ตอนที่ 420 ให้สัมภาษณ์

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 420 ให้สัมภาษณ์

หนิวลี่ลี่นั่งอยู่ในห้องประชุม พลิกดูหนังสือพิมพ์อย่างเบื่อหน่าย

หลินม่ายเดินเข้าไป ถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจู่ๆ ถึงได้นึกจะมาสัมภาษณ์ฉันล่ะคะ?”

หนิวลี่ลี่วางหนังสือพิมพ์ลง แล้วหยิบใบปลิวแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากในกระเป๋า “เพราะนี่ไงคะ”

หลินม่ายรับมาอ่านดู นี่มันคือใบปลิวที่ตีพิมพ์บทความที่เธอเขียนกล่าวโทษห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ในเจียงเฉิงว่าปฏิบัติต่อ Unique อย่างไม่เป็นธรรม และผิดสัญญาโดยไม่มีเหตุผลไม่ใช่เหรอ?

นึกไม่ถึงว่ามันจะได้รับความสนใจจากหนิวลี่ลี่

หลินม่ายวางใบปลิวนั้นลงบนโต๊ะกลมแล้วนั่งลง “คุณอยากจะสัมภาษณ์อะไรฉัน เชิญถามได้ตามสบายเลยค่ะ”

“ตอนนี้ที่ฉันอยากจะสัมภาษณ์คุณที่สุดก็คือ นอกจากคุณจะเปิดร้านอาหารกินเล่น โรงงานทำหมวกขนาดย้อม และโรงงานเสื้อผ้าแล้ว ยังมีโรงงานหรือร้านค้าอะไรที่ฉันไม่รู้อีกไหมคะ? ตอนนี้ฉันชื่นชมคุณถึงขึ้นเลื่อมใสศรัทธาเลย คุณนี่สุดยอดเกินไปแล้ว อายุยังน้อยก็มีธุรกิจมากมายขนาดนี้แล้ว!”

ขณะที่หนิวลี่ลี่เอ่ยอยู่นั้น ดวงตาของหล่อนก็ฉายความชื่นชมนับถือออกมาเล็กน้อย

หลินม่ายยิ้มอย่างถ่อมตัว “ทรัพย์สินของฉันแทบจะถูกคุณสืบกระจ่างหมดแล้วนะคะ”

“แทบจะ? นั่นหมายความว่ายังสืบไม่กระจ่างน่ะสิ” อย่างไรหนิวลี่ลี่ก็เป็นนักข่าว จึงจับประเด็นสำคัญได้เก่งมาก

“ก็คุณยังไม่รู้จักร้านเซาเข่าที่ชื่อ‘เหรินเจียนเยียนหั่ว’และตลาดสดชื่อฝูตัวตัวอีกแห่งหนึ่งเลย”

หลินม่ายพูดมาละเอียดขนาดนี้ เพราะอยากจะใช้โอกาสนี้ในการโฆษณาร้านเซาเข่ากับตลาดสดของตนบนหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าแบบฟรีๆ

หนิวลี่ลี่ที่ถือสมุดปกหนาที่ใช้ในการสัมภาษณ์กำลังทำการบันทึกก็พลันเงยหน้าขึ้นมา ถามอย่างตกตะลึง “เหรินเจียนเยียนหั่วเป็นร้านของคุณเหรอคะ?”

หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ชื่อเสียงของเหรินเจียนเยียนหั่วโด่งดังขนาดนี้แล้วเหรอคะ แม้แต่คุณก็ยังรู้จักด้วย”

“ฉันไม่เพียงแค่รู้จักนะคะ ยังได้ยินมาหนาหู และเคยไปชมกับเพื่อนร่วมงานมาแล้วหลายครั้ง หากรู้แต่แรกว่าเป็นร้านของคุณ คงขอคุณกินฟรีแล้วล่ะ” หนิวลี่ลี่พูดทีเล่นทีจริง

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามาเยี่ยมชมร้านเซาเช่าของฉันกับเพื่อนร่วมงานคราวหน้า จะต้องให้คุณกินแบบไม่คิดเงินแน่นอนค่ะ”

“ยอดไปเลยค่ะ” หนิวลี่ลี่ตอบรับพลางหัวเราะคิกคัก ก่อนจะก้มหน้าลงจดบันทึกต่อ “นี่คุณเก่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน เปิดอะไรก็โด่งดังไปหมดเลย ตลาดสดฝูตัวตัวของคุณเองก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน!”

หลินม่ายพูดอย่างเจียมตัว “ที่ไหนกันล่ะคะ”

หนิวลี่ลี่สัมภาษณ์ต่อ “คุณคิดยังไงถึงได้เปิดร้านเซาเข่าเหรอคะ แล้วทำไมถึงคิดจะรับเหมาตลาดสดฝูตัวตัวได้?”

หลินม่ายถอนหายใจ “ทั้งหมดเพราะไม่มีทางเลือกทั้งนั้นค่ะ ตอนแรกร้านเซาเข่านั้นเปิดขึ้นเพื่อเลี้ยงปากท้อง ต่อมาได้ยืนหยัดเปิดต่อไป ก็เพื่อพนักงานทุกคนในร้าน เพราะเบื้องหลังของพนักงานทุกคนล้วนแล้วแต่แบกรับภาระของครอบครัวหนึ่งเอาไว้ หากไม่มีงานนี้ ชีวิตของพนักงานเหล่านี้ก็คงจะต้องผ่านไปอย่างยากลำบากมาก สำหรับการรับเหมาตลาดสดฝูตัวตัว ก็ต้องขอบคุณผอ.เขตโอวหยางน่ะค่ะ”

หนิวลี่ลี่ราวกับตัวประกอบที่คอยผลัดกันรับส่ง เอ่ยอย่างไม่ปล่อยโอกาส “ทำไมต้องขอบคุณผอ.เขตโอวหยางล่ะคะ ช่วยบอกหน่อยได้ไหม?”

หลินม่ายพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ผอ.เขตโอวหยางได้รู้ว่าฉันช่วยเหลือเหล่าชาวบ้านในชนบทขายผลิตผลทางการเกษตรได้อย่างไม่ง่ายเลย ประจวบเหมาะกับตลาดสดฝูตัวตัวเดิมนั้น คือตลาดสดถนนเจี่ยเฟิงดำเนินงานได้ไม่ดี จนเกือบจะปิดตัวลง ผอ.เขตโอวหยางจึงสนับสนุนให้ฉันทำสัญญารับเหมาตลาดสดเจี่ยเฟิง ไม่เพียงช่วยเหลือจุดจบอันน่าเศร้าของตลาดสดที่ปิดกิจการลงเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหาการขายสินค้าเกษตรของเกษตรกรอีกด้วย”

“ต่อจากนี้คุณทำยังไงต่อเหรอคะ?”

“ฉันเตรียมที่จะเปิดร้านของว่างเปาห่าวชือกับร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วเพิ่มอีกสองสามร้านค่ะ และยังขยายขนาดของโรงงานเสื้อผ้าUniqueขึ้นเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยให้คนได้รับการจ้างงานมากขึ้น ลดแรงกดดันทางสังคมและจ่ายภาษีมากขึ้น”

พูดถึงตรงนี้ หลินม่ายก็พูดขึ้นอย่างนอบน้อมจริงใจ “หนทางในการเริ่มต้นธุรกิจนั้นยากลำบาก และฉันวิงวอนให้ทุกภาคส่วนให้ความสนใจองค์กรเอกชนขนาดกลางและขนาดเล็กให้มากขึ้น หากไม่ชอบก็อย่ามากลั่นแกล้งกัน องค์กรเอกชนทั้งหมดต่างก็มีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นกระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจของประเทศได้ แม้ว่าการลงทุกกับต่างชาติจะดีแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ร่วมชะตากรรมลมหายใจเดียวกับชาติเราเองหรอก”

วันนี้หนิวลี่ลี่มาสัมภาษณ์หลินม่าย ก็เพื่อจะทำความเข้าใจว่าทำไมห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ถึงละเมิดสัญญาและไล่ Unique ออกมา แต่หลังจากนั้น Unique กลับไม่ได้ออกไปไหน

ผลสุดท้ายหัวข้อก็ออกทะเลไปแล้ว

ในตอนนั้นเองก็ถูกหลินม่ายดึงกลับมายังประเด็นด้วยความ “ไม่ตั้งใจ” เธอถามอย่างงุนงง

“ฉันเคยอ่านใบปลิวที่ Uniqueของพวกคุณแจก บอกว่าพวกคุณถูกห้างใหญ่ขับไล่ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล โดยที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น ห้างใหญ่แต่ละแห่งก็ยังมีบูธของเสื้อผ้าUniqueอยู่ ขอถามว่าคุณจะอธิบายยังไงคะ?”

หลินม่ายเล่าต้นสายปลายให้หล่อนฟังอย่างละเอียด

แต่ไม่ได้พูดถึงผู้อำนวยการหูผู้นำของเมืองที่เป็นคนสั่งขับไล่Uniqueอยู่เบื้องหลัง

บอกเพียงว่าห้างใหญ่แต่ละแห่งนั้นเห็นแก่เงินลงทุนของนักธุรกิจต่างประเทศ จึงอยากขับไล่Uniqueออกไป

หากไม่ได้ท่านเลขาธิการกรรมการพรรคออกหน้าไกล่เกลี่ยให้ เสื้อผ้าUniqueคงจะถูกห้างใหญ่ต่างๆ เตะออกมาแล้วตั้งนานแล้ว

หนิวลี่ลี่ถามอย่างสงสัย “ทำไมนักธุรกิจต่างประเทศจะเอาเงินมาลงทุน แล้วต้องเตะUniqueของคุณออกมาด้วยล่ะ? เพราะพื้นที่ไม่พอเหรอคะ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะสถานที่หรอกค่ะ ถ้าหากพื้นที่ไม่พอ ตอนนี้Uniqueก็คงไม่มีบูธขายสินค้าอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อยู่อีกหรอกค่ะ ส่วนทำไมต้องไล่Uniqueออกไปนั้น ฉันเองก็อยากจะรู้เหตุผลอันเป็นรูปธรรมมากๆ เช่นกัน”

“เป็นนักธุรกิจต่างชาติจากไหนจะมาลงทุน ห้างใหญ่ๆ ถึงได้ต้องไล่Uniqueออกไป เรื่องนี้คุณรู้ไหมคะ?”

หลินม่ายยังคงส่ายหน้า “ฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ!”

แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าเป็นบริษัทเสื้อผ้าSeaman ทว่าเธอจะพูดออกมาจากปากของตัวเองไม่ได้ แต่ให้หนิวลี่ลี่ไปสืบด้วยตัวเอง

หากพูดออกมาจากปากของเธอเอง จะทำให้คนอื่นคิดว่าคนอาชีพเดียวกันฉีกหน้ากันเอง ซึ่งจะลดระดับความไม่พอใจต่อเสื้อผ้า Seaman ของผู้บริโภคลงไปอย่างมาก

แต่หากความจริงมาจากการสัมภาษณ์ของนักข่าว ก็จะสามารถเปิดโปงการกระทำเลียแข้งเลียขานักลงทุนจากต่างชาติของห้างใหญ่ทั้งหลาย และการอาศัยอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงคนอื่นของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งยังสามารถดึงสถานการณ์อันยากลำบากขององค์กรเอกชน ทำให้ผู้บริโภคมาสนับสนุนUniqueด้วยความเห็นอกเห็นใจองค์กรเอกชนในท้องถิ่นอีกด้วย

นี่ก็เหมือนกับโทรศัพท์มือถือบางยี่ห้อในชาติที่แล้วที่ทำสงครามประสาทกัน

ในชาติก่อนโทรศัพท์บางยี่ห้อใช้ประโยชน์จากความรู้สึกรักชาติ

พลันได้รับระดับกระแสนิยมในทันที ยอดขายเองก็เพิ่มขึ้นด้วย

ทว่าคุณภาพของโทรศัพท์มือถืออันยอดเยี่ยมก็เป็นเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งเช่นกัน

หนิวลี่ลี่สัมภาษณ์เสร็จก็กลับไป

หลินม่ายเองก็เตรียมตัวจะออกไป เพื่อฟ้องร้อง Seaman ที่ทำการลอกเลียนแบบเสื้อผ้า Unique ที่ศาล

จะชนะคดีหรือไม่ก็ช่างปะไร

เพราะไม่ว่าจะชนะไม่ชนะ หลินม่ายก็ล้วนเป็นฝ่ายที่ได้ชัย

หากชนะคดี ก็ได้รับการพิสูจน์ตามกฎหมายว่าเสื้อผ้า Seaman เป็นนักลอกเลียนแบบที่น่าละอาย

หากไม่ชนะ ขอแค่สามารถพิสูจน์ตามกฎหมายว่าเสื้อผ้า Seaman เป็นนักลอกเลียนแบบ ผู้บริโภคก็ต้องรู้สึกอะไรบ้างล่ะ

แต่ถ้าUniqueแพ้คดี ก็ไม่ได้เป็นเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ยิ่งไม่ใช่เพราะSeamanนั้นบริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะกฎหมายในปัจจุบันไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในคดีความประเภทการคัดลอกและเลียนแบบ

อย่าว่าแต่ในยุคนี้ที่ไม่มีระเบียบข้อกำหนดต่อการคัดลอกเลียนแบบเสื้อผ้าเลย แม้แต่ชาติที่แล้วของหลินม่ายที่มีข้อบังคับในสองด้านนี้แล้ว คดีพาณิชย์แบบนี้เองก็ยังยากจะชนะได้

ต่อให้อาจารย์หลัวออกโรงเอง ก็ยังไม่แน่ว่าจะชนะความได้

ที่หลินม่ายคิดจะสู้คดีนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อจะสร้างกระแสให้Unique

ชื่อเสียงนั้นยิ่งสร้างกระแสก็ยิ่งได้รับความนิยม หลินม่ายที่เกิดใหม่เข้าใจดีเสียยิ่งกว่าอะไร เธอจะไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปแน่

ในขณะที่หลินม่ายกำลังหยิบกระเป๋ากำลังจะออกจากห้องทำงานไปนั้น เฉินเฟิงก็เข้ามา

ทันทีเข้ามาเขาก็โยนรูปภาพปึกหนึ่งให้เธอ

หลินม่ายหยิบรูปภาพพวกนั้นขึ้นมาดู ทั้งหมดล้วนเป็นภาพที่หวังหรงกำลังแนบชิดสนิทสนมกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่

หลินม่ายรู้จักผู้ชายบนรูปภาพคนนั้น เขาคือคนที่ชนกับหวังหรงเมื่อครั้งก่อน เป็นผู้ชายที่อยู่ข้างกายหวังหรงคนนั้นไม่ใช่เหรอ?

เธอถามอย่างประหลาดใจ “ผู้ชายคนนี้ในรูปก็คือผู้จัดการใหญ่ของเสื้อผ้าSeamanสินะ? หวังหรงกับเขาเป็นคนรักกันงั้นเหรอ?”

“แนบชิดกันขนาดนี้แล้ว ก็ต้องมีความสัมพันธ์ฉันคู่รักกันอยู่แล้ว” เฉินเฟิงพูด “ช่วงนี้กวนหย่งหัวผู้จัดการใหญ่ของเสื้อผ้าSeamanเอาแต่หาดูบ้านอยู่ตลอด เขาอยากซื้อบ้านหลังใหญ่สักหลัง ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะซื้อไว้อยู่เองหรือว่าซื้อให้หวังหรง”

หลินม่ายไม่ได้สนใจในประเด็นที่กวนหย่งหัวจะซื้อบ้าน เธอต้องการยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ของหวังหรงกับกวนหย่งหัวเพียงเท่านั้น

เฉินเฟิงถาม “ให้ฉันส่งเด็กๆ ไปเก็บกวาดหวังหรงกับกวนหย่งหัวไอ้คู่ผัวตัวเมียนั่นแบบลับๆ ไหม?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เห็นว่าช่วยกระจายข่าวให้ม่ายจื่อหรอกนะ จะยอมลดความหมั่นไส้คุณนักข่าวให้หน่อยก็ได้

หนุ่มฮ่องกงจะโดนเปิดโปงก่อน หรือยัยหวังหรงจะกลายเป็นอะไหล่มนุษย์ก่อนนะ?

ไหหม่า(海馬)