บทที่ 411 พบเซี่ยฟางเฟยอีกครั้ง

“ข้าไม่รู้ว่าพ่อแม่ของข้าเป็นใคร ตั้งแต่จำความได้ ข้าก็อยู่ที่ซวนอิ่งแล้ว”

“ตอนที่ยังเด็ก พวกเราทุกคนจะถูกขังรวมกัน พอถึงเวลาจะมีคนนำอาหารมาให้ แต่ละมื้อช่างน้อยนิด กินได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น พวกเราต้องแย่งชิงกันไม่เช่นนั้นจะอดตาย ในตอนนั้นแย่งกันจนเลือดตกยางออกเลยทีเดียว” ตู้เย่กล่าว

เขาตั้งใจว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่ต้องการให้ซานเป่ารู้ว่าไม่มีใครแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิด กว่าจะเก่งกาจได้ต้องผ่านความยากลำบากมานับครั้งไม่ถ้วน ตัวเขาเองก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย โลกใบนี้มันโหดร้ายเกินกว่าที่นางจะรู้ได้

“เมื่อโตขึ้นอีกหน่อย จะมีคนมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้เรา คนที่เรียนรู้ได้ไวจะมีข้าวกิน ส่วนคนที่ตามไม่ทันจะโดนทุบตี”

“พวกที่โดนทุบตีก็บาดเจ็บสาหัส วันต่อไปก็ไม่เจอพวกเขาแล้ว”

“เพื่อความอยู่รอด พวกเราต้องฝึกทั้งวันทั้งคืน จนมือไม้ด้านชาไม่หลงเหลือความเจ็บปวดใดๆ พวกเราค่อยๆ ชินกับสิ่งที่เกิดขึ้น”

“ที่แห่งนั้นไม่มีใครเป็นสหายกัน เพราะคนที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในวันนี้ อาจจะหันดาบเข้าหากันได้เสมอ”

ในเด็กจำนวนนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ซานเป่าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นตอนแรก ค่อยๆขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องราว นางไม่คิดว่าอาจารย์ของตนจะมีอดีตที่น่าเศร้าหดหู่เช่นนี้ เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้วนางมีความสุขในวัยเยาว์มากกว่า มีพ่อแม่และคนรักนางมากมาย นางต้องอดทนต่อการฝึกที่เข้มงวดให้ได้ ตอนนี้นางยังอ่อนแอเกินไป นางอยากให้อาจารย์รักนาง

“อาจารย์ ท่านไม่ต้องเสียใจนะ เรื่องราวทุกอย่างจบไปแล้ว” ซานเป่าลูบหลังตู้เย่

ตู้เย่ดูเด็กตัวน้อยๆ ที่ปลอบโยนเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ช่างดูน่าขันแต่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ใบหน้าของนางดูจริงจัง

“เอาล่ะ หมดเวลาพักแล้ว เริ่มฝึกต่อได้”

สีหน้าของอาจารย์เปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมาในทันที ซานเป่าชะงักมือค้าง เด็กหญิงจ้องมองตู้เย่ด้วยดวงตากลมโต

ตู้เย่หรี่ตาลง ดูอันตรายจนทำให้ซานเป่ากระโดดขึ้นยืดตัวเบ่งหน้าอก

“เจ้าค่ะอาจารย์!” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความฮึกเหิม

…..

ผ่านจากฤดูหนาวก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มค่อยๆ อุ่นขึ้น ถังหลี่กำลังเตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้คนในครอบครัว แม้ปกติจะมีคนจากจวนอู่โหวคอยดูแลรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้าให้แล้วก็ตามที หากแต่ถังหลี่ชอบเสื้อผ้าของร้านจื้ออวิ๋นโหล่วซึ่งเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงมากกว่า ร้านนี้เป็นร้านของไป๋มู่หยางพี่ชายของนาง เสื้อผ้าของที่นี่จะมีรูปแบบที่แปลกใหม่และสวมใส่สบาย บรรดาขุนนางของเมืองหลวงจึงชอบไปเลือกหาซื้อกัน

เดิมทีร้านแห่งนี้เป็นทรัพย์สินเดิมของสกุลกัว หลังจากที่นางกัวแต่งกับสกุลไป๋จึงถูกตั้งชื่อร้านว่าไป๋ ต่อมาเมื่อนางกัวเสียชีวิตและไป๋มู่หยางล้มป่วยลง ร้านแห่งนี้จึงตกอยู่ในมือของติงเสี่ยวเหลียน ไม่รู้แน่ชัดว่านางไม่มีตาหรือตั้งใจผลิตสินค้าคุณภาพต่ำกันแน่ ชื่อเสียงของจื้ออวิ๋นโหล่วจึงเริ่มตกต่ำลง โชคดีที่หลังจากไป๋มู่หยางแข็งแรงขึ้นเขาก็ทำให้ชื่อเสียงของจื้ออวิ๋นโหล่วค่อยฟื้นตัวขึ้นมา

ไป๋มู่หยางเชิญอดีตนักปักผ้าที่เคยทำงานด้วยกันกลับมา พร้อมกันนั้นก็จ้างนักปักผ้ารุ่นใหม่ที่มีฝีมือมาดูแล ทำให้ชื่อเสียงของจื้ออวิ๋นโหล่วฟื้นตัวขึ้น

ไป๋มู่หยางยังเปิดตัวการตลาดที่แปลกใหม่ หลังจากซุ่มทำงานหนักอยู่หลายปี ร้านจื้ออวิ๋นโหล่วแห่งนี้จึงได้กลายเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง โดยมีลูกค้ามาเยี่ยมชมนับไม่ถ้วนทุกวัน

ถังหลี่นั่งรถม้าไปยังจื้ออวิ๋นโหล่ว ภายในร้านมีหญิงสาวหลายคนกำลังล้อมรอบสาวงามผู้หนึ่งอยู่ต่างพากันพูดคุยหัวเราะแก่กันร่าเริง

“ฟางเฟยชุดที่เจ้าใส่อยู่เป็นของจื้ออวิ๋นโหล่วใช่หรือไม่? ช่างงดงามมากจริงๆ”

หญิงสาวที่ถูกผู้คนรายล้อมนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซี่ยฟางเฟย หรือคุณหนูเซี่ยนั่นเอง เมื่อนางได้ยินจึงได้มีสีหน้าพึงพอใจขึ้นมา

“ใช่แล้ว นี่เป็นแบบเฉพาะของฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว มีเพียงชุดเดียวเท่านั้น”

“ที่จื้ออวิ๋นโหล่วจะออกชุดใหม่ในทุกฤดูกาลมีเพียงแบบละหนึ่งชุด ทุกครั้งที่ออกมาผู้คนล้วนแย่งชิง เจ้าซื้อชุดนี้มาได้ช่างโชคดีจริงๆ”

“ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นอะไรหรอก สหายของบิดาข้าให้มาน่ะ”

ทันทีที่เซี่ยฟางเฟยพูดเช่นนี้ทุกคนย่อมรู้ดี บิดาของเซี่ยฟางเฟยเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการขนส่งเกลือ แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งขุนนางระดับสาม แต่เกลือเป็นสิ่งสำคัญมาก ทุกบ้านย่อมต้องใช้เกลือ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนอยากประจบประแจงบิดาของนาง พวกเขาจึงริเริ่มที่จะประจบนางก่อน ใครล่ะจะไม่อิจฉาที่บิดาของนางมีหน้าที่การงานดีเช่นนี้

“ฟางเฟยชุดนี้เหมาะกับเจ้ามาก ลองดูสิ”

“ฟางเฟยไม่ชอบชุดนี้หรอก นางจะชอบแต่ชุดที่ออกแบบเป็นพิเศษผลิตออกมามีจำนวนจำกัดเท่านั้น”

“พวกเจ้าตัดสินใจแทนข้าไปเสียแล้ว แล้วจะให้ข้าว่าอย่างไรได้เล่า”

เซี่ยฟางเฟยยิ้ม

“ฟางเฟย ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้ากู้สนใจในตัวเจ้า เป็นเรื่องจริงหรือ?” เซี่ยฟางเฟยทำท่ายิ้มอย่างเขินอายออกมา

ปีนี้นางอายุสิบเก้าปีแล้ว ย่อมถึงวัยที่จะออกเรือน แต่นางเป็นคนที่มีรสนิยมสูง ถึงจะมีบุรุษมากมายมาสู่ขอ นางก็ไม่คิดจะชายตาแล เพราะคิดว่าตนเองสมควรต้องได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีที่สุด เมื่อไม่นานมานี้นางได้บังเอิญพบกับกู้หวนเนี่ยน ที่หล่อเหลาและสง่างาม นางตกหลุมรักเขาทันที

กู้หวนเนี่ยนเป็นถึงผู้พิพากษาของศาลต้าหลี่ ทั้งยังเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพกู้ อนาคตของเขาย่อมมีความก้าวหน้า เมื่อนางได้ยินว่าสกุลกู้กำลังหาลูกสะใภ้จึงให้ท่านป้าของนางส่งรูปไปยังจวนสกุลกู้ แต่กลับไม่มีข่าวคราวจากสกุลกู้เลย

เซี่ยฟางเฟยไม่รู้ว่าทางจวนสกุลกูมีความคิดเห็นอย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาไม่ชอบนาง?

ทั้งรูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์ของเซี่ยฟางเฟยย่อมเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งสกุลเซี่ยเองก็มีชื่อเสียง จึงไม่มีเหตุผลใดๆเลย ที่พวกเขาจะไม่เลือกนาง หรือว่าจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่น ….

แม้ว่าในใจเซี่ยฟางเฟยจะกระวนกระวาย แต่จะให้นางยอมรับออกไปได้อย่างไร นางจึงได้แต่แสร้งทำเป็นเขินอายเท่านั้นเอง ผู้อื่นจะได้คิดว่ากู้หวนเนี่ยนมีใจให้นาง แม้ว่าชายหนุ่มจะอายุมากกว่า แต่เขาเกิดในตระกูลสูงมีความสามารถประกอบกับหน้าตาหล่อเหลา ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีของเซี่ยฟางเฟย

“คุณชายใหญ่สกุลกู้ยังหนุ่มและเป็นคนเก่ง ย่อมคู่ควรกับคุณหนูเซี่ย”

“หากสกุลกู้ส่งคนมาทาบทามเมื่อไหร่ คงจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้นแน่”

“คุณชายใหญ่กู้เป็นผู้พิพากษาศาลต้าหลี่ตั้งแต่อายุน้อย เขาอาจจะปีนขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ในวันหน้า”

“ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ ฟางเฟย”

สตรีเหล่านั้นเริ่มพูดประจบประแจงเซี่ยฟางเฟยพร้อมฉีกรอยยิ้มสอพลอ แต่แล้วเซี่ยฟางเฟยก็ยิ้มค้าง เมื่อเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นเคยผลักประตูร้านก้าวเข้ามา นางเกือบคิดว่าตัวเองตาฝาดไปเสียแล้ว

นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

ผู้หญิงบ้านนอกชาติกำเนิดต่ำต้อยผู้นั้นจะมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร?

เซี่ยฟางเฟยจ้องนางเขม็ง เป็นถังหลี่จริงๆ

ถังหลี่รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเมื่อเห็นเซี่ยฟางเฟย

หญิงสาวที่นางได้พบเจอในเมืองเหยาสุ่ย ผู้หญิงที่ข้ามมิติเข้ามาในหนังสือเช่นเดียวกับนาง ทำทุกอย่างเพื่อต้องการแย่งเว่ยฉิงไปจากถังหลี่ แต่สุดท้ายเมื่อความจริงปรากฏ นางถูกตัดสินให้รับโทษหนักถึงสามสี่ปีเลยทีเดียว