บทที่ 260 ข้ามาตามภรรยาของข้า

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 260 ข้ามาตามภรรยาของข้า

พวกเด็กๆหลายคนเรียนหนังสือกับหลิวเกา แต่ละวันโจวกุ้ยหลานว่างอย่างมาก จึงทำหน้าที่เป็นผู้สั่งขึ้นมา สั่งให้สวีฉางหลินช่วยนางปลูกองุ่นไว้ในลาน ยังสร้างสุ้มไว้ด้านข้าง

เวลาว่างสวีฉางหลินยังไปล่าสัตว์ ให้ในบ้านได้ทานเนื้อบ้าง พวกเด็กๆโตขึ้นไม่น้อย แม้แต่หลิวอ้ายก็มีน้ำมีนวลขึ้นมา

โจวกุ้ยหลานจัดห้องทางทิศเหนือให้เป็นห้องเรียนของพวกเขาโดยเฉพาะ แต่แสงสว่างภายในห้องนี้ไม่ดี ต้องจุดไฟตะเกียง เปลืองน้ำมันไม่น้อย

ฤดูร้อนผ่านไป ในที่สุดโจวต้าไห่ก็เจอคนถูกใจ ได้ยินมาว่าครอบครัวฝ่ายหญิงฐานะไม่เลว ไม่เรียกร้องสินสอดเยอะ เหล่าไท่ไท่ไม่กล้าชักช้า รีบสั่งให้โจวต้าไห่สู่ขอมาเป็นภรรยาทันที

เจ้าสาวหน้าตาธรรมดา ทำงานคล่องแคล่วมาก ลงสวนกับโจวต้าไห่ได้ด้วย ช่วยแบ่งเบาภาระโจวต้าไห่ได้ไม่น้อย

โจวชิวเซียงก็ไม่รู้เป็นอะไร หกล้มตอนอยู่ในตำบล ลูกจึงคลอดก่อนกำหนด แต่เป็นลูกผู้หญิง หลี่ซิ่วยิงจึงรีบไปอยู่ดูแลในตำบล

พระอาทิตย์กำลังขึ้นมาอยู่บนหัว โจวกุ้ยหลานถือเก้าอี้อยากไปนั่งตรงที่เย็นๆ โจวคายจือที่นั่งเย็บซ่อมผ้าอยู่ในบ้านมองเห็น ก็รีบพูดกับนางว่า “เจ้าไม่ต้องเข้ามา เดี๋ยวฉางหลินกลับมาจะโวยวายอีก”

“แดดแรงขนาดนี้ ไม่ให้หลบข้าก็จะเป็นไข้แล้ว” โจวกุ้ยหลานไม่สนใจ เดินมาในบ้านต่อ

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง นางไม่มีความคิดที่จะทรมานตนเอง

โจวคายจือส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ร่างกายของเจ้า อ่อนแอเกินไป”

“ใช่ อ่อนแอแบบนี้ อาบแดดอย่างเดียวไม่มีประโยชน์” โจวกุ้ยหลานพูดพร้อมกับเดินเข้าไปในบ้าน

หลบไปในที่ร่มๆค่อยสบายขึ้นเยอะเลย

โจวคายจือกัดสายเชือกรองเท้าให้ขาด เอาเสื้อที่ปะเสร็จแล้วนั้นขึ้นมาสะบัด

โจวกุ้ยหลานมองดูเสื้อตัวนั้น แล้วถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจว่า “นี่เป็นเสื้อของหลิวซิ่วฉายใช่ไหม?”

“ข้าเห็นเสื้อของเขาขาด แล้วก็ไม่มีคนซ่อมให้ จึงเอามาช่วยซ่อม” โจวคายจือพูดตอบ

โจวกุ้ยหลานหรี่ตาลง พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สาวใหญ่ ทำไมถึงใจดีช่วยคนอื่นซ่อมผ้าด้วย?”

“เขาช่วยสอนหนังสือให้กับพวกเด็กๆทั้งวัน เราแค่เลี้ยงข้าวคนอื่น ในใจข้ารู้สึกไม่ดี อีกอย่างที่บ้านของเขาก็ไม่มีผู้หญิงคอยช่วยทำงานพวกนี้ ข้าจึงเอามาช่วยทำแค่นั้นเอง”

จวคายจือไม่สนใจเรื่องนี้

ชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้ ที่ผ่านมานางยังไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ สามารถได้ทานอิ่มท้องไม่พอ ทุกๆมื้อยังมีข้าวสวยด้วย สามถึงห้าวันยังมีเนื้อด้วย ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจ พวกเด็กๆยังได้เรียนหนังสือ มีชีวิตเหมือนอย่างเทพเทวดา

โจวกุ้ยหลานยังอยากพูดอะไรอีก ข้างนอกก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

เสียงนี้ดังขึ้น สีหน้าโจวคายจือเปลี่ยนไปทันที

ซุนโก่วต้าน มาในเวลานี้ทำไม?

โจวกุ้ยหลานครุ่นคิด แล้วก็บอกให้โจวคายจือนั่งลง ตนเองเดินออกไปเปิดประตู เมื่อเปิดประตู ก็เห็นในมือซุนโก่วต้านถืออะไรบางอย่างไว้ มองเห็นเป็นโจวกุ้ยหลาน ก็ถูมือพร้อมพูดขึ้นมาอย่างทำตัวไม่ถูกว่า “กุ้ยหลาน คือว่า คายจืออยู่บ้านเจ้าไหม?”

“เจ้ามีธุระอะไร?”

“คือว่า ข้ามารับคายจือกลับไป” ซุนโก่วต้านพูดพร้อมกับเอาตะกร้าในมือยื่นให้กับโจวกุ้ยหลาน ข้างในนั้นยังมองเห็นมีผ้าชิ้นหนึ่ง

โจวกุ้ยหลานขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สาวใหญ่ของข้าหย่าร้างกับเจ้าแล้ว เจ้ายังจะมาอีกทำไม?”

เห็นนางไม่รับ ซุนโก่วต้านก็เอาตะกร้านั้นคืนมาแขวนไว้บนแขน เอวโค้งงอยิ่งกว่าเดิม

“หย่าร้างแล้ว ข้าก็ต้องมาดูว่านางมีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ยังไงข้าก็เป็นผู้ชายของนาง อยู่ข้างนอกตั้งนานขนาดนี้ ควรกลับบ้านได้แล้ว”

“เดี๋ยว เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? เจ้าหย่ากับพี่สาวใหญ่ข้าแล้ว จึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว นางมีชีวิตที่ดีหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้ามาทางไหนก็รีบกลับไปทางนั้นเถอะ” โจวกุ้ยหลานพูดเสร็จก็จะปิดประตู

ซุนโก่วต้านเห็นแล้วก็รีบยื่นมือมา มือถูกประตูหนีบจนเขาร้องเสียงดัง

โจวกุ้ยหลานเห็นแล้วไม่มีทางเลือก จึงต้องเปิดประตูอีกครั้ง พร้อมพูดเตือนเขาว่า “เจ้ารีบกลับไปเสีย ไม่อย่างงั้นข้าจะตามสวีฉางหลินมาจัดการเจ้า”

ได้ยินชื่อสวีฉางหลิน ซุนโก่วต้านก็หวาดกลัวขึ้นมา แต่คิดถึงช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้เข้าต้องอยู่อย่างเงียบเหงาเดียวดาย ในใจก็ยิ่งหดหู่

จึงรีบพูดขึ้นว่า “กุ้ยหลาน เจ้าให้ข้าได้เจอคายจือเถอะนะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ให้ข้าได้ขอโทษนาง ข้าคุกเข่าขอร้องนาง ให้นางกลับไปกับข้า”

โจวกุ้ยหลานฟังอยู่อย่างลำคาญ กำลังจะปฏิเสธเขา ร่างกายก็ถูกผลักอย่างแรงจนนางล้มไปกองบนพื้น ฝ่ามือถูกหินบนพื้นบาด รู้สึกถึงความเจ็บปวดขึ้นมา

หลังจากซุนโก่วต้านผลักโจวกุ้ยหลานล้มลงแล้ว ก็บุกเข้าไปในลานบ้าน วิ่งเข้าไปข้างใน

โจวกุ้ยหลานลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วก็รีบตามไป

มาถึงด้านหน้า ก็เห็นซุนโก่วต้านดึงตัวโจวคายจือมาพูดอะไรสักอย่าง

นางกัดฟัน วิ่งไปตรงมุมบ้านเอาจอบออกมา แล้วพุ่งไปหาซุนโก่วต้าน

ทางนั้นโจวคายจือเห็นโจวกุ้ยหลานถือจอบมา ก็ตกใจ รีบตะโกนพูดกับซุนโก่วต้านว่า “รีบหลบไป”

ซุนโก่วต้านหันไปมองตามสายตาของนาง แล้วก็เห็นจอบกำลังลอยมา ในใจตกตะลึง รีบปล่อยมือหลบไปอีกด้าน จอบถูกฟาดลงมา ขุดตรงที่เขายืนเมื่อกี้

“หน้าไม่อาย” โจวกุ้ยหลานหันไปพูดกับซุนโก่วต้าน แล้วก็ขวางอยู่ตรงหน้าโจวคายจือ

“เจ้าผู้หญิงบ้า ข้ามารับภรรยากับลูกของข้า เจ้ามาขวางข้าทำไม?” ซุนโก่วต้านพูดขึ้นมาอย่างตกใจ

เมื่อกี้นั้น หากเขาหลบไม่ทัน คงไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว

ผู้หญิงคนนี้ น่ากลัวเหมือนอย่างแม่ยายของเขา ผู้หญิงบ้า

“ใครเป็นภรรยาของเจ้า? เจ้าลงนามหย่าแล้วจำไม่ได้หรือ? นี่คือบ้านของข้า หากเจ้าไม่ไป ข้าจะให้สวีฉางหลินต่อยเจ้าให้เจียนตายแล้วโยนออกไป” มือก็เจ็บอย่างมาก ในใจโจวกุ้ยหลานจึงยิ่งโกรธโมโห

ซุนโก่วต้านมองดูในบ้านนี้อย่างระแวดระวัง เห็นว่าไม่มีใคร จึงคิดจะลงมือ แล้วก็ได้ยินเสียงลูกตนเองกำลังอ่านหนังสือ ในใจตกตะลึง

“ต้าหู่กำลังอ่านหนังสือ?”

คราวนี้โจวคายจือได้สติกลับมา ตบไหล่โจวกุ้ยหลาน พร้อมพูดขึ้นว่า “กุ้ยหลาน เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าคุยกับเขา”

โจวกุ้ยหลานลังเลสักพัก แล้วยื่นจอบในมือของตนให้กับโจวคายจือ พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สาวใหญ่ หากเขากล้าลงมือทำอะไรเจ้า เจ้าก็ใช้จอบฆ่าเขาให้ตายไปเลย”

โจวคายจือรับจอบมาด้วยมือสั่นเทา ในใจครุ่นคิดถึงคำพูดของน้องสาวตนเอง แล้วก็รู้สึกหวาดกลัว

ในเมื่อคนอื่นมีเรื่องจะคุยกัน โจวกุ้ยหลานก็ไม่อยู่ต่อ ก้าวเท้าเดินออกไป

ออกมายืนอยู่ในลานสักพัก สุดท้ายจึงตัดสินใจลองไปตามหาสวีฉางหลิน

คิดได้แบบนี้ นางจึงเดินมาถึงตรงหน้าประตู เดินออกมาได้สักระยะหนึ่ง แล้วก็ตะโกนไปทางในป่าว่า “สวีฉางหลิน เจ้าได้ยินแล้วก็รีบกลับมา”

ช่วงนี้เวลาสวีฉางหลินไปล่าสัตว์จะไปไม่ไกล จะอยู่ใกล้ๆรอบบ้าน เพื่อสะดวกในการดูแลบ้าน

แน่นอนเมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะทำให้ล่าสัตว์ได้น้อยลง ได้หรือไม่ได้นั้นก็ต้องดูโชค

เมื่อตะโกนแล้วไม่มีเสียงตอบ โจวกุ้ยหลานก็เดินไปข้างหน้าอีก พร้อมตะโกนร้องเรียกอีกหลายที