันดับหนึ่งติดต่อกันสามระดับออกมาหนึ่งท่าน ตั้งแต่ก่อตั้งบ้านเมืองมามีเพียงผู้เดียวเท่านั้น นี่มันหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่าชะตากรรมของบ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง เลื่องลือไปด้วยผู้มีปัญญา ถึงได้มีนิมิตหมายมงคลลงมายังผืนแผ่นดินนี้ ส่วนพวกชนเผ่าทางเหนือที่ยังไม่เริ่มมีวิวัฒนาการ และซีเหลียงที่มักจะคิดเปรียบเทียบกับต้าโจวนั้นก็รอไปก่อนเถอะ!
ในวันเดินขบวนแห่จอหงวน บ้านเรือนทั่วทั้งเมืองหลวงว่างเปล่า ผู้คนมากมายยืนเบียดเสียดกันแน่นขนัดอยู่ตามข้างทาง
เจียงซื่อก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คุณหนู คนเยอะมากเลยเจ้าค่ะ” อาหมานออกแรงดันคนที่เบียดเข้ามา ปกป้องคุณหนูเพื่อเดินไปที่โรงน้ำชา
หลงต้านรีบเข้ามาต้อนรับ “คุณหนูมาแล้วหรือ เจ้านายของพวกเรารออยู่ชั้นบนขอรับ”
เจียงซื่อพยักหน้ารับเบาๆ แล้วเดินตามหลงต้านขึ้นไปชั้นบน
เมื่อเห็นเจียงซื่อ อวี้จิ่นก็อดดีใจออกมาไม่ได้ พลางดึงนางลงมานั่งข้างๆ เทน้ำชาใส่ถ้วยชาแล้วส่งให้นาง
เจียงซื่อประคองถ้วยน้ำชาไว้แล้วเอ่ยถามออกไป “เหตุใดถึงนัดข้าออกมาเวลานี้ล่ะ”
อวี้จิ่นชี้ออกไปที่นอกหน้าต่าง “เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องอยากรู้อยากเห็นเป็นแน่”
เจียงซื่ออมยิ้ม
หากอวี้ชีรู้เรื่องนางกับคุณชายตระกูลเจิน เกรงว่าคงไม่อยากเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นของนางหรอก
พอเห็นว่าเจียงซื่อไม่เอ่ยวาจาใดออกมา อวี้จิ่นจึงยอมรับออกไปตรงๆ “ก็ได้ ข้าอยากเจอเจ้า ก็เลยหาเหตุผลดีๆ มาอ้างเพียงเท่านั้น”
เจียงซื่อยิ้มร่า “การมาชมขบวนจอหงวนเป็นเหตุผลที่ดีแล้วหรือ”
อวี้จิ่นเอนกายไปข้างหลัง ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยขึ้น “แน่นอน เจ้าก็เห็นว่าคนทั้งเมืองต่างออกมาสนุกครึกครื้นกัน เช่นนั้นพวกเราถือโอกาสมาเจอกันหน่อยจะเป็นอะไรไป”
จะว่าไปในราชวงศ์มีข้อห้ามเยอะแยะมากมาย หากเป็นคู่หมั้นสามัญชนคนธรรมดาล่ะก็ การเที่ยวเล่นด้วยกันนั้นไม่นับว่าเป็นอะไรเลย
เขาอยากจะนัดเจียงซื่อออกมาเจอตั้งนานแล้ว ทว่าจั่งสื่อ[1]ของจวนอ๋องจับตาดูอย่างเข้มงวดซะยิ่งกว่าเอ้อร์หนิวเสียอีก น่ารำคาญเสียจริง
เห็นเขาเป็นคนเหลวไหลรึไง
เจียงซื่อเอามือเท้าคางมองออกไปข้างนอก “ดูครึกครื้นมากจริงๆ อย่างไรก็เป็นถึงอัจริยะผู้สามารถสอบขุนนางสามระดับได้อันหนึ่งติดต่อกัน ไม่แปลกที่ผู้คนจะตื้นเต้นขนาดนี้”
อวี้จิ่นยื่นมือออกไปประคองใบหน้าเจียงซื่อกลับมา “พอแล้ว เห็นแค่ผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัดก็พอแล้ว จอหงวนหลางไม่มีอะไรน่าดูหรอก มีจมูกมีตาเหมือนกัน ไม่ได้มีหางงอกออกมาสักหน่อย”
เจียงซื่อตั้งใจแกล้งเขา “ใครว่าไม่มีอะไรให้ดูกัน ภายในเวลาสั้นๆ สามปี มีให้เห็นน้อยมากนักว่าจะมีจอหงวนหลางออกมาหนึ่งคน แต่นี่เป็นถึงผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดที่สอบได้อันดับหนึ่งติดต่อกันในการสอบขุนนางเชียวนะ”
“ไม่มีอะไรน่าดูหรอก ดูไปก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา เวลานี้ควรจะดูข้ามากกว่า” อวี้จิ่นรู้สึกหึงหวงอยู่ในใจเมื่อเห็นเจียงซื่อเทิดทูนจอหงวนคนใหม่
แค่ได้เล่าเรียนตำรานั้นมันน่าสรรเสริญมากเลยรึ แม้ในตำราจะมีความรู้ดั่งหยก มันก็ไม่น่าดูมากเท่ากับเจียงซื่อของเขาหรอก
เมื่อคิดเช่นนี้ อวี้จิ่นก็รู้สึกสบายใจ
ชาติภพนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากการได้กอดอาซื่อนอนทุกวัน ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นอาซื่อเท่านี้ก็พอใจมากแล้ว
“ท่านอ๋องต่างหากที่ไม่มีอะไรน่าดู” เจียงซื่อยิ้มยั่วโมโหเขา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มันเป็นเพียงแค่คำพูดหยอกเล่นกันชัดๆ ไม่นึกเลยว่าจะคุยกันได้ออกรสออกชาติจนความสุขเอ่อล้นขึ้นมาในใจอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขนาดนี้
อวี้จิ่นทำหน้าตะลึง “ห้ามเรียกข้าว่าท่านอ๋อง”
“เช่นนั้นเรียกว่าอะไรดี”
อวี้จิ่นเขยิบเข้ามาใกล้ พูดเสนอออกไปอย่างไม่อายปาก “เรียกว่าพี่เจ็ดให้ข้าฟังสิ”
พี่เจ็ดงั้นหรือ
มองใบหน้าอันหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาใกล้ เต็มไปด้วยความลำพองใจและการรอคอย เจียงซื่อกลอกตาใส่อย่างไม่แยแส
แม้ว่าชาติภพที่แล้วจะเป็นสามีภรรยากัน ทว่าเขาก็ไม่เอ่ยปากขออย่างไร้ยางอายเช่นนี้
อืม ตอนนั้นเขาอายุมากกว่าตอนนี้กี่ปีกันแน่นะ ถึงได้ควบคุมความไร้ยางอายของตัวเองได้
“ไม่ได้”
อวี้จิ่นผิดหวังเล็กน้อย และไม่พอใจด้วย “อย่างไรก็ตามห้ามเรียกท่านอ๋อง เจ้าเรียกข้าว่าท่านอ๋อง ผู้อื่นก็เรียกข้าว่าท่านอ๋อง แล้วมันจะมีความแตกต่างกันอย่างไรเล่า”
เจียงซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มร่าแล้วพูดออกไป “เช่นนั้นข้าเรียกว่าเจ้าว่าอาจิ่นดีหรือไม่”
“อาจิ่นงั้นหรือ” อวี้จิ่นพูดพึมพำ มันเป็นคำเรียกที่ธรรมดาแท้ๆ แต่เมื่อออกมาจากปากหญิงสาวที่เขารักกลับไพเราะเป็นพิเศษ
อาซื่อกับอาจิ่น ช่างเหมาะสมกันเสียจริง
อวี้จิ่นพยักหน้า “ดี”
เจียงซื่อยิ้มพร้อมกับเอ่ยเรียก “อาจิ่น”
“หืม”
“รู้สึกเหมือนจะต้องเรียกเจ้าว่าอาจิ่นไปทั้งชีวิตซะแล้ว”
ณ ช่วงเวลาอันสั้น หากทิ้งความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในใจเพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง ที่จริงชาติภพที่แล้วก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนางช่วงหนึ่งเลยก็ว่าได้
อวี้จิ่นดึงเจียงซื่อเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พูดอย่างภาคภูมิใจ “ก็ต้องเรียกไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว”
จู่ๆ เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวก็ทำลายบรรยากาศอันสวยงามของทั้งคู่ลง
“จอหงวนหลางมาแล้ว จอหงวนหลางมาแล้ว…”
จอหงวนหลางผู้เป็นอัจริยภาพ!
อวี้จิ่นชำเลืองมองด้านนอกแวบหนึ่งด้วยสีหน้าบึ้งตึง เห็นเพียงแค่ฝูงชนกำลังกรูกันออกไปข้างหน้า ราวกับถนนจะพัง
เสียงกลองและเสียงประทัดเฉลิมฉลองดังลั่น ผู้สอบขุนนางได้อันดับหนึ่งทั้งสามระดับสวมเสื้อคลุมสีแดงถือดอกไม้พร้อมกับขี่ม้ารูปงามเดินย่างเข้ามาช้าๆ ผู้ที่อยู่หน้าสุดก็คือเจินเหิง จอหงวนหลางของต้าโจว
เมื่อเห็นเจินเหิงยังหนุ่มยังแน่น สตรีจำนวนมากก็กรีดร้องออกมา จากนั้นก็ตามมาด้วยถุงหอม ผ้าเช็ดหน้า ดอกไม้ที่ถูกโยนออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ชายชรามาดนิ่งผู้หนึ่งตะเบ็งเสียงลั่น “ห้ามโยนผลไม้ ห้ามโยนผลไม้เด็ดขาด หากทำให้นิมิตมงคลของพวกเราบาดเจ็บจะแย่เอา!”
นิมิตมงคล?
เจินเหิงที่ขี่ม้าตัวสูงใหญ่แทบจะล้มลงมา
เขากลายเป็นนิมิตมงคลไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ความรู้เป็นอันดับหนึ่ง วิทยายุทธ์ไม่เป็นรองผู้ใด เช่นนั้นจึงทุ่มเทสุดกำลังเข้าร่วมสอบชิงตำแหน่งขุนนาง นี่ไม่ใช่แค่ความภาคภูมิใจในฐานะที่เขาเป็นผู้ที่เล่าเรียนหนังสือ มันเป็นการสารภาพความรู้สึกครั้งแรกที่ไม่สามารถเอ่ยปากพูดออกมาได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาได้ทำดีที่สุดเพื่อให้นางเห็น…
ท่ามกลางผู้คนมากมาย นางกำลังดูเขาอยู่หรือไม่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในฐานะคนธรรมดาที่มาร่วมครื้นเครงก็ตาม บางทีอาจเป็นเจตจำนงของสวรรค์ เจินเหิงจับผลัดจับผลูชำเลืองมองไปที่โรงน้ำชา พลางตกใจขึ้นมาทันที
ม้ารูปงามเดินอย่างเชื่องช้าตาม
ผู้คนสองข้างทางพบว่าจอหงวนหลางลดความเร็วลง เสียงอื้ออึงดังยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะผู้คนอายุน้อยที่เบียดกันมาข้างหน้าราวกับคนบ้า
“จอหงวนหลาง จอหงวนหลาง!” ผู้คนตะโกนเรียงราวกับเสียสติไปแล้ว
จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งถูกเบียดออกมาขวางทาง ผู้คุ้มกันกองขบวนชูหอกขึ้นแล้วแทงออกไป
——————————
[1] จั่งสื่อ เจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งจากทางวังให้ดูแลความเรียบร้อยของจวนอ๋อง