บทที่387 หมดหนทาง
ลี่จุนถิงโบกมือปัดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้หรอก นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่พวกเราตั้งใจทำให้เข้าล้มลงต่างหาก ฉันเดาไว้แล้วล่ะว่าเขาจะหนีไป ”
ในสายตาของลี่จุนถิงAnthonyเป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้เท่านั้น มีแค่ไอ้ขี้แพ้เท่านั้นแหละที่หนีไปก็ต่อเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา
“แต่ว่า……”ซู่จี้งยี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งทว่าก็พูดออกไป “ถ้าแค่ทำให้บริษัทของเขาล้มละลาย มันจะไม่ใจดีกับเขาไปหน่อยเหรอครับ?”
ลี่จุนถิงพยักหน้ารับ “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะพอแค่นี้นี่นา ฉันบอกแค่ว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ลี่จุนถิงนั่งเอนหลังด้วยท่าทางเกียคร้านอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานพร้อมกับฉีกยิ้มออกมาอย่างราชาผู้ชนะ
ซู่จี้งยี้เลิกคิ้วขึ้น เขารู้ว่าลี่จุนถิงไม่หยุดเพียงเท่านี้แน่
“ถ้างั้นพวกเราจะเอาไงต่อดีครับ?” ซู่จี้งยี้ไม่รู้ว่าขั้นตอนต่อไปจะต้องทำอะไร
“นายอย่าลืมนะว่าตอนแรกใครเป็นคนเริ่ม”
“ท่านหมายถึงตระกูลส้งเหรอครับ?”
ลี่จุนถิงดีดนิ้วขึ้น “ใช่แล้ว นายจัดการตระกูลส้งให้ฉันก่อน จากนั้นก็ค่อยไปจัดการไอ้กระจอกนั่น”
“เข้าใจแล้วครับ” ซู่จี้งยี้พยักหน้ารับ แล้วเตรียมจะออกไป ถ้าจัดการกับตระกูลส้งสำเร็จแล้วละก็ วันหยุดของเขาก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ ซู่จี้งยี้ก็รู้สึกกระตือรือร้นในการทำงานขึ้นมามากกว่าเดิมอีก
“เดี๋ยว” จู่ๆลี่จุนถิงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา
“ครับคุณชายลี่” ซู่จี้งยี้หันขวับ ตอนนี้ไม่ว่าจะสั่งให้เขาทำอะไรเขาก็พร้อมทำมันอย่างเต็มที่
“เมื่อกี้นายว่าที่หน้าสตีเฟนกรุ๊ปตอนนี้ยังมีคนชุลมุนวุ่นวายกันอยู่เต็มไปหมดหรอ?” ลี่จุนถิงคิดวิธีสร้างรายได้ให้กับตัวเองออกแล้ว
“ใช่ครับ คนที่คอยจับตาตาดูที่นั่นอยู่บอกว่า มีหลายๆคนเริ่มถือป้ายประท้วงพร้อมกับนั่งอยู่หน้าบริษัทเต็มไปหมด เห็นทีคงจะใช้เวลาอีกนาน” ซู่จี้งยี้รู้สึกเห็นใจพวกเขานิดหน่อย
พอเห็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบมาร่วมทำงานเป็นหุ้นส่วนกันแบบนี้มันช่างน่าเวทนาจริงๆ
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ของAnthony เห็นทีพวกเขาคงต้องจ่ายค่าชดเชยให้สถานเดียวแล้ว
“เอางี้ นายไปรับโครงการจากพวกเขามาต่อยอด ไปดูว่าอันไหนดีและมีโอกาสทำสำเร็จสูง ในเมื่อAnthonyพลาดหุ้นส่วนดีๆพวกนี้ไป พวกเราก็ไปรับมาต่อยอดดีกว่า อีกอย่างนายจะได้ถือโอกาสไปดูด้วยว่าที่หน้าบริษัทเป็นยังไงบ้าง ส่วนอะไรที่จัดการได้นายก็จัดการไปเลยนะ” ลี่จุนถิงถือโอกาสใช้ช่วงอันเลวร้ายนี้ให้มีประโยชน์
“เข้าใจแล้วครับ” ซู่จี้งยี้รู้สึกว่าชายคนนี้ฉลาดจริงๆ ในขณะที่กำลังเหยียบคนอื่นแต่เขาก็ยังไม่ลืมว่าตัวเองจะต้องกอบโกยผลประโยชน์ไว้ด้วย
พอซู่จี้งยี้มาถึงก็เห็นว่ามีผู้คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นตรงด้านหน้าประของตูสตีเฟนกรุ๊ปพร้อมกับชูป้ายประท้วงสีแดงสะดุดตา และส่งเสียงตะโกนดังลั่นสลับไปมาอย่างไม่ขาดสาย
ทันทีที่รถของซู่จี้งยี้แล่นเข้ามา สายตาของผู้คนที่นั่งอยู่กับพื้นต่างก็เปล่งประกายขึ้นมาอย่างมีความหวัง เพราะคิดว่านั่นคือAnthony
สายตาของผู้คนที่มองมายังรถนั้นสามารถทำให้ซู่จี้งยี้รู้สึกเกร็งไปได้เลย บางคนเริ่มขยับลุกขึ้น
ทว่าเมื่อเปิดประตูออกแล้วพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความหวังเมื่อกี้ต่างก็มอดไหม้ลงอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีใครหันมามองซู่จี้งยี้อีกเลย
ซู่จี้งยี้คิดในใจเงียบๆว่า ถ้าพวกเขารู้ว่าตัวเองมาเพื่อช่วยเกรงว่าท่าทีของพวกเขาคงไม่เป็นแบบนี้แน่?
ซู่จี้งยี้เดินตรงเข้าไปแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าของทุกคน มีคนที่นั่งอยู่กับพื้นบางคนเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็หันมองไปที่อื่นราวกับว่าคนที่อยู่ข้างหน้านั้นเป็นไอ้โง่คนหนึ่ง
ซู่จี้งยี้กระแอมเสียงเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนขึ้น “สวัสดีทุกคน ผมคือผู้ช่วยลี่ซื่อกรุ๊ปของคุณชายลี่ ชื่อว่า ซู่จี้งยี้”
แค่คำว่าลี่ซื่อกรุ๊ปเท่านั้นแหละ ทุกคนต่างก็มองด้วยความประหลาดใจ
มีคนจำนวนมากเริ่มทยอยเงยหน้าขึ้นมามองซู่จี้งยี้
“ได้ยินมาว่าทุกคนกำลังหัวเสียกับเรื่องสตีเฟนกรุ๊ป ดังนั้นที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาเสนอทางออกให้กับทุกคน โครงการไหนที่สตีเฟนกรุ๊ปทำไม่สําเร็จทางเราจะขอรับต่อเอง แต่มีข้อแม้ว่ามันจะต้องผ่านการพิจารณาจากพวกเราก่อน เพื่อดูว่าโครงการของบริษัทพวกคุณคุ้มค่าที่จะทำต่อไหม”
พอซู่จี้งยี้พูดจบ ฝูงชนที่นั่งอยู่กับพื้นก็เริ่มลุกฮือกันขึ้นมา
ทันใดนั้นท่ามกลางฝูงชนก็มีคนตะโกนโพล่งขึ้นมา “ลี่ซื่อกรุ๊ปจะทำงานกับบริษัทเล็กๆอย่างพวกเราจริงหรอ?”
ในสายตาของบริษัทขนาดเล็ก ลี่ซื่อกรุ๊ปก็เปรียบเสมือนสวรรค์ที่ทั้งชีวิตนี้พวกเขาไม่อาจเอื้อมถึง
“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพวกคุณ สำหรับพวกเราลี่ซื้อกรุ๊ปแล้วไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ นอกเหนือจากว่าบริษัทของคุณไร้คุณภาพ ” ซู่จี้งยี้ยิ้มมุมปากขึ้นพลางมองไปยังฝูงคนที่นั่งอยู่กับพื้น
บางครั้งมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเท่าไหร่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความสามารถมากแค่ไหนต่างหาก ความยิ่งใหญ่ของเปลือกนอกไม่อาจเทียบได้กับความสามารถที่อยู่ภายในได้หรอก
ตอนนี้เริ่มมีคนลุกขึ้นมาแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหลี่จุนเฉิน
ตอนแรกหลี่จุนเฉินก็มาที่นี่ด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็พบว่ามันไม่มีหวังแล้วจริงๆ เขาตกลงไปในห้วงแห่งความสิ้นหวังทันที
ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าเขามีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลทั้งคนแก่และเด็กในครอบครัว ถ้าเกิดว่างานครั้งนี้ล้มเหลว เขาคงตกงานแน่
ตอนนี้ไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว
“บริษัทผมอยากลองดูครับ” หลี่จุนเฉินก้าวเข้าไปด้วยความกระตือรือร้น
ซู่จี้งยี้เผยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับ “ครับ นี่คือนามบัตรติดต่องาน สำหรับรายละเอียด เดี๋ยวทางเราจะแจ้งกลับไปอีกที”
หลี่จุนเฉินรับนามบัตรมาด้วยมือที่สั่นระรัว จากนั้นก็หยิบนามบัตรของตัวเองยื่นให้ซู่จี้งยี้ แล้วพูดขึ้น“ขอบคุณครับ”
นี่นับว่าเป็นอีกหนึ่งความหวังใหม่สำหรับเขาเลยก็ว่าได้
พอเห็นหลี่จุนเฉินได้รับนามบัตรมา ทุกต่างก็ทยอยส่งนามบัตรของตัวเองให้ซู่จี้งยี้
ซู่จี้งยี้รู้สึกว่าตัวเองโดนล้อมไปด้วยผู้คนจนจะหายใจไม่ออกแล้ว
แต่พอคิดว่านี่เป็นธุรกิจ ทุกอย่างล้วนเป็นเงิน เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนทิ้งนามบัตรติดต่อไว้ ไม่นานซู่จี้งยี้ก็ยกมือเป็นเชิงให้ทุกคนเงียบลง
“ทุกคนฟังนะครับ เรื่องนี้เป็นความคิดของคุณชายลี่ ผมหวังว่าทุกคนจะจริงจังและตั้งใจทำงาน ขอเพียงแค่พวกเราต้องการ และพวกเรารู้สึกว่ามันดีพอ พวกเราก็จะรับไว้พิจารณา วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่สนับสนุนลี่ซื้อกรุ๊ป”
พอซู่จี้งยี้พูดจบเขาก็ขึ้นรถจากไป
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ ต่อไปก็ต้องไปจัดการตระกูลส้งให้ราบคาบ
เพราะว่า……ตระกูลส่งกับAnthonyมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้นส้งหวั่นหวั่นกับAnthonyก็หมั้นกันแล้วด้วย แน่นอนว่าส้งหวั่นหวั่นคงใช้อิทธิพลของAnthonyหาประโยชน์เข้าครอบครัวตัวเองไปได้ไม่น้อย อีกทั้งระหว่างสตีเฟนกรุ๊ปกับตระกูลส้งยังมีการร่วมงานกันอีกมากมาย
การที่สตีเฟนกรุ๊ปถูกตรวจสอบในครั้งนี้ ตระกูลส้งต้องซวยไปด้วยแน่ๆ
ซู่จี้งยี้จะไม่ต้องเหนื่อยอะไรมากถ้าเรื่องที่สตีเฟนกรุ๊ปทำผิดกฎหมายเกี่ยวโยงกับตระกูลส้ง เพียงเท่านี้ซู่จี้งยี้ก็จะหาหลักฐานออกมาได้อย่างง่ายดายแล้ว