ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของทุกคน เจียงซื่อเหยียดมือออกไปโดยสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย นางถือจอกหยกขาวไว้ในมือ
จอกหยกขาวนั้นมีรอยแตกร้าวอยู่หลายจุด
“นี่คือจอกสุราที่องค์หญิงสิบห้าดื่มเมื่อสักครู่ นางทำมันหล่นลงสู่พื้นก่อนที่จะหมดสติล้มลง หม่อมฉันหยิบมันขึ้นมาเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบหันไปกำชับหมอหลวงว่า “ตรวจสอบสุราที่ยังเหลืออยู่ในจอก”
เมื่อได้ยินว่ามีพิษอยู่ในสุรา ทุกคนก็ตกใจเสียจนหน้าซีด
เมื่อครู่ที่พวกเขาสนทนากัน ทุกคนล้วนดื่มสุราเข้าไปทั้งสิ้น
แต่ก็มีคนพึมพำออกมาว่า “ไม่น่าจะมีพิษในสุรา พวกเราทุกคนดื่มเข้าไปกันตั้งมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงองค์หญิงสิบห้าที่เกิดเรื่องเล่า”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินประโยคเหล่านี้ เขาทำเพียงนิ่งขรึมและรอฟังบทสรุปของหมอหลวง
บรรดาหมอหลวงได้พากันตรวจสอบดูจอกสุราที่องค์หญิงสิบห้าใช้ดื่มอยู่ชั่วครู่ ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด หมอหลวงคนหนึ่งก้าวเข้ามาแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท จากการตรวจสอบสุราที่หลงเหลืออยู่ในจอกพบว่ามีพิษเจือปน ส่วนจะเป็นพิษชนิดใดนั้นคงจะต้องตรวจสอบต่อไปพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลง
จะเป็นพิษชนิดใดนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คืองานเลี้ยงในพระราชวังเช่นนี้ มีคนกล้าแอบวางยาพิษองค์หญิงโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
ในวันนี้วางยาพิษแก่องค์หญิง วันพรุ่งนี้จะไม่วางยาพิษให้เขา ฮองเฮา แม้กระทั่งไทเฮาหรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
จิ่งหมิงฮ่องเต้มีธิดามากมาย มากเสียจนตัวเขาเองยังจำชื่อไม่ได้ แต่เมื่อพบสตรีตัวน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปรอบกายเมื่อครู่ต้องกลายมาเป็นศพนอนเย็นยะเยือกในบัดนี้ อารมณ์ของเขาก็รู้สึกเศร้าหมองเป็นยิ่ง ทันใดนั้นพระองค์ก็ได้ ลืมตาขึ้นแล้วกล่าวว่า “จงไปตรวจสอบให้ดี”
แน่นอนว่าฮองเฮาก็รู้สึกไม่สบายพระทัยเช่นกัน
เนื่องจากงานเลี้ยงในครั้งนี้นางเป็นคนจัดขึ้นจุดประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองที่องค์หญิงฝูชิงกลับมามองเห็นได้ตามปกติ แต่งานเลี้ยงอันรื่นเริงเช่นนี้กลับเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นได้ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องที่นางรู้สึกขายหน้าเท่านั้น
“ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนี้หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่เกรงว่าอาจจะทำลายชื่อเสียงของราชวงศ์ได้” ฮองเฮากล่าวเตือนอย่างแผ่วเบา องค์หญิงสิบห้าสิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษ แน่นอนว่าจะต้องมีคนวางยา
ผู้ที่วางยาบัดนี้อาจจะอยู่ในห้องโถง และในห้องโถงนี้ล้วนเป็นนางสนมหรือเครือญาติของฮ่องเต้…
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกโมโหทวีคูณเพิ่มขึ้น เขาเหลือบตาไปมองดูทางเจียงซื่อ
กล่าวได้ว่าคนสุดท้ายที่ใกล้ชิดกับองค์หญิงสิบห้าก็คือพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ทันใดนั้นน้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกเคยฝึกฝนอยู่ในกรมอาญามาหลายเดือน อีกทั้งได้เรียนรู้วิธีกา สืบสวนคดีจากใต้เท้าเจินมาระยะหนึ่ง พอจะเรียนรู้ทักษะมาบ้าง เรื่องในวันนี้ลองให้ลูกสืบค้นหาฆาตกรที่ทำให้องค์หญิงสิบห้าสิ้นพระชนม์ดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของทุกคนหันไปที่น้ำเสียงนั้นทันที ต่างพากันทำสีหน้าประหลาดใจ
การเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วผู้คนมักจะหลีกเลี่ยง เยี่ยนอ๋องไม่ใช่คนโง่ เหตุใดเขาจึงก้าวเข้าไปรับมือด้วยตนเอง
แต่ต่อมาทุกคนก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วและเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใด นั่นเป็นเพราะพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นผู้ที่อยู่กับองค์หญิงสิบห้าเป็นคนสุดท้าย หากต้องการจะสอบสวนถึงผู้ที่วางยาพิษองค์หญิงสิบห้า คาดว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องคงจะถูกสอบสวนเป็นอันดับแรก การที่เยี่ยนอ๋องทำเช่นนี้ก็เพื่อจะปกป้องพระชายาเยี่ยนอ๋องนั่นเอง…
คนที่คิดได้ดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แล้วรู้สึกว่าชีวิตของเจียงซื่อช่างดีนัก
พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นยอดดวงใจของเยี่ยนอ๋องจริงๆ
แม้จะกล่าวว่าเมื่อร่างกายชราลง ความรักก็จะจางหายไปตามกัน ความรักในตอนนี้ไม่อาจชี้ให้เห็นถึงอนาคตได้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่อย่างไรก็ตามก็ยังดีกว่าไม่เคยถูกวางไว้ในใจเลย
พระชายาองค์รัชทายาทเป็นหนึ่งในผู้ที่รู้สึกเช่นนี้
นางเหลือบตาไปมองดูองค์รัชทายาท แต่กลับเห็นเพียงความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่ายที่ไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้
นี่คือแววตาของความอยากรู้อยากเห็น
ดวงใจของพระชายาองค์รัชทายาทแข็งทื่อ นางเผยอริมฝีปากยิ้มอย่างเย้ยหยัน
องค์หญิงสิบห้าสิ้นพระชนม์อย่างน่าสลดใจ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องทั้งสิบห้าจะจืดจางเพียงใด เขาก็ไม่ควรจะมีท่าทางเย็นชาเช่นนี้
บุคคลเช่นนี้ แม้ในอนาคตเขาจะได้สืบทอดบัลลังก์ แต่เขาจะปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวอย่างเมตตากรุณาหรือไม่ จะปฏิบัติต่อภรรยาเช่นนางอย่างดีหรือไม่
พระชายาองค์รัชทายาทได้แต่หลับตาลงเพื่อปิดบังความรู้สึกเงียบเหงาในดวงตาของนาง
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่อวี้จิ่นครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเจ็ด จะลองดูจริงหรือ”
“แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ลูกได้พบกับองค์หญิงสิบห้า แต่ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกันทางสายเลือด ลูกคิดว่าควรจะพยายามทำบางอย่างให้แก่น้องสิบห้าบ้าง แน่นอนว่าความสามารถของลูกมีจำกัด หากไม่อาจพบเบาะแสใดๆ ขอเสด็จพ่อโปรดให้อภัยด้วย”
เมื่อองค์รัชทายาทเห็นอวี้จิ่นเสนอตัวออกมาด้วยตนเอง เขาก็แอบคิดอยู่ในใจหวังจะให้อวี้จิ่นโชคร้าย ทว่าเมื่อฟังจบเขาก็ทำหน้ามุ่ย
เจ้าเจ็ดเป็นคนที่ปากไว คำพูดต่างไพเราะน่าฟัง เขาได้เอ่ยไว้แล้วก่อนหน้าว่าจะไม่รับผิดชอบใดๆ เห็นเสด็จพ่อเป็นคนโง่เขลาหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็เกิดความประทับใจต่ออวี้จิ่นขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในพระราชวัง บรรดาราชวงศ์ทั้งหลายที่ฉลาดหลักแหลมมักจะออกมาปกป้องตนเองไว้ น้อยคนนักที่จะกล้าหาญออกมารับมือ ส่วนเจ้าเจ็ดเติบโตขึ้นนอกพระราชวัง เขาเป็นผู้ที่เห็นความสำคัญต่อความรู้สึก ยากนักที่จะหา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ลองดูเถิด หากไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร อย่าได้ฝืน”
อวี้จิ่นยกมือขึ้นคารวะฮ่องเต้ “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
องค์รัชทายาท “???”
“นี่คือตำแหน่งที่องค์หญิงสิบห้านั่งเมื่อครู่ใช่หรือไม่” อวี้จิ่นชี้ไปยังตำแหน่งนั้น
ทุกคนจึงได้เห็นว่าบัดนี้เยี่ยนอ๋องไม่ได้อยู่นั่งที่โต๊ะของตน แต่กำลังยืนอยู่ตรงโต๊ะขององค์หญิงทั้งหลาย
เนื่องจากความโกลาหลเมื่อครู่ บรรดาสตรีไม่น้อยจึงรีบเข้าไปดู แต่ก็ยังมีบางส่วนไม่ต้องการจะสร้างปัญหาและยืนอยู่ที่เดิม
เมื่ออวี้จิ่นเอ่ยถามดังนั้น สายตาทุกคนก็จับจ้องมองไป
องค์หญิงคนหนึ่งซึ่งยังยืนอยู่ที่เดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงประหม่าว่า “ตำแหน่งที่พี่เจ็ดชี้นั้นไม่ใช่ตำแหน่งของน้องสิบห้า แต่เป็นตำแหน่งของน้องสิบสาม”
อวี้จิ่นตกใจเล็กน้อยก่อนจะมองไปทางองค์หญิงฝูชิงที่ถูกฮองเฮาจับเอาไว้แน่น
องค์หญิงฝูชิงสะบัดพระหัตถ์ของฮองเฮาแล้วก้าวไปข้างหน้า นางพยายามอดกลั้นความโศกเศร้าแล้วพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว นั่นคือตำแหน่งของข้า”
สีหน้าของอวี้จิ่นดูแปลกไปเล็กน้อย เขาใช้นิ้วชี้เคาะไปบนโต๊ะ “เมื่อครู่ข้ามองดู พบว่าโต๊ะนี้มีทั้งสิ้นสิบสองคน แต่มีเพียงที่นั่งแห่งนี้ไม่มีจอกสุรา ข้าจึงคิดว่านี่คือตำแหน่งขององค์หญิงสิบห้าเสียอีก”
เมื่อเขากล่าวประโยคนี้ออกมา สีหน้าขององค์หญิงฝูชิงก็ถอดสี เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางกล่าวว่า “ไม่ใช่”
ทุกคนจึงมองไปที่องค์หญิงฝูชิง
องค์หญิงฝูชิงสีหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ นางกล่าวพึมพำออกมาว่า “เมื่อครู่ที่ข้าจะไปดื่มคารวะพี่สะใภ้เจ็ด ข้าจึงหยิบไป่ฮวายั่งมาจากนางกำนัลจอกหนึ่ง จึงไม่ได้หยิบใช้จอกตรงหน้า ดังนั้นก่อนหน้านี้ตำแหน่งของข้าจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีจอก…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ดูเหมือนว่าองค์หญิงฝูชิงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางจึงได้วิ่งไปที่โต๊ะแล้วจ้องมองไปด้วยใบหน้าซีดเผือด
มีจอกสุราว่างเปล่าบนโต๊ะและของเหลวสีแดงหลงเหลืออยู่ อีกทั้งยังมีขี้ผึ้งติดตรงขอบจอก
อวี้จิ่นแววตาเป็นประกายแล้วเอ่ยถามว่า “นี่คือที่นั่งขององค์หญิงสิบห้าหรือ”
องค์หญิงฝูชิงพยักหน้า
อวี้จิ่นเอามือลูบคางเบาๆ บัดนั้นทั้งห้องนิ่งเงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นลงพื้น จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าเจ็ด เจ้าเข้าใจสิ่งใดหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างกังวล
อวี้จิ่นยกจอกสุราเปล่าขึ้นแล้วมองดูรอยสีแดงจางๆ ที่ขอบจอก ก่อนจะหันไปถามองค์หญิงฝูชิงว่า “ในตอนนั้นที่องค์หญิงเสด็จไปร่วมดื่มอวยพรให้แก่พระชายาของข้า องค์หญิงสิบห้าก็รีบตามไปด้วยใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว น้องสิบห้าดีอกดีใจแทนข้า จึงกล่าวว่าจะไปดื่มให้แก่พี่สะใภ้เจ็ดด้วย”
อวี้จิ่นถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า “เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว องค์หญิงสิบห้าต้องการจะติดตามองค์หญิงฝูชิงไปร่วมดื่มด้วย บังเอิญเหลือเกินที่นางดื่มสุราจอกนี้จนหมด ส่วนองค์หญิงฝูชิงรับไป่ฮวายั่งมาจากนางกำนัล จึงไม่ได้แตะต้องสุราข้างหน้านี้ ดังนั้นองค์หญิงสิบห้าจึงได้คว้าจอกสุราจอกนั้นมาดื่ม ซึ่งเป็นจอกที่องค์หญิงฝูชิงยังไม่ได้แตะต้อง…”
“หมายความว่าอย่างไร” ฮองเฮาตรัสถามอย่างฉุนเฉียว
อวี้จิ่นมองไปทางฮองเฮาแล้วทูลว่า “นั่นหมายความว่า จอกที่มีพิษนั้นเดิมทีเป็นจอกขององค์หญิงฝูชิงพ่ะย่ะค่ะ”