“ประธานเฟิง พวกเธอเข้าใจผิดคิดว่าคุณผู้หญิงท่านนี้ไม่รู้จักคุณ เตรียมจะไล่คุณเขาออกไป ฉันเห็นเข้าพอดีค่ะ…” เซี่ยฉิงอธิบายทันที ท่าทางของเธออ่อนน้อมมาก
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เป็นชายในฝันของเธอ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทด้วย เป็นประธานที่เธอไม่สามารถผิดใจได้ เธอรู้ว่าสถานะของเฉินฮวนฮวนไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่กล้าปิดบังอะไรใด ๆ กับเฟิงหานชวน
เฟิงหานชวนได้ยินแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว ท่าทางแบบนี้ ทำให้พวกหวังลู่กลัวยิ่งกว่าเดิม
หวังลู่เหงื่อเริ่มออกหน้าผาก เพราะว่าเธอได้ยินประโยคนั้นที่เซี่ยฉิงถามเฉินฮวนฮวนเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเฉินฮวนฮวนรู้จักเฟิงหานชวนจริง ๆ
แต่ความสัมพันธ์เป็นอะไรกันนั้น เธอยังไม่รู้ เธอมองไปทางเฉินฮวนฮวน พบว่าสีหน้าของเฉินฮวนฮวนนิ่งเฉยเป็นพิเศษ
วินาทีต่อมา เฉินฮวนฮวนยิ้มขึ้น เผยให้เห็นฟันเรียงขาว แล้วเดินเข้าไปหาเฟิงหานชวน แล้วยืนอยู่ข้างเขา
“อาสาม ในที่สุดอาก็ลงมาแล้ว” น้ำเสียงของเธอออดอ้อนนิดหน่อย ฟังแล้วหวานเป็นพิเศษ
เดิมทีเฟิงหานชวนกะว่าจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ เฉินฮวนฮวนจะเรียกเขาว่า “อาสาม” เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ
สีหน้าของเขาเคร่งขรึมกว่าเดิม เฉินฮวนฮวนเห็นแล้ว จึงรีบคล้องแขนของเขา แล้วแอบหยิกแขนของเขา
เฟิงหานชวนเข้าใจความหมายของเฉินฮวนฮวน ว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเขา ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ มีลูกด้วยกันแล้ว ทำไมยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ?
ทันใดนั้นเขานึกอะไรขึ้นได้ เขาเข้าใจสถานการณ์ในทันที
เฉินฮวนฮวนยังไม่ได้ออกจากการแข่งขัน งั้นก็หมายความว่าต่อไปยังจะต้องเข้าอัดรายการคัดเลือกไอดอล แน่นอนว่าไม่สามารถเปิดเผยสถานะแต่งงานแล้วได้
คิดได้ถึงตรงนี้ ท่าทางของเฟิงหานชวนสงบลง แล้วพูดเสียงหนักแน่น “ตามผมมา”
พูดจบ เฟิงหานชวนก็จับแขนของเฉินฮวนฮวนไว้ แล้วพาเข้าไปในลิฟต์
ประตูลิฟต์ค่อย ๆ ปิดลง รอให้ตัวเลขขึ้นไปทางด้านบน กลุ่มคนพวกนั้นที่อยู่ที่ชั้นหนึ่ง ก็เหมือนหม้อระเบิดยังไงยังงั้น เริ่มพึมพำกันไม่หยุด
“แม่เจ้า ประธานเฟิงมีหลานสาวที่โตขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ประธานเฟิงเป็นลูกคนที่สามของตระกูลเฟิง ผู้หญิงคนนั้นเรียกประธานเฟิงว่าอาสาม น่าจะเป็นลูกสาวของพี่ชายคนที่สองของประธานเฟิงมั้ง?”
“ใช่ ๆ ใช่แน่นอนแหละ คุณชายสองเฟิงเจิ้งซวินกำลังเลี้ยงดูลูกสาวคนหนึ่งอยู่ เฟิงเจิ้งซวินกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวการเงินว่าลูกสาวอายุยี่สิบปี เรียนอยู่ที่ต่างประเทศ”
“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฟิง หน้าตาสวยจริง ๆ! เมื่อกี้พวกเรายังเข้าใจผิดว่าเธอมายั่วยวนประธานเฟิง สร้างเรื่องใหญ่โตจริง ๆ”
“พวกเรายังดีอยู่ แต่หวังลู่…ไม่รู้ว่าจะถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงเคียดแค้นไหม?”
มีคนพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนจึงค่อย ๆ มองไปทางหวังลู่ที่อยู่ด้านข้าง หวังลู่หน้าซีดขาวตั้งนานแล้ว เหงื่อซิบเต็มหน้าผาก แม้กระทั่งฝ่ามือ แผ่นหลัง จนกระทั่งทั้งตัวก็มีเหงื่อผุดออกมา
ถึงแม้ตอนนี้เธอเป็นแค่พนักงานต้อนรับ แต่เธอเป็นพนักงานต้อนรับของบริษัทอาร์ เงินเดือนสูง มีหน้ามีตา ต่อให้ตีเธอให้ตายเธอก็ไม่มีทางทำให้งานนี้หลุดมือ
แต่ว่า เมื่อครู่เธอไร้มารยาทกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิง แต่ละคำพูดเยาะเย้ยเธอ แถมยังผลักเธอเข้าไปที่มุมเพื่อขู่เข็ญ ถ้าหากคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงคนนั้นเคียดแค้น แล้วฟ้องกับประธานเฟิง งั้นเธอก็ทำอะไรไม่ได้ไหม?
หวังลู่สั่นไปทั้งตัว เธอเห็นเซี่ยฉิงที่กำลังเหม่อลอยอยู่ด้านข้าว จึงโอบแขนของเซี่ยฉิงในทันที แล้วพูดขอร้อง “เลขาเซี่ย คุณช่วยฉันหน่อยค่ะ ช่วยฉัน…ฉันไม่อยากถูกประธานเฟิงไล่ออก ฉันต้องการงานนี้ ขอร้องคุณช่วยฉันนะคะ…”
เซี่ยฉิงรู้ว่าทำไมหวังลู่ถึงได้ขอร้องตัวเอง แต่ตอนนี้เธอไม่อยากยุ่งเรื่องของหวังลู่เลย ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัย ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ไม่หยุด
เธอไม่เคยเจอคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงมาก่อน แต่ว่าสัมผัสที่หกของเธอ เธอคิดว่าคุณผู้หญิงคนเมื่อกี้ ไม่ใช่คุณหนูของตระกูลเฟิง
ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเหตุอื่น แต่เป็นเพราะท่าทางของประธานเฟิง ไม่ใช่ท่าทางที่มีต่อหลานสาวแน่นอน
แต่ในเมื่อไม่ใช่อาหลานกัน ทำไมผู้หญิงคนเมื่อกี้ ถึงได้เรียกประธานเฟิงว่า “อาสาม” นะ?
“เลขาเซี่ย คุณคือมือขวาของประธานเฟิง สามารถพูดกับประธานเฟิงได้ ช่วยฉันข้อร้องหน่อยนะคะ ให้โอกาสฉันอีกสักครั้ง ต่อไปฉันจะไม่มีทางไร้มารยาทแบบนั้นกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิงอีกค่ะ…” หวังลู่แทบจะร้องออกมาแล้ว
“พอแล้ว เธอไปทำงานก่อน เรื่องนี้ฉันช่วยเธอถามเอง” เซี่ยฉิงรู้สึกหวังลู่จ้อกแจ้กจอแจน่ารำคาญ จึงปลอบเธออย่างจริงจัง หวังลู่ทำได้เพียงพยักหน้า ไม่กล้าพูดอะไรเยอะ เกรงว่าจะทำให้เซี่ยฉิงรำคาญ
…
ภายในลิฟต์
เฉินฮวนฮวนถูกชายหนุ่มต้อนเข้ามุม คางถูกนิ้วมือจับเงยขึ้น ให้เงยหน้ามองเขา
“อาสาม?” เฟิงหานชวนเลิกคิ้ว ก้มหน้าลง แทบจะตรงหน้าเธอแล้ว
เฉินฮวนฮวนหลบหน้า แล้วรีบพูดขึ้น “ถ้าหากลิฟต์หยุดขึ้นมา คนอื่นเห็นเข้าจะไม่ดี”
“ไปชั้น 22 ก็ถึงโดยตรง” เฟิงหานชวนปฏิเสธคำพูดของเฉินฮวนฮวน เพราะแบบนี้เขาถึงได้กำเริบเสิบสานกับเธอ
เฉินฮวนฮวน “…”
น้ำเสียงของเฟิงหานชวนเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม “ทำไมไม่พูดแล้ว? ไม่มีอะไรจะอธิบายเหรอ?”
เฉินฮวนฮวนหันหน้ามา ดวงตาทั้งสองจ้องมองชายตรงหน้าอย่างกล้าหาญ เธอยิ้มมุมปาก แต่รอยยิ้มนั้นกลับมีความเยาะเย้ยอยู่
“ติ๊ง” ถึงชั้นบนแล้ว ประตูลิฟต์ค่อย ๆ เปิดออก
เฉินฮวนฮวนเอามือวางลงบนหน้าอกของชายหนุ่ม เงยหน้าพูดข้างหูเขา แล้วพูดจริงจัง “ไปห้องทำงานคุณก่อนแล้วค่อยคุยกัน คนที่ต้องอธิบายคือคุณ”
พูดจบเธอก็ผลักเฟิงหานชวนออกอย่างแรง เฟิงหานชวนเหม่อลอยชั่วขณะ แล้วเซถอยหลังสองสามก้าว
รอให้เขารู้สึกตัว เฉินฮวนฮวนก็เดินออกจากลิฟต์ไปแล้ว
เขาขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน
เมื่อกี้เฉินฮวนฮวน เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?
เขาไม่ได้คิดอะไรเยอะ แล้วรีบเดินตามหญิงสาวไป หลังจากที่เข้าห้องทำงาน เขาเห็นเฉินฮวนฮวนนั่งอยู่ที่โซฟาหนังแท้สีดำอยู่ก่อนแล้ว ขาข้างหนึ่งพาดอยู่บนขาอีกข้าง เผยให้เห็นข้อเท้าขาวเรียว
“ปิดประตู” เฉินฮวนฮวนเหลือบมองเฟิงหานชวน แล้วพูดสั่ง
หลังจากที่เฟิงหานชวนทำตามคำสั่ง ก็สาวเท้าเดินเข้าไปหาหญิงสาว นั่งลงข้างเฉินฮวนฮวน
แต่วินาทีต่อมา เฉินฮวนฮวนก็ขยับไปอีกข้างหนึ่ง รักษาระยะห่างกับเขา
เห็นระยะห่างช่วงนี้ เฟิงหานชวนขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วถามขึ้นทันที “ตกลงว่าเกินเรื่องอะไรขึ้น? พนักงานพวกนั้นที่ชั้นล่างทำให้คุณไม่พอใจเหรอ?”
“ผมจะไล่พวกเธอออก ตกลงไหม?”
คำพูดประโยคหลัง ค่อย ๆ เอาอกเอาใจ
หลังจากที่เฉินฮวนฮวนได้ยิน ก็รู้สึกว่าใจเต้นอีกครั้ง แต่เมื่อเธอนึกถึงคำพูดพวกนั้นของเสี่ยวลี่ เสี่ยวลี่เป็นผู้หญิงชนบทที่ซื่อสัตย์ ไม่น่าจะโกหกได้
เธอกดเสียงต่ำ “ไม่เกี่ยวกับพวกเธอ”
ได้ยินแบบนี้ เฟิงหานชวนขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความสับสน จึงถามขึ้น “พูดแบบนี้ แสดงว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผม?”
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร ถึงได้ทำให้ทูนหัวคนนี้ไม่พอใจ