ตอนที่ 393 ไป พวกเราไปจับชู้กัน!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 393 ไป พวกเราไปจับชู้กัน!

ผู้บำเพ็ญเพียรถูกกระแทกจนร่วงหล่นลงไปก่อน ทว่ากลับร่วงลงสู่พื้นช้ากว่าเล็กน้อย

หยวนกังที่เป็นคนโจมตีอีกฝ่ายจนร่วงตกลงมากลับแตะถึงพื้นก่อน ทันทีที่สองเท้าแตะพื้นก็ม้วนตัวไปด้านหน้าทันที จากนั้นสองเท้าถีบตัวขึ้นจากพื้น พุ่งตัวออกไปอีกครั้งในทิศทางที่อีกฝ่ายกำลังจะร่วงหล่นลงมา

ผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังร่วงลงมามีโลหิตไหลออกจากโพรงจมูกเป็นทาง ตัวคนยังไม่ทันแตะพื้นก็เห็นหยวนกังพุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้ง เขาพลันกางสองแขนออก รวบรวมสภาวะทั้งหมดในร่างซัดพลังปราณอันไร้รูปลักษณ์สองดวงออกมาจากสองมือ พุ่งโจมตีกระหนาบซ้ายขวาเข้าใส่หยวนกังอย่างคุ้มคลั่ง

ร่างของหยวนกังดีดพุ่งขึ้นมาจากพื้น สองแขนยกไขว้กัน ป้องกันส่วนหัวเอาไว้ ร่างกายพุ่งออกไปเสมือนกระสุนปืนใหญ่ ใช้ร่างกายเข้าปะทะกับกลุ่มปราณไร้รูปลักษณ์สองดวงนั้น

ตูม! ตูม!

กลุ่มปราณสองดวงแตกสลายไปทันที เสื้อผ้าท่อนบนของหยวนกังขาดวิ่นกระจายปลิดปลิว เผยให้เห็นร่างกายอุดมมัดกล้ามแกร่งกำยำที่แดงปลั่ง แถบแพรที่มัดรวบผมไว้ก็คลายตัวออกเช่นกัน

พงหญ้าในรัศมีหลายจั้งถูกกระแสลมปราณถอนรากถอนโคนออกมา หน้าดินหลุดล่อนออกมาเป็นแผ่นๆ ปลิวกระจายไปทั่วสารทิศดังระลอกคลื่น

เมื่อสถานการณ์คลายตัวลงเล็กน้อย หยวนกังที่ร่วงลงสู่พื้นก็ดีดตัวขึ้นมาอีกครั้ง

แต่เหตุการณ์ที่ปรากฏตรงหน้านี้กลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรตกใจขวัญผวา นี่มันตัวประหลาดอันใดกัน? ใช้ร่างกายเข้าปะทะกับพลังโจมตีที่ตนระดมสภาวะทั้งหมดในร่างโดยไม่หลบไม่เลี่ยงเลยอย่างนั้นหรือ?

เขารู้ว่าตอนนี้สภาวะของตนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่การที่ใช้กายเนื้อเปล่าๆ มาต้านรับการโจมตีของเขามันก็ออกจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย กายเนื้อของไอ้ตัวประหลาดผู้นี้มันแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน?

เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เพราะหยวนกังพุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าเขาแล้ว อาศัยจังหวะที่เท้าเขายังไม่แตะถึงพื้นเงื้อดาบง้าวที่หักไปครึ่งเล่มฟันเข้าใส่หัวของเขา

ผู้บำเพ็ญเพียรยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ให้สองมือประกบหนีบใบดาบของเขาที่ฟันลงมา สองเท้ากระแทกลงบนพื้นดังตูม พละกำลังที่กดทับลงมาหนักอึ้งราวกับท่อนซุง ตูม! สองเท้าเขาจมลงไปในพื้นดิน หน้าดินแตกร้าวยุบตัวลึกลงไป

ผัวะ! หยวนกังฉวยจังหวะเบี่ยงกายแล้วฟันศอกออกไปกระแทกเข้าที่หน้าอกของผู้บำเพ็ญเพียร

พรูด! ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าหงายสำรอกโลหิตออกมา ได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงหักดังกร็อบ สภาวะทั้งร่างไม่อาจต้านทานการโจมตีอันหนักหน่วงนี้ได้ ตัวคนกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง ก่อนจะกลิ้งไถลไปตามพื้น

หยวนกังอยู่ในภาพเปลือยท่อนบน ผมยาวสยายปลิวไสวไปตามสายลม ร่างแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดูประหนึ่งประติมากรรมหิน ในมือถือดาบง้าวหักครึ่งท่อนไว้ ย่างเท้าเข้าไปช้าๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ผู้บำเพ็ญเพียรตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แต่ขากลับอ่อนแรงล้มคว่ำลงไปอีกครั้ง สุดท้ายก็กระเสือกกระสนจนยันตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง โลหิตทะลักออกมาจากปากและจมูกไหล เขาหันหลังเดินโซเซออกไป มือหนึ่งกุมอยู่ตรงทรวงอก แม้แต่ก้าวเดินก็ยังไม่มั่นคง แต่ยังคงคิดจะหนีเอาชีวิตรอดอยู่

ทันใดนั้นเอง เขาพลันถูกคนถีบที่ด้านหลังขา สองขาอ่อนยวบคุกเข่าลงไปกับพื้น เขาคิดจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าดาบง้าวที่หักไปครึ่งท่อนกลับจ่อพาดอยู่บนลำคอของเขาแล้ว

หยวนกังที่พาดดาบจ่อคอเขาค่อยๆ เดินวนมาอยู่ตรงหน้าเขา ก้มลงมองเขาอย่างเย็นชา

ผู้บำเพ็ญเพียรค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา คนที่เปลือยกายท่อนบนอันแข็งแกร่งกำยำ เรือนผมยาวปลิวไสวตามลมที่ยืนอยู่เบื้องหน้าดูคล้ายนักรบจากยุคโบราณ เขายิ้มอย่างน่าสังเวช เอ่ยถามออกไปว่า “เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”

หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา “เซ่าผิงปออยู่ที่ไหน? บอกมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

ตอบที่ลอบโจมตีก่อนหน้านี้เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว ในหมู่ผู้คุ้มกันรถม้าดูเหมือนจะมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่เพียงสองคนเท่านั้น คนที่เหลือล้วนเป็นชาวยุทธ์ธรรมดาทั้งสิ้น ทันทีที่ถูกทางนี้เข้าจู่โจมก็ไม่สามารถตอบโต้กลับได้เลย เรื่องนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง เซ่าผิงปอถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งแห่งมณฑลเป่ยโจว มาเยือนสถานที่เช่นนี้ ข้างกายจะมีผู้บำเพ็ญติดตามคุ้มกันเพียงสองคนได้อย่างไร?

เขาตระหนักได้ทันทีว่าตนอาจจะคว้าน้ำเหลวแล้ว ติดกับกลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[1]ของอีกฝ่ายเข้า

ผู้บำเพ็ญหัวเราะอย่างน่าเวทนา “เซ่าผิงปอจากไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว”

หยวนกังถาม “ข้าถามเจ้าว่าเขาไปไหน?”

ผู้บำเพ็ญเพียรหอบหายใจพลางส่ายหน้า “ตั้งแต่มาถึงแคว้นฉี แผนการเดินทางของเขามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด คนที่ทราบชัดเจนดีที่สุดมีเพียงตัวเขาเอง คนอื่นไม่มีใครรู้ทั้งสิ้น ข้าเองก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าเขาล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาอยู่ไหน น้องชาย ข้าและเจ้าไร้ซึ่งความบาดหมางแค้นเคือง ตัวข้าพอจะมีเงินอยู่เล็กน้อย เจ้ารับไปแล้วเมตตาปล่อยข้าไปสักครั้งได้หรือไม่?” เขาล้วงเอาตั๋วเงินที่มีมูลค่าแตกต่างกันไปปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นส่งให้

หยวนกังยื่นมืออกไปคว้าตั๋วเงินในมือเขามา เพียงมองดูอย่างเฉยชาเล็กน้อย จากนั้นก็มองดูผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชาอีกครั้ง

ผู้บำเพ็ญเพียรกลืนน้ำลายพลางเอ่ยว่า “น้องชาย หากเจ้าคิดว่าไม่มากพอ ข้ายังมีเงินเก็บอยู่ในโรงฝากเงินอีกจำนวนหนึ่ง พวกเรามาหาทางเจรจาแลกเปลี่ยนความต้องการกันดีหรือไม่?”

หยวนกังยกกระบี่ออกจากลำคอของเขาแล้วเดินอ้อมเขาไป

ผู้บำเพ็ญเพียรเหลียวมองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วจริงๆ เขาจึงใช้มือยันพื้นพยายามลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก

แต่จู่ๆ หยวนกังที่เดินทิ้งห่างจากคนที่อยู่ด้านหลังมาได้ระยะหนึ่งพลันตวัดปลายเท้าเล็กน้อย เกี่ยวใบดาบหักครึ่งที่อยู่บนพื้นให้ลอยขึ้นมา

เคร้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังเสียดหู

หยวนกังหมุนตัวเหวี่ยงแขนตวัดดาบ ปัดใบดาบหักครึ่งให้พุ่งฉิวออกไป

ใบดาบหักครึ่งกลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งทะยานออกไปราวกับดาวตก ปักเข้าสู่แผ่นหลังของผู้บำเพ็ญเพียรที่ลุกขึ้นมาคนนั้น ก่อนจะทะลุออกไปทางด้านหน้าของทรวงอกของผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นพร้อมกับโลหิตที่สาดกระจาย

ผู้บำเพ็ญเพียรเบิกตากว้าง ทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นล้มคว่ำลงบนพื้นหญ้า ชักกระตุกอยู่ตรงนั้น

หยวนกังถือดาบหักครึ่งเดินหน้าไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดลงมา ลายกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ถูกแสงสีทองอาบไล้ขับเน้นให้เด่นชัดเลื่อมพราย เรือนผมยาวดำขลับดั่งน้ำหมึกปลิวไปตามแรงลม พลิ้วไหวไปในทิศทางเดียวกับหมู่หญ้าเขียวขจีที่พลิ้วไหวอยู่ในที่แห่งนี้

เขาค่อยๆ เร่งความเร็ว ยิ่งเดินยิ่งเร็ว ก่อนจะเริ่มออกตัววิ่ง พุ่งทะยานไปดั่งเสือดาวตัวหนึ่งอีกครั้ง

สายลมพัดพายอดหญ้าพลิ้วไหวดั่งระลอกคลื่น ทว่าไม่อาจกลบร่องรอยที่เขาวิ่งลัดผ่านในตอนที่ไล่ตามมาได้ เขาอาศัยร่องรอยนี้วิ่งกลับไปภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง

เขาวิ่งกลับมายังเขตภูเขาแห่งนั้น เดินลึกเข้าไปในป่า ในตอนที่มาถึงละแวกเส้นทางหลวงก็ได้พบกับพวกหยวนเฟิง

พอเห็นว่าอาภรณ์บนร่างเขาหายไป แม้แต่ดาบในมือก็เหลืออยู่เพียงครึ่งเล่ม หยวนเฟิงจึงเดินเข้าไปถาม “ลูกพี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

หยวนกังยัดตั๋วเงินที่ถือมาตลอดทางใส่อกเขา

หยวนเฟิงใช้สองมือกดตั๋วเงินบนอกไว้

หยวนกังเอ่ยถาม “พบเป้าหมายหรือไม่?”

หยวนเฟิงหันไปสั่งให้สมาชิกคนหนึ่งนำผมหงอกปลอมกระจุกหนึ่งที่พันกันยุ่งเหยิงเข้ามา เอ่ยรายงานว่า “เพราะสิ่งนี้เลยทำให้ระบุตัวเป้าหมายพลาดไป เป็นตัวปลอมขอรับ”

หยวนกังถาม “จัดการสถานที่เรียบร้อยหรือยัง?”

หยวนเฟิงตอบว่า “ทำได้เพียงจัดการไปอย่างง่ายๆ ขอรับ ร่องรอยการระเบิดเด่นชัดเกินไป ไม่สามารถทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมในระยะเวลาสั้นๆ ได้”

หยวนกังวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที ทั้งกลุ่มก็วิ่งตามไปด้วยเช่นกัน

หยวนกังเดินมาหยุดบนเนินเขาริมถนนแล้วมองดูเล็กน้อย เพียงจัดการฝังกลบไปอย่างง่ายๆ จริงๆ ร่องรอยของพื้นดินที่เกิดการระเบิดขึ้นไม่สามารถกลบเกลื่อนให้สมบูรณ์ได้

ทั้งกลุ่มติดตามหยวนกังกระโดดลงมาจากเนินเขา เดินข้ามถนนหลวงมุดเข้าสู่ส่วนลึกในป่าอีกฟากหนึ่ง

ทุกคนนั่งยองๆ อยู่ริมลำธารสายหนึ่ง ล้างเนื้อล้างตัวกันเล็กน้อยอย่างว่องไว จากนั้นก็ปลดเชือกม้าที่เอาไปซ่อนไว้ พากันปีนขึ้นหลังม้าควบออกมาจากป่า บังคับม้าวิ่งห้อกลับไป

….

อาทิตย์อัสดงเหนือท้องทะเลงดงามยิ่งกว่า บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง เซ่าผิงปอยืนรับลมอยู่ที่หัวเรือ ถึงแม้ผมจะขาวหงอกไปครึ่งหัว ทว่ายังคงดูสุขุมสง่างาม แววตาราบเรียบลุ่มลึก ผ้าคลุมกันลมโบกสะบัดอยู่ด้านหลัง

ปีกทองตัวหนึ่งบินฝ่านภาเหนือสมุทรเข้ามา ผ่านไปสักพักเซ่าซานเสิ่งก็ถือจดหมายลับฉบับหนึ่งเดินเข้ามา เอ่ยรายงานว่า “คุณชายใหญ่ ตรวจสอบเรื่องชายฉกรรจ์หน้าแดงคนนั้นได้แล้วขอรับ นามว่าอันไท่ผิง เป็นเถ้าแก่ของร้านเต้าหู้ที่พวกเราเคยไปลิ้มรสกันเมื่อคราวก่อน เปิดร้านเต้าหู้เพียงอย่างเดียว ได้ยินว่าเป็นธุรกิจที่ร่วมหุ้นกับฮูเหยียนเวยบุตรชายของฮูเหยียนอู๋เฮิ่นขอรับ อันไท่ผิงคนนี้เดิมทีเป็นทหารนายหนึ่งในกองทัพชายแดน ได้ยินว่าถูกคนมียศใส่ความป้ายสีจนเกือบถูกสังหารปิดปากไปแล้ว…” เขาเล่าประวัติความเป็นมาทั่วไปของอันไท่ผิงออกมา

เซ่าผิงปอเอ่ยถาม “แค่เถ้าแก่ร้านของว่างคนหนึ่ง เหตุใดถึงเข้านอกออกในเรือนด้านในของเรือนเมฆาขาวได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นห้องของพี่จ้าวอีก?”

เซ่าซานเสิ่งยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่อาจทราบได้ขอรับ เกรงว่าคงต้องไปสอบถามรายละเอียดของเรื่องราวจากคุณหนูซูเอา”

หลังจากเซ่าผิงปอเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม “ยังไม่มีข่าวมาจากขบวนเดินทางฝั่งนั้นอีกหรือ?”

เซ่าซานเสิ่งตอบว่า “ไม่มีข่าวส่งกลับมาหลายวันแล้วขอรับ”

“ผิดปกติ น่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ดูเหมือนจะมีคนต้องการลงมือกับข้าจริงๆ เป็นผู้ใดกันที่อยากจัดการข้า? ข่าวการเดินทางครั้งนี้ของข้ามีการปกปิดไว้อย่างดี ทุกคนล้วนปิดบังตัวตนไว้ คนที่ทราบเรื่องมีอยู่ไม่มาก ตอนเข้าวังหลวงแคว้นฉีก็มีการปกปิดข่าวไว้ ตอนที่เข้าพบเฮ่าอวิ๋นถูข้างการมีเพียงผู้ดูแลหลวงปู้สวินคนเดียวเท่านั้น เฮ่าอวิ๋นถูย่อมไม่ประสงค์จะให้เกิดเรื่องกับข้าตอนนี้ น่าจะไม่มีทางแพร่งพรายข่าวของข้าต่อภายนอก เรื่องนี้มีเงื่อนงำ…” เซ่าผิงปอพึมพำกับตัวเอง หลับตาใคร่ครวญเล็กน้อย จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ร้านเต้าหู้ของอันไท่ผิงคนนั้นเปิดมานานแค่ไหนแล้ว?”

เซ่าซานเสิ่งผงะไปเล็กน้อย ขบคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “จากข่าวที่สายสืบส่งมา หลังเขามาถึงเมืองหลวงและพ้นผิดแล้ว เขาก็เริ่มเปิดกิจการร้านเต้าหู้ น่าจะเป็นระยะเวลาค่อนปีแล้วกระมังขอรับ?”

“ค่อนปี…ค่อนปี…เทียบกับช่วงที่หนิวโหย่วเต้ามาถึงเมืองหลวงแคว้นฉีแล้วน่าจะไม่ห่างกันมาก ระยะเวลาเพียงค่อนปีก็สามารถเข้าออกห้องส่วนตัวของพี่จ้าวได้ ผิดปกติ…” เซ่าผิงปอพึมพำต่อ ค่อยๆ หันมองไปในทิศทางที่ตะวันลาลับไปในท้องสมุทร คล้ายจะปล่อยใจชื่นชมทิวทัศน์อันงดงาม ทว่าปากกลับเอ่ยเนิบๆ ว่า “ให้คนวาดภาพเหมือนของอันไท่ผิงคนนี้ออกมาแล้วส่งกลับไปที่เป่ยโจวให้ลู่เซิ่งจงดูว่ารู้จักหรือไม่”

“ขอรับ!” เซ่าซานเสิ่งตอบรับ

เซ่าผิงปอเอ่ยสั่งการต่อว่า “ไม่ใช้เส้นทางทะเลแล้ว รีบเทียบฝั่งแล้วใช้เส้นทางบก ทำลายเรือเสีย อย่าให้เหลือผู้รอดชีวิตไปจากเรือ”

“…..” เซ่าซานเสิ่งผงะไปเล็กน้อย มองไปทางชายฝั่งทะเลแล้วเอ่ยเตือนว่า “คุณชายใหญ่ หากว่าเทียบฝั่งตอนนี้แล้วใช้เส้นทางบกเดินทางกลับ เกรงว่าจะต้องผ่านทะเลทรายที่คั่นกลางอยู่ระหว่างแคว้นฉีกับแคว้นจ้าวนะขอรับ เส้นทางนั้นเดินทางลำบาก”

“ข้ามทะเลทรายก็ข้ามทะเลทรายสิ ให้คนของสำนักเขามหายานได้รับความลำบากกันเสียบ้าง”

….

ณ ร้านเต้าหู้ ภายในป่าเล็กๆ ที่อยู่ภายในสวน มีเชือกเส้นหนึ่งที่ตามปกติแล้ว ‘เหล่าพนักงาน’ ใช้สำหรับฝึกฝน

ฮูเหยียนเวยนั่งอยู่บนเชือกเส้นหนึ่ง แกว่งโยกไปมาราวกับไกวชิงชาก็มิปาน

หยวนกังเดินเข้าไป มองเห็นเขามีท่าทางหงอยเหงาหดหู่ จึงเดินเข้าไปถาม “ระยะนี้ท่านไม่ค่อยคึกคักสักเท่าไรเลยนะ”

ฮูเหยียนเวยถอนหายใจดังเฮ้อแล้วเอ่ยไปว่า “เหนื่อยน่ะสิ ต้องทำงานอย่างเอาจริงเอาจังแล้ว เกรงว่าต่อไปคงไม่มีโอกาสได้มาที่นี่แล้ว คาดว่าอีกไม่นานข้าคงถูกย้ายไปสังกัดกองทหารม้าแล้ว คงไม่ได้กลับมาเยือนเมืองหลวงง่ายๆ แต่ไปได้ก็ดีเหมือนกัน ในบ้านมีแม่เสือเฒ่าอยู่ อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ข้าสู้อย่างไรก็เอาชนะนางไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้าด้วย เสียเปรียบในทุกๆ ด้าน ข้าหมดความสนใจในเมืองหลวงอันรุ่งโรจน์แล้ว จากไปก็ถือเสียว่าเป็นการหลบเลี่ยงภัย”

หยวนกังคว้าเชือกไว้ แกว่งไปมาคล้ายจะทดสอบแรงยึดเกาะดู จากนั้นถามขึ้นอีกครั้ง “ด้านนอกมีข่าวลือคักคักว่าอิงอ๋องกำลังจะแต่งชายาใหม่ คนที่จะแต่งด้วยคือบุตรีเซ่าเติงอวิ๋นแห่งมณฑลเป่ยโจว เป็นความจริงหรือ?”

“อืม เป็นความจริง” ฮูเหยียนเวยหยักหน้ารับ จากนั้นก็หัวเราะเยาะตัวเอง “พวกเราเองยังเอาตัวไม่รอดเลย จะเป็นกังวลกับเรื่องคนอื่นไปไยเล่า?”

นอกร้านเต้าหู้ รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจอดอยู่ริมทาง เด็กสาวคนหนึ่งที่รออยู่ริมทางมุดเข้าไปในรถม้าอย่างรวดเร็ว

ภายในรถม้า เฮ่าชิงชิงที่แต่งตัวแบบหญิงครองเรือนนั่งตัวตรงถือกระบี่ไว้ในมือ

เมื่อเด็กสาวเข้ามาก็รายงานทันที “องค์หญิง ยืนยันได้แล้วเจ้าค่ะ คุณชายสามเข้าไปในร้านเต้าหู้แห่งนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”

ชิ้ง! เฮ่าชิงชิงชักกระบี่ออกมาจากฝักครึ่งหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “คนผู้นั้นสันดานเป็นอย่างไรมีหรือข้าจะไม่รู้? ร้านเต้าหู้ดึงดูดความสนใจจากเขาได้ก็แปลกแล้ว ต้องมีสตรีซุกซ่อนอยู่ในร้านเต้าหู้แห่งนี้แน่นอน ไป พวกเราไปจับชู้กัน!” จากนั้นก็สอดกระบี่กลับเข้าฝัก

เด็กสาวพลันลนลานขึ้นมา รีบยื่นมือไปขวางนางไว้ “องค์หญิง พระองค์จะก่อเรื่องไม่ได้นะเพคะ!”

“ก่อเรื่องหรือ? ฮ่าๆ อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน หากกล้าเลี้ยงดูสตรีอื่นลับหลังข้าจริงๆ ข้าจะจับเขาตอนแล้วส่งเข้าไปเป็นขันทีในวังเสีย! หลีกไป!” เฮ่าชิงชิงดันตัวเด็กสาวให้พ้นทางแล้วมุดออกจากรถม้า กระโดดลงไปในทันใด

………………………………………………………..

[1]หนึ่งในกลยุทธ์สามก๊ก เป็นแผนหลอกล่อศัตรูให้หลงเชื่อในสิ่งที่แสงดให้เห็น แต่แท้จริงกลับลอบถอยกำลังหรือถอยหนีไปแล้ว

*******************