บทที่412 เก็บเขาไว้ในใจตลอดมา
ในตอนที่กลับบ้าน เจียงหยุนเอ๋อเห็นว่าลี่จุนถิงอยู่บ้านแล้ว
เธอเดินไปทางลี่จุนถิงด้วยความสงสัย แล้วถามว่า “จุนถิง ทำไมวันนี้นายถึงกลับมาเช้าขนาดนี้?”
ลี่จุนถิงมองไปทางท้องของเธอ แล้วถามว่า “ทำไมถึงออกไปซื้อของคนเดียวล่ะ? เรื่องพวกนั้นเก็บไว้ให้พวกสาวใช้ทำก็พอแล้ว ตอนนี้เธอยังท้องอยู่ หากเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง?”
เจียงหยุนเอ๋อมองไปทางลี่จุนถิงหนึ่งทีด้วยความรู้สึกตลกเล็กน้อย พูดด้วยความประหลาดว่า “ทำไมนายถึงเห็นฉันเหมือนเป็นเด็กเลยล่ะ? ก็แค่ออกจากบ้านเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
ได้ยินคำพูดของเจียงหยุนเอ๋อแล้ว ลี่จุนถิงส่ายหัว พูดด้วยเสียงเบาว่า “หากเธอเป็นแค่เด็กจริงๆ ฉันไม่เป็นห่วงขนาดนั้นหรอก”
เจียงหยุนเอ๋อหลุดยิ้ม ยื่นมือไปกอดคอของลี่จุนถิง ขยับไปแล้วพูดว่า “งั้นครั้งหน้าฉันก็รอนายออกไปพร้อมกันฉัน แบบนั้นนายคงไม่เป็นห่วงแล้วใช่ไหม?”
แววตาของลี่จุนถิงมองเธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง จับเอวของเจียงหยุนเอ๋อไว้ “อื้ม งั้นฉันจะดูแลเธอดีๆ แน่”
สำหรับเรื่องที่พบเจอกับลี่หุยตอนอยู่ข้างนอก เจียงหยุนเอ๋อไม่ได้ตัดสินใจจะบอกลี่จุนถิง ไม้ว่ายังไงแล้วก็ไม่ได้เกินเรื่องอะไรขึ้น มีเรื่องเพิ่มขึ้นหนึ่งเรื่องสู้มีเรื่องลดลงหนึ่งเรื่องจะดีกว่า เธอไม่อยากจะให้ลี่จุนถิงคิดมากเพราะเรื่องนี้อีก
อีกอย่าง ถึงแม้ว่าตอนนั้นเจียงหยุนเอ๋อจะรู้สึกรำคาญมาก แต่ว่าตอนนี้หลังจากที่กลับถึงบ้านและเจอลี่จุนถิงแล้ว อารมณ์ไม่ดีมากมายต่างก็หายไปหมด
อีกทางหนึ่ง ช่วงนี้ลี่จุนซินมีเพื่อนที่จะเข้าเที่ยวในประเทศ จึงติดต่อลี่จุนซินมา อยากจะให้เธอมารับตัวเองหน่อย
ไม่ว่ายังไงแล้วก็เป็นเพื่อนกันมานานหลายปีแล้ว ลี่จุนซินจึงตอบตกลงทันที
“ได้สิ เคธี่ เธอถึงตอนพรุ่งนี้ตอนเย็นใช่ไหม? ฉันจะไปรับเธอแน่นอน”
หลังจากที่วางสายแล้ว โม่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นว่า “อื้ม? พรุ่งนี้เธอจะออกไปหรอ?”
ลี่จุนซินพยักหน้า แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เพื่อนฉันคนหนึ่งบอกว่าจะกลับมาเที่ยวในประเทศ พรุ่งนี้ฉันไปรับเธอ”
หลังจากได้ยินแล้ว โม่เสี่ยวฮุ่ยก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แค่พยักหน้าเบาๆ
วันที่สอง หลังจากที่ลี่จุนซินและเคธี่ทานอาหารที่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว ลี่จุนซินก็เตรียมตัวจะพาเคธี่กลับไปที่บ้าน ถึงว่าไปเยี่ยมเยียน
โม่เสี่ยวฮุ่ยก็อยู่บ้านพอดี เห็นว่าลี่จุนซินพาเคธี่กลับมา แววตาของเขาเปล่งประกายมาก
เคธี่มีรูปร่างหน้าตาที่สวยมาก ดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนู เธอทักทายกับโม่เสี่ยวฮุ่ยอย่างเฟรนลี่ ยังนำของขวัญที่ตัวเองเตรียมมามอบให้โม่เสี่ยวฮุ่ยอีกด้วย
“คุณป้า นี่คือของขวัญให้คุณป้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าจะเติบโตอยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ว่าภาษาจีนของเคธี่ก็ไม่ได้แย่ การพูดก็ถือคล่องอยู่ ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ระหว่างการสื่อสารกับคนจีน
หลังจากที่สนทนากับเคธี่ไปสักพักแล้ว สามารถพูดได้ว่ายิ่งอยู่โม่เสี่ยวฮุ่ยก็ยิ่งพอใจ จากนั้นก็อดถามลี่จุนซินที่อยู่ข้างๆ ไปไม่ได้
“จุนซิน เพื่อนคนนี้ไม่แน่เลยนะ รู้จักกันจากไหนเนี่ย?”
ลี่จุนซินก็ไม่ได้คิดมาก แค่พูดตามความจริง “รู้จักกันตอนที่เรียนอยู่ที่ต่างประเทศค่ะ”
“ผู้หญิงคนนี้ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีชาติตระกูล บุคลิกนี้ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา” โม่เสี่ยวฮุ่ยพูดด้วยความลองใจ
ลี่จุนซินพูดด้วยความใจไม่อยู่กับตัว “อื้ม บริษัทของบ้านเธอก็เป็นบริษัทที่เก่งกาจใน500 อันดับแรกในโลก ฐานะต่างๆ ก็ไม่ได้ต่างกับตระกูลลี่เรามาก”
พอได้ยินแบบนี้แล้ว โม่เสี่ยวฮุ่ยก็อดพอใจใหญ่ไม่ได้แล้ว
ก่อนหน้านี้เธออยากจะหาผู้หญิงที่มีฐานะไม่ต่างกับลี่จุนถิง ผู้หญิงตรงหน้านี้ก็ใช่แล้วไม่ใช่หรอ!
อีกฝั่งหนึ่ง ภายในโรงแรมระดับห้าดาว
ถึงแม้ว่าจะมาถึงช่วงตลาดกลางคืนแล้ว แต่ว่าในโรงแรมก็ยังคงเงียบสงบมาก นอกจากจะมีรปถ.ยืน “เฝ้า” อยู่ข้างนอกประตูแล้ว ในโรงแรมต่างก็ว่างเปล่าไปหมด
พื้นที่ของโรงแรมนั้นกว้างประมาณหลายร้อยตารางเมตร มีลิฟต์สิบกว่าชั้น สิ่งที่สำคัญคือการตกแต่งที่หรูหรา สีทองเต็มไปหมด เหมือนกับว่าถูกประจำการอยู่ในกองทอง แม้กระทั่งเสาที่ดูธรรมดาก็ยังใช้ทองที่มีเป็นทองเหลืองสลักตัวมังกรไว้บนนั้น ดูแล้วสูงส่งมาก ราคาไม่เบา มองจากที่ไกลๆ ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความหรูหรา
“และไม่รู้ว่าอาหารฝั่งเอเชียจะถูกปากหรือเปล่า แต่ว่าอาหารบ้านนี้ดีมากจริงๆ น้าทานไปแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกจำจนมาถึงทุกวันนี้” โม่เสี่ยวฮุ่ยนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วเปิดปากพูด
ได้ยินคำพูดของโม่เสี่ยวฮุ่ยแล้ว สีหน้าที่แข็งกระด้างของเคธี่ก็เผยรอยยิ้มขึ้นมา “ในเมื่อคุณน้ารู้สึกว่าอร่อย งั้นที่นี่ต้องอร่อยมากแย่ๆ ค่ะ หนูเชื่อสายตาของคุณน้าค่ะ”
“เจ้าเด็กนี่พูดเก่งจริงๆ นั่งลงก่อนเถอะ อย่ายืนซื่อๆ อยู่ตรงนั้น” โม่เสี่ยวฮุ่ยพูดขึ้นทันที
เคธี่พยักหน้า พาดเสื้อไว้ตามเก้าอี้ จากนั้นก็นั่งลง
“วันนี้ มีเพียงคุณน้ากับเธอ พวกเราสามคนหรอ?” จี้หันหลังแล้วค่อยๆ พูดขึ้น ในน้ำเสียงมีความรู้สึกผิดหวังอยู่
ดวงตาที่ใหญ่โตมองไปทั่วๆ ทุกสี่ทิศ ราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
“นอกจากพวกเราแล้ว เธออยากให้ใครมากอีก?” ลี่จุนซินล้างแก้วด้วยความไม่เข้าใจ แล้วถาม
“ก็คือน้องชายที่เธอเคยพูดในก่อนหน้านี้ ลี่จุนถิง ทำไมถึงไม่เห็นเขาออกมาล่ะ?” เคธี่ถามด้วยความเสียใจ น้ำชาที่ถืออยู่ในมือสั่นเล็กน้อย ราวกับว่าใจไม่อยู่กับตัว
“เขาหรอ? ทางบริษัทมีเรื่องต้องยุ่งเยอะมาก เขาจะมีเวลาว่างมาสนใจเรื่องของฉันหรอ” ลี่จุนซินพูดด้วยความหยอกล้อ
ได้ยินคำตอบแล้ว เคธี่พยักหน้าด้วยความผิดหวัง ตอบ อื้ม ด้วยเสียงเบาไปคำหนึ่ง
“เอ้ย ทำไม เคธี่ หนูก็รู้จักเจ้าจุนถิงหรอ?” โม่เสี่ยวฮุ่ยถามด้วยความสงสัย
เคธี่หยุดพูดไปสักพัก แล้วส่ายหัว จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนออกมา “หนูจะมีวาสนาที่จะรู้จักคนที่เพอร์เฟกต์อย่างจุนถิงได้ยังไงล่ะคะ”
“แต่ว่าเมื่อตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศกับจุนซิน มักจะได้ยินเธอพูดบ่นอยู่ที่ข้างหูตลอดเวลาค่ะ บอกว่ามีน้องชายที่หล่อเหลาคนหนึ่ง เป็นคนที่เคร่งครัดมาก อีกอย่างแค่อายุน้อยๆ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว การศึกษาก็สูง เพอร์เฟกต์มากๆ ค่ะ สิ่งที่สำคัญคือหน้าตาดีมาก ฉะนั้นหนูก็เลยอยากจะรู้จักค่ะ” บนใบหน้าของเคธี่มีความแดงอ่อนๆ
ผ่านไปสักพัก ก็พูดด้วยความเขินๆ อายๆ ว่า “บวกกับตอนนี้ที่มีวาสนาพอ ได้เห็นรูปภาพของจุนถิง……จากนั้นหนูก็เก็บไว้ในใจตลอดมาค่ะ อยากจะหาโอกาสเจอเขา……อื้ม……หวังว่าคุณน้าจะไม่หัวเราะเยาะหนูนะคะ”
ได้ยินคำพูดนี้ของเคธี่แล้ว โม่เสี่ยวฮุ่ยอึ้งไปเลย
ราวกับว่าแม้กระทั่งเธอก็คิดไม่ถึงว่า เสน่ห์บนตัวของลูกชายตัวเองจะมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นแพร่กระจายไปถึงต่างประเทศแล้ว
ราวกับว่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นกะทันหัน โม่เสี่ยวฮุ่ยหรี่ตามองดูเคธี่ ผ่านไปนานมากจึงจะยิ้ม “จะหัวเราะเยาะหนูได้ยังไงล่ะ ฉันกลับรู้สึกว่าหากไอ่หนุ่มนี่สามารถรู้จักกับหนูเคธี่ได้ หนูเป็นผู้หญิงที่สวยและฉลาดขนาดนี้ เป็นบุญวาสนาแปดชาติของเขาแล้ว”
ถูกชื่นชมแบบนี้ ในใจของเคธี่รู้สึกหวานไปหมด ในใจยิ่งแดงกระหน่ำขึ้นมา “คุณน้าพูดตลกเก่งจริงๆ เลยค่ะ”