นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 259 จ้างครูสอน

วันฤดูใบไม้ผลิที่ดีแบบนี้ ไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน?

ขุดไส้เดือนอยู่สักแปบ คุกเข่าจนขาชา นางลุกขึ้นมาเงยหน้าขึ้น แล้วก็มองเห็นพระอาทิตย์ตกสีแดงตรงขอบท้องฟ้า

“วิวงามนั้นยากจะต้านทาน คนงามนั้นยากจะเสียไป…..” โจวกุ้ยหลานคิดถึงการกระทำของสวีฉางหลิน ส่ายหัวก็ก้มตัวลงอีกครั้ง เปลี่ยนสถานที่ ขุดไส้เดือนต่อไป

วันเวลาผ่านไปไวมาก พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองเดือน

โจวคายจือทั้งครอบครัวย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้ว เด็กตัวเล็กหลายคนช่วยเจ้าก้อนน้อยขุดไส้เดือนอยู่ด้านนอก พาแพะน้อยไปกินหญ้าด้วย ตอนกลับมาก็ขุดหญ้ามาให้หมูด้วย

สวีฉางหลินกับโจวคายจือรับผิดชอบงานเลี้ยงสัตว์ ต้องทำความสะอาดคอกหมูเป็นบางครั้ง ยังปลูกผักรอบๆบ้านไว้อีกไม่น้อย ภายใต้ความต้องการของโจวกุ้ยหลาน ด้านหลังบ้านไม้ปลูกหญ้าเนเปียร์แคระไว้ทั้งหมด

ส่วนโจวกุ้ยหลาน สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันก็คืออาบแดด

สองเดือนที่ผ่านมานี้ นางรู้สึกว่าตนเองจะขึ้นสนิมแล้ว นอกจากนั่งอาบแดด ก็คือยืนอาบแดด บางครั้งทนไม่ไหวแล้ว ก็เดินไปมาอยู่ในลาน จากนั้นก็ดื่มชา วันหนึ่งดื่มยารสขมสามถึงสี่ถ้วย เหล่าไท่ไท่ต้มด้วยตนเองด้วย

ที่สำคัญคือ อำนาจในการทำกับข้าวของนางก็ถูกยึดไปแล้ว คนพวกนี้คอยจับตามองดูนาง ราวกับนักโทษ

ในเมื่อโจวกุ้ยหลานไม่ได้ทำกับข้าว งานทำกับข้าวจึงกลายเป็นของโจวคายจือ เสียดายโจวคายจือก็เป็นคนประหยัดจนเคยชิน ผักทั้งหมดล้วนเพียงแค่ใส่ลงไปในหม้อต้ม ใส่เกลือแล้วก็น้ำมันนิดหน่อย

โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่ามีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกครั้งที่โจวคายจือทำกับข้าว นางก็รีบไปแย่งทำ สุดท้ายโจวคายจือเห็นแก่สุขภาพของนาง จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำมันหน่อย กับข้าวค่อยมีรสชาติขึ้นมาหน่อย

ไม่นานก็ผ่านไปแล้วเดือนหก อากาศก็เริ่มร้อนอย่างมากแล้ว คนในหมู่บ้านก็เร่ิมเกี่ยวข้าวในนา

หลิวอ้ายก็มาหาถึงบ้านอีกครั้ง ถามโจวกุ้ยหลานอย่างละลายใจว่าต้องการหนังสืออีกไหม

โจวกุ้ยหลานก็ไม่บ่ายเบี่ยง ฉวยโอกาสตอนที่สวีฉางหลินไม่อยู่บ้าน นางรีบลงเขาไปหาหลิวซิ่วฉาย เห็นเขานั่งล้างจานอยู่หน้าบ้าน คิดว่าคงทานข้าวแล้ว

“หลิวซิ่วฉาย สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง” โจวกุ้ยหลานยิ้มทักทาย

หลิวซิ่วฉายมองเห็นโจวกุ้ยหลานก็รีบลุกขึ้นมา มือก็ไม่รู้จะวางที่ไหน พร้อมพูดขึ้นว่า “ดีขึ้นมากแล้ว ดีขึ้นมาแล้ว โชคดีที่มีเจ้าช่วยเหลือ ไม่อย่างงั้นฤดูหนาวปีที่แล้ว เราพ่อลูกคงอดตายไปแล้ว”

“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า แลกมาด้วยหนังสือของเจ้าเอง” โจวกุ้ยหลานพูดตอบ

หลิวซิ่วฉายก็ยังพูดขอบคุณอีกหลายประโยค เพียงแต่ทุกประโยคล้วนซาบซึ้งใจ

สามเดือนมานี้ โจวกุ้ยหลานไปมาหาสู่กับหลิวซิ่วฉายตลอด จึงรู้จักนิสัยหลิวซิ่วฉายเป็นอย่างดี เดิมหลิวซิ่วฉายชื่อหลิวเกา นอกจากอ่านหนังสืออย่างค่อนข้างคร่ำครึแล้ว อย่างอื่นถือว่าไม่เลว

คิดถึงแผนการของตนเอง แล้วก็พูดถึงจุดประสงค์ของตนเองที่มาในครั้งนี้ว่า “หลิวซิ่วฉาย บ้านของเจ้าไม่มีอาหารแล้วใช่ไหม?”

พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าหลิวเกาค่อนข้างไม่สู้ดี จากนั้นก็ถอนหายใจ ส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “ช่วงฤดูเพาะปลูกข้าไม่สบาย ตอนนี้ถึงฤดูเก็บเกี่ยว จึงไม่มีอะไรเลย…..”

ยังมีคำพูดที่เขาพูดไม่หมด ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ หนังสือในบ้านล้วนถูกหลิวอ้ายเอาไปแลกอาหาร พวกเขาจึงไม่ถึงขั้นอดตาย แต่ที่บ้านก็ไม่มีหนังสือแล้ว ถึงฤดูหนาวจะทำยังไง?

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ไอติดต่อกันหลายที

หลิวอ้ายที่อยู่ด้านข้างเห็นพ่อไป ก็รีบมาช่วยลูบหลังให้พ่อของเขา

เห็นเขาเป็นแบบนี้ แล้วก็คิดถึงหมอหวังที่พูดว่า ต่อไปนางก็จะเป็นเหมือนอย่างหลิวซิ่วฉาย นางก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมา ตัดสินใจทันทีว่าต่อให้ยาดื่มยากแค่ไหนนางก็จะตั้งใจดื่มอย่างว่าง่าย จะตั้งใจอาบแดดทุกวัน ตั้งใจเคลื่อนไหวร่างกายให้ดี

“หลิวซิ่วฉาย คนทำการค้ามีหลักการทำการค้า คนทำสวนเป็นหลักการทำสวน แน่นอน คนร่ำเรียนหนังสือก็มีหลักการร่ำเรียนหลังสือ เจ้าเป็นคนร่ำเรียนคนหนึ่ง แล้วไปทำงานสวน จะเทียบกับคนทำสวนมาตลอดอยู่แล้วได้อย่างไร” โจวกุ้ยหลานปรับทัศนคติของตนเองแล้วพูดขึ้นมา

หลิวซิ่วฉายประหลาดใจ เงยหน้ามองดูโจวกุ้ยหลาน พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่เจ้า?”

โจวกุ้ยหลานยิ้มหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าร่ำเรียนหนังสือมา แล้วต้องไปทำงานสวนนั้นไม่เหมาะสม หากเจ้ายินดี ไปเป็นครูสอนดีไหม?”

ได้ยินแบบนี้ หลิวซิ่วฉายส่ายหัวอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “เด็กในหมู่บ้านนี้ อายุเล็กน้อยก็ไปทำสวนหมดแล้ว ยังจะมีใครยอมมาเรียน ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อย”

“เด็กที่บ้านข้าหลายคนอยากร่ำเรียนมาก หากเจ้ายินดี เจ้าไปสอนเด็กๆที่บ้านข้าดีไหม? แบบนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องทำกับข้าวกินเอง ทานที่บ้านข้าวันละสามมื้อ เดือนหนึ่งข้าให้ค่าจ้างเจ้าหนึ่งตำลึง หลิวอ้ายก็จะได้ร่ำเรียนด้วย”

โจวกุ้ยหลานพูดเงื่อนไขของตนเองที่คิดไว้แต่แรกแล้วให้เขาฟัง

“หนึ่งตำลึง?” หลิวเกาที่ร่ำเรียนมาแล้วหลายสิบปี เวลานี้ก็อดไม่ได้ที่จะยับยั้งความตื่นเต้นของตนเอง

หลายปีมานี้ ปีๆหนึ่งเขายังไม่สามารถหาเลี้ยงปากท้องตนเองให้อิ่ม จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนึ่งตำลึง

ยังมีอาหารเลี้ยงอย่างอิ่มหนำ นี่ถือเป็นเรื่องที่ดี ดีอย่างมาก ยังมีลูกชายของเขา ก็สามารถได้เรียน เป็นเรื่องที่จะอย่างมากจริงๆ

เพียงแต่…..

“กุ้ยหลาน ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยพวกเรา แต่พวกเราจะรับเงินเจ้าไว้มากมายขนาดนี้ไม่ได้ เจ้าให้พวกเราพ่อลูกได้มีข้าวกิน ให้ลูกชายของข้าได้เรียนหนังสือก็พอแล้ว” หลิวซิ่วฉายพูดพร้อมกับไอขึ้นมาอีกหลายที

โจวกุ้ยหลานได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มก็ยิ่งเบิกบาน พร้อมพูดขึ้นว่า “หากตอนนี้เจ้าไม่รับเงิน สำหรับข้าถือว่าแบ่งเบาภาระได้ไม่น้อย พูดตามตรง ตอนนี้ข้าเองก็มีเงินไม่มาก แต่เจ้าเป็นคนมีความรู้ ข้าจะมาเชิญด้วยมือเปล่าก็ไม่ดีใช่ไหม?”

หลิวเกาตกใจกับคำพูดของนางไปพักหนึ่ง สักพักแล้วค่อยพูดขึ้นว่า “งั้น….งั้นจะเริ่มเมื่อไหร่?”

“ดูสุขภาพของเจ้าก่อนน้อย ส่วนข้ายังไงก็ได้ แต่ว่าพวกเจ้าเริ่มไปทานข้าวที่บ้านข้าได้ตั้งแต่วันนี้เลย” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม

ได้ไปทานข้าว หลิวเกาดีใจอยู่แล้ว ที่บ้านไม่มีอาหารหลงเหลือเลย เขาจึงให้ลูกชายเอาหนังสือหลายเล่มสุดท้ายไปแลกอาหาร….

เห็นเขาไม่ปฏิเสธ โจวกุ้ยหลานก็เข้าใจขึ้นมา เขายากจนอย่างมากแล้วจริงๆ จึงให้เขากับหลิวอ้ายกลับบ้านไปพร้อมกับตน ทำกับข้าวให้พวกเขาทั้งสองทานในห้องครัว แล้วนางก็พาโจวคายจือออกไป

“พี่สาวใหญ่ ต่อไปพวกเด็กๆต้องเริ่มเรียนหนังสือแล้ว เจ้าต้องตั้งใจทำกับข้าว อย่าละเลยครูผู้สอน” โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม

โจวคายจือตาแดงๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “กุ้ยหลาน ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงจริงๆ เพราะพี่ไม่เอาไหน ยังเป็นภาระเจ้า….”

“เป็นภาระอะไร? พี่ช่วยข้าดูแลบ้านให้ดีๆก็พอแล้ว ที่นี่มีงานเยอะมาก ข้าคนเดียวทำไหวเสียที่ไหน?”

โจวกุ้ยหลานพูดตามความจริง

ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ เหล่าไท่ไท่ก็มาบอกว่าพี่สะใภ้ไห่เสียจะขายหมูน้อย โจวกุ้ยหลานจึงรีบตามเหล่าไท่ไท่ไปดู แล้วก็เลือกหมูน้อยมาห้าตัว

ไม่นานฤดูใบไม้ผลิก็ผ่านไปแล้ว ไก่ เป็ด ห่าน ที่บ้านโตขึ้นเยอะแล้ว หมูก็มีหกตัวแล้ว