บทที่ 359 เฮลิคอปเตอร์มาถึงแล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ใช่ น่าจะเป็นเธอครับ”

“ไม่สิ ที่ตัวเธอถูกค้นหาดูแล้ว ไม่มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ใดๆ”นิรุตติ์พูดเสียงหม่น

เขามั่นใจจุดนี้มาก เพราะว่าเขาค้นเธอแล้ว

ผู้ช่วยอภิสิทธิ์เกาหัว“งั้นก็แปลก ในเมื่อไม่มี งั้นจะถูกเปิดเผยได้อย่างไรครับ?”

เวลานั้น นิรุตติ์ก็เงียบลง

ผ่านไปหลายวินาที เขาหลับตาลง ถามอีกว่า“ปัญหานี้ไว้ค่อยคิด พวกนัทธีถึงไหนแล้ว พามากี่คน?”

“ตอนที่ผมแจ้งคุณ ก็ห่างสิบกว่ากิโลเมตรได้ ตอนนี้น่าจะไม่ถึงสิบกิโลเมตร ส่วนคน ตอนนี้ยังไม่แน่ใจครับ เห็นแค่รถ MPV สี่คัน และรถตำรวจสามคัน”ผู้ช่วยอภิสิทธิ์คิดแล้วตอบไป

“รถ MPVสี่คัน รถตำรวจสามคัน”นิรุตติ์หัวเราะอย่างเย็นชา“ดูเหมือนว่าอย่างน้อยจะต้องมียี่สิบสามสิบคนเชียว เหมือนว่าเขาจะมีความคิดที่จะช่วยออกไปให้ได้”

“ผู้อำนวยการ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี?”ผู้ช่วยอภิสิทธิ์ยืนอยู่ด้านหลังเขา มองเขาแล้วถาม

นิรุตติ์ลูบขมับ“ย้ายตำแหน่งทันที แล้วติดตั้งอุปกรณ์บล็อกอีกสองสามอัน”

“ครับ!”เลขาอภิสิทธิ์ตอบรับไป แล้วไปจัดการทันที

สองสามนาทีถัดมา ฝูงคนก็ขึ้นรถไป เตรียมเคลื่อนย้าย

ทันใดนั้น เสียงดังของใบพัดก็ดังเข้ามา

สีหน้านิรุตติ์กับผู้ช่วยอภิสิทธิ์เปลี่ยนไป เปิดกระจกรถอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นมองเห็นบนฟ้ามีเฮลิคอปเตอร์หลายลำลอยอยู่ และเฮลิคอปเตอร์พวกนั้นก็ยังปล่อยบันไดเชือกลงมา

หมายความว่า คนในเฮลิคอปเตอร์ กระโดดร่มลงมาได้ตลอดเวลา

“คนด้านล่างฟังไว้ วางอาวุธลงและมอบตัวทันที วางอาวุธลงและมอบตัวทันที!”เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งมีเสียงของตำรวจเข้ามา

ผู้ช่วยอภิสิทธิ์กลัวจนตัวสั่น“ผู้อำนวยการ พวกประธานจัดหาเฮลิคอปเตอร์มา พวกเราถูกล้อมรอบไว้แล้ว”

นิรุตติ์ไม่พูด สายตาหม่นลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ผ่านไปสักพัก เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างหมองหม่น“เยี่ยมมาก นัทธีนี่พ่อบุญทุ่มจริงๆ เพื่อช่วยคุณแล้ว แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ก็เอามาได้ วารุณี คุณดีใจใช่ไหม?”

เขาหันหน้ามองไปที่วารุณีที่ถูกทิ้งไว้เบาะหลัง และยังคงถูกมัดไว้

วารุณีไม่สนใจเขา เงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก มองไปที่นอกหน้าต่าง

ถ้าไม่ใช่ว่าบนปากถูกติดเทปอีก เธอก็จะตะโกนออกไปเสียงดัง บอกคนด้านนอก ว่าเธออยู่ในรถคันนี้

“คนด้านล่างฟังไว้ จะเตือนอีกครั้ง ลงจากรถเดี๋ยวนี้ ลงจากรถเดี๋ยวนี้!”คนบนเฮลิคอปเตอร์ตอนนี้เห็นรถด้านล่างสองสามคันยังไม่หยุดเคลื่อนไหว ก็ตะโกนไปอีกครั้ง

ด้านหลัง นัทธีกับมารุตยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องโดยสาร สวมแว่นกันลมแล้วมองลงมา

มารุตพูด:“ประธาน หาไม่เจอจริงๆว่าคุณผู้หญิงอยู่คันไหน”

นัทธีไม่ตอบ สายตานั้นจ้องไปที่รถด้านล่างเขม็ง

ผ่านไปสักพัก มือข้างหนึ่งของเขาจับที่จับบนศีรษะเพื่อให้ยึดติดร่างแน่น มืออีกข้างกดบลูทูธที่หู“อารัณ หม่ามี๊อยู่คันไหน?”

ที่โรงพัก อารัณกำลังนั่งอยู่ข้างคอมพิวเตอร์ ได้ยินคำถามของเขา ก็กดไปที่แป้นพิมพ์ แล้วคว้าไมค์เล็กๆที่อยู่ข้างคอมพร้อมตอบว่า:“พ่อ หม่ามี๊อยู่ในรถคันกลางที่สุด”

คันกลางที่สุด!

นัทธีหรี่ตาลง สายตาล็อกไปที่รถคันกลางที่อยู่ด้านล่าง

“เอาปืนมาให้ผม”นัทธียื่นมือไปทางมารุต

มารุตอ้าปาก“แต่ว่า……”

“ให้ผมมา!”นัทธีพูดเสียงดังขึ้น น้ำเสียงนั้นดูไม่ให้ใครก็ตามขัดใจ

มารุตรู้ว่าเขาทนไม่ไหว ก็เอาปืนให้เขา

นัทธีรับไป เล็งปากกระบอกปืนไปที่ด้านหน้ารถ แล้วเหนี่ยวไกขึ้นมา

หลังจากมีเสียงอู้อี้ ฝากระโปรงหน้ารถของรถคันกลางก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ และเกิดควันดำขึ้นมา

เหตุการณ์นี้ ทำให้คนในรถหลายคันต่างตกใจ

ผู้ช่วยอภิสิทธิ์ที่เป็นคนกลัวตายอยู่แล้ว ก็ตกใจจนเอาหน้าไปซุกอยู่ที่ด้านล่างพวงมาลัย

แม้แต่ตัวของวารุณีก็สั่น หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว

มีแต่นิรุตติ์ที่ไม่ขยับใดๆ มองควันหน้ากระโปรงรถ ผ่านกระจกหน้ารถ พูดอย่างเย็นชา:“นัทธี กล้ายิงปืน ใช้ได้นี่ ลงจากรถ!”

“ผู้อำนวยการ?”ผู้ช่วยอภิสิทธิ์เงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ผู้อำนวยการ พวกเราลงจากรถต้องถูกจับเป็นแน่”

“ไม่ลงจากรถก็จะไม่ถูกจับเป็นเหรอ?”นิรุตติ์เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา

ผู้ช่วยอภิสิทธิ์ก็พูดไม่ออกทันที

นิรุตติ์หลับตาลง เหมือนว่ากำลังปรับอารมณ์ ผ่านไปหลายวินาที เขาก็ลืมตาใหม่อีกครั้ง จากนั้นเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับลงมาจากรถ

เขาปรากฏตัว ทุกคนบนเฮลิคอปเตอร์ต่างระวังตัว ในมือถือปืนไว้ เอาปากกระบอกปืนเล็งไปที่เขา

นิรุตติ์ก็รู้สึกได้ เงยหน้าขึ้นมา สบตากับสายตาของนัทธีในเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่กลางสุด จากนั้นหัวเราะเหอะๆ“นัทธี พาลูกน้องมาเยอะอย่างนี้ ปืนมากมายอย่างนี้ แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ก็เอามาด้วย แกให้ความสำคัญกับฉันจริงๆนะ”

“วารุณีล่ะ?”นัทธีไม่มีเวลาไปสนเรื่องล้อเล่นของเขา ก็ถามไปอย่างเย็นชา

วารุณีที่อยู่ในรถได้ยินเสียงของนัทธี ก็ลืมตาขึ้นมา เพราะดีใจและตื่นเต้น ทันใดนั้นน้ำตาไหลก็ไหลออกมา

นิรุตติ์ยักไหล่“เธออยู่ในรถ”

“ให้เธอออกมา ฉันอยากเห็นเธอ”นัทธีเอากระบอกปืนเล็งไปที่คิ้วของเขา

ในมือนิรุตติ์ไม่มีปืน จึงไม่กล้าปะทะกับนัทธีตัวต่อตัว ได้แต่ทำตาม เปิดประตูรถที่นั่งด้านหลัง แล้วดึงวารุณีออกมาจากรถ

เท้าสองข้างของวารุณีลงมา แล้วเงยหน้ามองไป ก็เห็นนัทธี จึงส่งเสียงอู้อี้ออกมา

นัทธีไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร แต่มองร่างเธอที่ถูกมัดแน่น และเทปกาวที่ปาก สายตาก็มีความโกรธและอาฆาตอย่างมากออกมา

“ปล่อยเธอ!”นัทธีออกคำสั่งกับนิรุตติ์

นิรุตติ์ผายมือออก“เกรงว่า……”

“ฉันให้แกปล่อยเธอ!”นัทธีตัดบทเขาทันที นิ้วชี้ก็เหนี่ยวไกไปเล็กน้อย

นิรุตติ์ชูมือขึ้นแล้วหัวเราะ“ได้ ฉันปล่อย ฉันปล่อย!”

เขาหันกลับ แกะเทปกาวที่ปากวารุณี

พอปากของวารุณีได้รับอิสระ ก็พูดทันที:“นัทธี……”

“ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่!”ถึงแม้ใบหน้านัทธีจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่เสียงนั้นอ่อนโยนมาก

ความไม่สบายใจและความหวาดกลัวในใจวารุณีน้อยลงไปเยอะกับคำพูดทั้งหกคำนี้ของเขา รีบพยักหน้า“อือ”

เธอเชื่อเขา

ทุกครั้งที่เธอเจออันตราย เขาจะปรากฏตัวคนแรกเสมอ เธอเชื่อว่าเขาจะช่วยเธอออกไปได้

เห็นความเชื่อมันในแววตาวารุณีที่มีต่อตัวเองอย่างชัดเจน นัทธีก็สูดลมหายใจ เร่งนิรุตติ์ให้ปลดเชื่อที่ตัววารุณี

นิรุตติ์ทำตาม เดินไปด้านหลังวารุณี ก้มหน้าลง มือค่อยๆยื่นไปที่เชือกที่อยู่หลังของวารุณี

ตอนที่มือของนิรุตติ์เพิ่งแตะไปที่เชือก ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลง เปิดเสื้อคลุมที่ตัวออก แล้วหยิบปืนกระบอกหนึ่งออกมาจากเอว

จากนั้นมือข้างหนึ่งจับวารุณี มืออีกข้างถือปืนไปที่ขมับของวารุณี ข่มขู่ด้วยใบหน้าบ้าคลั่ง:“พวกคุณเอาปืนวางลง ถ้าใครไม่วาง ผมจะฆ่าเธอก่อน!”

พูดไป เขาก็เอากระบอกปืนเล็งไปที่ขมับของวารุณี

วารุณีสามารถรับรู้ถึงความเย็นของปากกระบอกปืนที่เข้ามาอย่างดี เย็นจนเธอตัวแข็งทื่อ มือเท้าเย็น

นิรุตติ์ ก็มีปืน!

ซึ่งใครต่างก็คิดไม่ถึง

นัทธีก็คิดไม่ถึง สีหน้านั้นดูแย่สุดๆ

มารุตก็ร้อนใจ“ไปตายซะ พลาดไปแล้วหนึ่งก้าว ไม่คิดว่าเขาจะมีปืน ประธาน ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี คุณผู้หญิงอยู่ในเงื้อมมือของเขา ถูกเขาเอามาเป็นหมากในการข่มขู่พวกเรา พวกเราโดนจกัดไปทุกทาง”

นัทธีจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ดังนั้นสีหน้าถึงได้ดูแย่แบบนี้

เขามองวารุณี

วารุณีก็มองเขา ร่างสั่นเล็กน้อย ในดวงตานั้นมีความหวาดกลัว“นัทธี……”

นัทธีอยากทำให้เธอไม่กลัวอีกครั้ง

แต่ตอนนี้เธอถูกปืนจ่อไว้ พูดชื่อนี้ออกมา ไม่ใช่แค่ปลอบใจไม่ได้ แต่ยังดูอ่อนแรงอย่างมาก

ดังนั้นนัทธีจึงไม่พูดอะไรทั้งนั้น เอาสายตามองไปที่ตัวนิรุตติ์ ในน้ำเสียงนั้นระงับความโกรธความไว้“แกจะเอาไงกันแน่?”