ตอนที่ 254 ฉางโซ่วมีแผนการล้ำเลิศของเขาเอง (2)
คนผู้นี้ระงับกลิ่นอายลมปราณเอาไว้ เขามีใบหน้าหล่อเหล่า มีเส้นผมยาวสีเงินขาวสองเส้นอยู่บนด้านหน้าขมับ เขาคือ ปรมาจารย์เซียนเทียนขั้นสูงสุดของสำนัก หวังฟู่!
แค่กๆ เขาคือ ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง!
น้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อนนั้นได้ผลจริงๆ หรือ?
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมาทันทีและส่งข้อความเสียงเตือนท่านปรมาจารย์ใหญ่ของเขาที่กำลังนอนกรนหลับสบายอยู่ในกระท่อมมุงจาก แล้วหันความสนใจมุ่งไปที่การเขียนบันทึกเสนอแนะ
สองชั่วยามต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆ บินออกไปจากหอโอสถ แล้วตรงไปที่ห้องเดินหมากเล่นไพ่เพื่อตามหาหลิงเอ๋อร์และขอให้นางสอนแนะนำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยในขณะที่เขาแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปและพบว่า…
หลิงเอ๋อร์และสงหลิงลี่เร้นกายอยู่ในกระท่อมมุงจาก และร่วมกันย่องไปรอบๆ เพื่อสังเกตสถานการณ์ใต้ต้นหลิวริมทะเลสาบ
มีโต๊ะเตี้ยอยู่ใต้ต้นหลิว ซึ่งมีชาหอมกรุ่นสองถ้วยวางอยู่บนนั้น ในขณะนั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ซึ่งมีนามเดิมว่าหวังฟู่กุ้ย และปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยที่ดุดันและชั่วร้ายต่างก็นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
พวกเขาทั้งสองต่างมองหน้าสบตากันเป็นระยะ แล้วคนหนึ่งก็มองไปที่ทะเลสาบในขณะที่อีกคนก็มองดูทุ่งหญ้า พวกเขาอดจะรู้สึกอึดอัดใจไม่ได้
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ทำท่านั่งสมาธิตามปกติขณะที่ยกมือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้
ในอีกด้านหนึ่งนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น และลูบเส้นผมของนาง
วันนี้ นางเปลี่ยนเป็นสวมชุดกระโปรงยาว แม้นางจะยังมีหน้าอกแบนราบอยู่ แต่ก็ฟื้นคืนความอ่อนช้อยในความเป็นสตรีตามรูปแบบของนาง
อย่างน้อย เมื่อมองจากด้านหลัง นางก็ยังดูไม่เลว
“เจ้า…”
“ข้า…”
ทั้งสองกล่าวออกมาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาสบตากันชั่วครู่ก่อนจะเบือนหน้าหนีกันไป
“เจ้าพูดก่อนเถิด”
“เจ้าก่อนสิ…”
จากนั้นพวกเขาจึงเงียบงันกันไปอีกครั้ง หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้ว แล้วผ่านไปที่กระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์เงียบๆ และไป
หลิงเอ๋อร์ทักทายเขาเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ ท่านมาแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วถามว่า “พวกเขาเป็นเช่นนี้มานานเพียงใดแล้ว?”
“สองชั่วยามเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์อดจะตบหน้าผากเรียบของนางเบาๆ ไม่ได้ “ข้าเปลี่ยนชาไปสามครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังพูดคุยกันไม่ได้”
สงหลิงลี่นั่งบนพื้นและเอ่ยถามเสียงเบาว่า “พี่ชาย พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ?”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “มาคุยเรื่องชีวิตที่เหลือของพวกเราและอนาคตกันเถิด”
กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็เดินไปที่เก้าอี้ทรงกลมส่วนตัวของเขาในกระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์ เขายกเสื้อคลุมเต๋าขึ้นแล้วนั่งลงอย่างสงบก่อนจะถอนหายใจออกมา
“สถานการณ์นี้เป็นปัญหาที่สุด”
หลิงเอ๋อร์ถาม “ศิษย์พี่ พวกเราช่วยได้หรือไม่?”
“ยาก” หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะส่งข้อความเสียงไปยังหลิงเอ๋อร์ว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยนั้น ไม่ได้หมายความตามที่พูด และนางก็เย่อหยิ่งมาก ส่วนปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งก็มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการฝึกบำเพ็ญ และเชื่อในสิ่งที่ท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยพูด
ทั้งสองลักษณะนิสัยเช่นนี้ รับมือได้ยากที่สุด เมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนเดินอยู่บนเชือก[1]
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลิงเอ๋อร์ หลังจากนี้ เมื่อไปเปลี่ยนชา เจ้าก็เพียงแค่พูดถึงบางสิ่งออกมาอย่างไม่จงใจ”
“ให้ข้าพูดถึงอะไรเจ้าคะ?” หลิงเอ๋อร์ถามเสียงแผ่วเบา
“เพียงแค่พูดว่า…”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเรื่องนั้นเป็นปัญหายุ่งยากมากกว่าที่วางแผนต่อต้านสำนักบำเพ็ญประจิม
“บอกพวกเขาว่าอีกสามวันหลังจากนี้ จะมีงานชุมนุมนิทรรศการศิลปะเล็กๆ ที่ยอดเขาหยกน้อย จึงอยากจะเชิญท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งให้มาร่วมชมสักหน่อย ความจริงแล้ว มันไม่สำคัญว่าเป็นเพราะเหตุผลใด หากเจ้าให้เหตุผลที่เหมาะสมในการมาเยือนที่นี่กับเขาเพื่อให้ได้พบกับท่านปรมาจารย์ใหญ่ เข่นนั้น ก็เพียงพอแล้ว”
จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม หลิงเอ๋อร์ก็ถือชาที่เพิ่งชงใหม่ๆ แล้วทำตามแผน…
และเป็นไปตามที่หลี่ฉางโซ่วกล่าว ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งพยักหน้าตกลงอย่างไม่ลังเลใดๆ
ทว่าในทางกลับกันนั้น ปรมาจารย์ใหญ่เจียงหลินเอ๋อร์กลับพึมพำเบาๆ ว่า “เจ้ารู้วิธีชื่นชมภาพวาดศิลปะด้วยหรือ?”
ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง พยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนตอบ…
“ใช่”
ไม่นานหลังจากนั้น ก็ดูเหมือนว่า ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งจะขจัดความกังวลใจไปได้ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวคำอำลาขณะที่ร่างของเขาที่จากไปนั้นก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อยเช่นกัน
ในยามนั้น เจียงหลินเอ๋อร์ก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่อาจปกปิดได้ นางส่งเสียงร้องเพลงร่าเริงที่หลิงเอ๋อร์เล่นเมื่อวานนี้ออกมาเบาๆ เมื่อลุกขึ้นแล้วกลับไปที่กระท่อมมุงจาก
หลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างเบิกบานใจในทันที “ศิษย์พี่ มันได้ผลจริงๆ!”
“แน่นอน” หลี่ฉางโซ่วเม้มปากพลางกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องของบุรุษสตรีดี …”
จู่ๆ หลิงเอ๋อร์ก็เบะปากขณะนึกถึงข่ายอาคมที่วางรอบกายนางในครั้งก่อน แล้วพึมพำเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ ไยท่านถึง…รู้เรื่องนี้ดี…”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบว่า “คนภายนอกย่อมมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้ดีกว่า เจ้าแค่สับสนกับสถานการณ์เท่านั้น”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?”
หลิงเอ๋อร์ มองไปที่ สงหลิงลี่และหัวหลังในรูปของก็พยักหน้าอย่างหนัก
หลิงเอ๋อร์มองไปที่สงหลิงลี่ผู้แข็งแกร่งที่ผงกศรีษะเล็กๆ บนร่างดั่งหอคอยเหล็กของนางในทันที
“พี่ชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”
ทั้งที่ไม่รู้ว่า เหตุใดถึงถูก แต่นางก็ยังกล่าวเช่นนั้น…
หลิงเอ๋อร์อดจะตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้งไม่ได้ แต่นางก็ถูกศิษย์พี่ของนางหลอกได้อย่างง่ายดาย
ในขณะนั้น ก็มีเสียงกระแอมไอเบาๆ ดังมาจากด้านนอก แต่ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยผู้ดุดันและชั่วร้ายยิ่งก็เดินเอามือไพล่หลังและเข้ามาอย่างสงบ
“เป็นอย่างไรบ้าง ฮิฮิ ฉางโซ่ว หลิงเอ๋อร์!
วันนี้ปรมาจารย์ใหญ่อย่างข้าจะขอหน้าหนาสักหน่อย ช่วยทำบางอย่างให้ข้าด้วยเถิด!”
หลี่ฉางโซ่วรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ โปรดชี้แนะข้าด้วย หลิงเอ๋อร์และข้าจะทำอย่างดีที่สุดแน่นอนขอรับ”
หลิงเอ๋อร์แย้มยิ้มเช่นกันและกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ พวกเราจะพยายามช่วยท่านอย่างเต็มที่เพื่อจัดการท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งในคราวเดียวเจ้าค่ะ!”
“หือ ไฉนพวกเจ้าถึงอยากจัดการเขาเล่า”
เจียงหลินเอ๋อร์กล่าวอย่างโกรธเคือง หากไม่เป็นเพราะน่องของนางสั่นเป็นจังหวะ หลิงเอ๋อร์ก็คงจะถูกหลอกด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงของนางอย่างง่ายดายแล้ว
เจียงหลินเอ๋อร์หน้าแดงและกระซิบว่า “พวกเจ้าสองคน… คุ้นเคยกับเสี่ยวจิ่วไม่ใช่หรือ? ข้าอยากให้พวกเจ้าถามนางว่า… ข้าทำอย่างไรถึงจะใหญ่ได้… พวกเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”
หลิงเอ๋อร์อดจะปิดปากหัวเราะ ไม่ได้ ในขณะที่สงหลิงลี่เอียงศีรษะเพื่อแสดงให้เห็นว่า นางไม่เข้าใจ แต่หลี่ฉางโซ่วนั้นมีท่าทางเคร่งขรึม
“แค่กๆ” เจียงหลินเอ๋อร์กระแอมไอ “ข้าจะฝากเรื่องนี้ไว้กับพวกเจ้า ข้ายังต้องไปฝึกบำเพ็ญ เช่นนั้น ข้ากลับก่อนนะ”
กล่าวจบ นางก็รีบจากไปอย่างรวดเร็วปานมีลมพัดพาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิงเอ๋อร์รีบเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ พวกเราจะไปหาท่านอาจารย์อาจิ่วตอนนี้กันเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไปหานางก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “นางเองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับความสูงของท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู แม้ผู้ฝึกบำเพ็ญจะสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายได้ แต่ก็ไม่อาจสร้างสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่แต่แรกได้ คาถาของพวกเขาไม่มีจริง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับร่างเต๋าโดยกำเนิดและรากฐานเต๋า ซึ่งไม่อาจสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกฝนปีศาจส่วนใหญ่จะไม่อาจเปลี่ยนร่างจริงและเท้าของพวกเขาเองได้ ไม่ว่าระดับฐานพลังปราณของพวกเขาจะสูงมากเพียงใด ซึ่งเป็นหลักการเดียวกัน แต่ข้ายังมีอีกสองสามวิธีที่จะช่วยท่านปรมาจารย์ใหญ่ได้”
หลิงเอ๋อร์ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ศิษย์พี่ ท่านรู้วิธีเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อผ่านการส่งข้อความเสียงไปให้หลิงเอ๋อร์
เป็นเช่นนั้นๆ
หลิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางก็ไม่กล้าสงสัยในความจริงจังที่ศิษย์พี่ของนางกล่าวถึง จึงพยักหน้าตกลง
……………………………………………………………
[1] หมายถึงอันตราย