ตอนที่ 422 อย่าทำอะไรโง่ๆ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 422 อย่าทำอะไรโง่ๆ

คุณย่าฟางจิ้มศีรษะของหลินม่ายเบาๆ “อายุยังน้อย เธอก็ขี้กังวลขนาดนี้แล้ว เดี๋ยววันนี้น้าหวงทำอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเรากินกันเสร็จแล้ว ก็จะได้รู้ว่าฝีมือของหล่อนเป็นยังไง เธอมาเร็วขนาดนี้จะมีประโยชน์อะไรกัน?”

หลินม่ายยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย แล้วถามอย่างสงสัย “ไม่ได้บอกว่าจะแค่ปรับปรุงแปลงดอกไม้ด้านหลังเหรอคะ? ทำไมแม้แต่สวนข้างหน้าก็ยังปรับปรุงด้วยล่ะ?”

คุณย่าฟางชี้ไปที่คนที่ดูเหมือนหัวหน้าคนงานคนนั้น “เพราะว่านักออกแบบจูบอกว่าสวนหน้าบ้านของเรายังไม่สวยพอ ก็เลยออกแบบให้ใหม่น่ะ ย่ากับปู่ของเธอต่างก็คิดว่าเขาออกแบบได้ไม่เลว จึงตกลงกับเขาไป ก็เลยปรับปรุงสวนหน้าบ้านใหม่ด้วยเลยจ้ะ”

หลินม่ายพยักหน้า

เธอนึกว่านักออกแบบจูเป็นหัวหน้าคนงานเสียอีก ไม่นึกว่าเขาจะเป็นนักออกแบบ

หลินม่ายเห็นว่านักออกแบบและคนจัดสวนล้วนทำงานกันอย่างจริงจัง ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย จึงถามคุณย่าฟางเสียงเบา “ที่คุณย่าใช้ธนบัตร 5 หยวนทดสอบน้าหวง ผลลัพธ์เป็นยังไงเหรอคะ”

คุณย่าฟางพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยเสียงกระซิบตอบกลับ “นิสัยใจคอของน้าหวงไม่เลวเลย ตอนที่เก็บกวาดทำความสะอาด พอเจอธนบัตร 5 หยวนใบนั้นก็เอามาให้ย่าทันที”

“หล่อนทำงานบ้านเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ก็ไม่เลวเหมือนกัน”

เมื่อนั้นหลินม่ายจึงวางใจได้

บางทีในชาติก่อนเธอคงเห็นกรณีของแม่บ้านแย่ๆ ในอินเทอร์เน็ตมากเกินไป ดังนั้นจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับนิสัยใจคอและความสามารถในการทำงานของน้าหวง

ไม่คาดคิดว่าคุณน้าคนนี้ที่ฟางจั๋วหรานว่าจ้างมาจะไม่เลวทีเดียว ท่านศาสตราจารย์จัดการเองย่อมเชื่อถือได้

เวลาประมาณ 11 โมงครึ่ง ฟู่เฉียงก็กลับมาจากโรงพยาบาล บอกกับหลินม่ายและคนอื่นๆ ว่าแม่ของเขากำหนดวันเข้ารับการผ่าตัดแล้ว ก็คือพรุ่งนี้นั่นเอง

หลิยม่ายพูด “เร็วจัง! พรุ่งนี้ช่วงเช้าหรือว่าช่วงบ่ายล่ะ? ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะไปรอแม่ของเธอรับการผ่าตัดที่หน้าห้องผ่าตัดเป็นเพื่อนนะ”

ที่แม่ฟู่เฉียงทำนั้นไม่ใช่การผ่าตัดเล็กๆ แต่เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิต

จะให้เด็กอายุสิบสามสิบสี่ขวบเฝ้ารออยู่หน้าห้องผ่าตัดตัวคนเดียวได้อย่างไร ต้องรอตั้งหลายชั่วโมง เขาจะรู้สึกสับสนเปล่าเปลี่ยวมากมายแค่ไหน

หากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเขา คงบรรเทาความวิตกกังวลของเขาได้บ้าง

ฟู่เฉียงรู้เดียงสายิ่ง เขาส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ น้าทำงานเถอะ ผมอยู่เฝ้าที่หน้าห้องผ่าตัดคนเดียวได้ไม่เป็นไรครับ”

คุณปู่คุณย่าฟางพูดขึ้น “พวกเราอยู่ที่บ้านว่างก็ว่าง พรุ่งนี้พวกเราคนแก่สองคนจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง”

คราวนี้ฟู่เฉียงไม่ปฏิเสธ

ความจริงแล้วในใจของเขาก็อยากมีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อน เพียงแต่ไม่อยากรบกวนหลินม่าย เธองานยุ่งเกินไป!

คุณปู่ฟางถาม “ได้เลือกหมอผ่าตัดที่จะทำการผ่าตัดให้แม่ของเธอแล้วหรือยังล่ะ?”

ฟู่เฉียงพยักหน้า “เลือกแล้ว คือคุณอาฟางครับ”

คุณปู่ฟางฉีกยิ้ม “มีอาฟางของเธออยู่ การผ่าตัดของคุณแม่มีอัตราสำเร็จไปแปดในสิบแล้วล่ะ”

ฟู่เฉียงเองก็ยิ้มออกมา “ผมเองก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ”

นักออกแบบจูและคนแต่งสวนของเขาทำงานกันไปจนถึงเวลาเที่ยงตรงจึงกลับกันไป

น้าหวงเองก็ทำอาหารเที่ยงเสร็จพอดี หล่อนทักทายคุณย่าฟางและคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเลิกงานกลับบ้านไป

เมื่อนั้นหลินม่ายจึงไปที่ห้องครัว ลองชิมอาหารที่น้าหวงทำ

ฝีมือการปรุงอาหารของน้าหวงก็ไม่ได้นับว่าแย่ กับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างที่ทำออกมาก็พอใช้ได้

ขณะกินอาหารเที่ยง คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางต่างก็รู้สึกไม่อยากอาหารเล็กน้อย

หลินม่ายนึกว่าพวกเขาไม่ชอบอาหารที่น้าหวงทำ

แม้อาหารของน้าหวงนั้นจะพอใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับรสมือของเธอก็ยังห่างกันอีกหลายขุม

หลินม่ายถามอย่างเป็นกังวล “คุณปู่คุณย่าไม่ชินกับอาหารของน้าหวงหรือเปล่าคะ อย่างนั้นต่อไปฉันจะทำอาหารเที่ยงเอง”

คุณย่าฟางส่ายตะเกียบไปมา “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กับข้าวหรอก แต่เพราะโต้วโต้วไม่อยู่ ถึงกับข้าวจะอร่อยแค่ไหนพอเข้าปากก็ล้วนไม่อร่อยทั้งนั้น”

หลินม่ายสบตากับฟางจั๋วหรานเล็กน้อย

ปัญหานี้พวกเขาสองคนเองก็ไม่มีทางแก้ได้เช่นกัน

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ หลินม่ายก็กลับบ้านของตัวเอง

เพิ่งคิดที่จะนอนกลางวัน หนิวลี่ลี่ก็โทรศัพท์มาหาเสียก่อน

หล่อนบอกกับหลินม่ายทางโทรศัพท์ว่าได้ไปสัมภาษณ์กวนหย่งหัวผู้จัดการใหญ่ของเสื้อผ้าซีม่านมาแล้ว

เขาไม่เพียงไม่ยอมรับว่าเสื้อผ้าซีม่านลอกเลียนแบบเสื้อผ้ายูนีค

ทั้งยังหาเรื่องกลับ บอกว่าเสื้อผ้า Unique ต่างหากที่ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าซีม่าน

หลินม่ายหัวเราะอย่างดูแคลน “คุณไม่ได้ถามผู้จัดการกวนเหรอคะ ว่าในเมื่อเสื้อผ้า Unique ของพวกเราลอกเลียนแบบเสื้อผ้าซีม่านของพวกเขา แล้วทำไมพวกเราถึงได้เปิดตัวเสื้อผ้ารุ่นใหม่พวกนั้นออกมาก่อนกันล่ะ?”

“ถามแล้วค่ะ ฉันจะไม่ถามได้ยังไง? แต่เขาก็ยังเถียงข้างๆ คูๆ อยู่อีก บอกว่าคุณแอบซื้อตัวดีไซเนอร์ของพวกเขาและได้แบบดีไซน์ไป ดังนั้นพวกคุณจึงสามารถชิงเปิดตัวรุ่นใหม่พวกนั้นได้ก่อนที่พวกเขาจะเปิดตัวออกวางจำหน่ายน่ะ”

หลินม่ายพูดถากถาง “ไม่นึกว่าผู้จัดการกวนคนนี้จะเป็นพวกปีจอ ถึงกัดคนไปทั่วได้เก่งขนาดนี้!”

เธอพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “น่าเสียดายที่คุณเอาแต่จดบันทึกตลอดการสัมภาษณ์ คนอื่นเขาจะยืนกรานปฏิเสธว่าพวกเขาไม่ได้พูดคำพูดเหล่านั้น แต่คุณเขียนสุ่มสี่สุ่มห้าไปเอง ไม่มีทางใช้เป็นหลักฐานได้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไปที่ศาลฟ้องร้องว่าเขาพูดให้ร้ายฉันแล้ว”

หนิวลี่ลี่พูดขึ้นในสายอย่างอวดเก่ง “แม้ว่าฉันจะจดบันทึกอยู่ตลอดการสัมภาษณ์ แต่เมื่อเจอสถานการณ์พิเศษ ก็จะบันทึกเสียงเอาไว้ด้วยเหมือนกัน”

หลินม่ายอึ้งไปชั่วขณะ พลันเอ่ยถาม “คุณหมายความว่า คุณได้บันทึกเสียงในระหว่างที่สัมภาษณ์กวนหย่งหัวไปด้วย เขายอมให้คุณบันทึกเสียงเหรอคะ?”

“เขาต้องไม่ยอมให้ฉันบันทึกเสียงอยู่แล้ว ในขณะที่ฉันสัมภาษณ์เขา ก็พบว่าเขาเล่นสำบัดสำนวนไม่หยุด ฉันเลยแอบกดปุ่มบันทึกเสียงของเครื่องอัดเทปในกระเป๋าของฉัน แล้วบันทึกเสียงของเขาอย่างลับๆ ค่ะ”

หลินม่ายหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อยในสาย “คุณช่างมีไหวพริบจริงๆ ค่ะ อีกเดี๋ยวฉันขอเชิญคุณมากินข้าว และส่งเสื้อผ้าให้คุณอีกสองชุดนะคะ”

หนิวลี่ลี่รีบเร่งปฏิเสธ “อย่าเลยค่ะ คุณห้ามเลี้ยงข้าวหรือส่งเสื้อผ้าให้ฉันอย่างเด็ดขาด บางทีอาจจะถูกกวนหย่งหัวรู้เข้า ไม่แน่ว่าเขาอาจแว้งกัดฉันคืน บอกว่าเราสองคนมีความสนิทสนมกัน ดังนั้นฉันจึงช่วยคุณให้ร้ายเขาก็ได้”

หลินม่ายพยักหน้า “อย่างนั้นในอนาคตเมื่อมีโอกาสฉันค่อยเลี้ยงข้าวคุณแล้วกันค่ะ”

หนิวลี่ลี่ดำเนินการอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด บ่ายวันนั้นหล่อนคัดลอกเทปบันทึกเสียงเกี่ยวกับการสัมภาษณ์กวนหย่งหัว แล้วฝากให้ใครบางคนส่งมาให้หลินม่าย

ทว่าหลินม่ายไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่ได้นำเทปบันทึกเสียงนี้ไปฟ้องร้องกวนหย่งหัวที่ศาล

หนิวลี่ลี่บอกว่าหล่อนไม่อยากปล่อยให้คนอื่นจับจุดอ่อน ทำให้ใครเข้าใจผิดว่าพวกเธอสองคนร่วมมือกันวางแผนให้ร้ายกวนหย่งหัว

หากว่าเธอนำเทปบันทึกเสียงที่หนิวลี่ลี่ให้มานี้ไปขึ้นศาลฟ้องร้องกวนหย่งหัว ศาลจะถามเธอถึงที่มาของเทปบันทึกเสียงนั้น และเธอบอกว่าหนิวลี่ลี่นักข่าวของฉู่เป้าให้เธอมา

เนื้อหาที่หนิวลี่ลี่สัมภาษณ์กวนหย่งหัวยังไม่ทันเผยแพร่บนหนังสือพิมพ์ ก็ให้เทปบันทึกเสียงกับเธอมาแล้ว มันจะทำให้คนอื่นคิดกันไปเองเลยเถิดเกินไป

ซึ่งมันจะกลายเป็นจุดอ่อนของหนิวลี่ลี่กับเธอให้กวนหย่งหัวโจมตีอย่างแน่นอน

กวนหย่งหัวนั้นเป็นนักธุรกิจฮ่องกง

ภายใต้เบื้องหลังของยุคสมัยที่ทั้งประเทศทุ่มกำลังดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนเป็นการใหญ่ หากปรากฏว่าสื่อและผู้ประกอบการเอกชนร่วมมือกันใส่ร้ายบริษัทที่ลงทุนโดยนักธุรกิจฮ่องกงแล้ว เบื้องบนคงจะต้องลงโทษสถานหนักแน่

ตัวเองตกระกำลำบากยังพอว่า ยังลากหนิวลี่ลี่มาติดร่างแหไปด้วย

เธอจะทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

หลินม่ายคิดจะรอให้เนื้อหาการสัมภาษณ์กวนหย่งหัวเผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์ในวันนี้พรุ่งนี้ เธอจะร้องเรียนหาความเป็นธรรมกับสื่อก่อน เพื่อดึงความสนใจของผู้คนจำนวนมาก

จากนั้นก็ทำไปตามขั้นตอน ไปฟ้องร้องกวนหย่งหัวข้อหาหมิ่นประมาทเธอที่ศาล อีกทั้งให้สื่อติดตามและรายงานข่าวไปด้วย

แบบนี้บริษัทเสื้อผ้าทั้งสองแห่งจึงจะสามารถโจมตีกันบนสื่อได้ เธอเองก็ได้บรรลุจุดประสงค์ในการสร้างกระแส

นอกจากนี้ยังไม่ถูกป้ายความผิดว่าร่วมมือกับสื่อเพื่อให้ร้ายนักธุรกิจฮ่องกงอีกด้วย

เมื่อเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านจนถึงเวลาห้าโมงเย็น หลินม่ายก็ปิดหนังสือ แล้วขี่รถไปรับโต้วโต้วเลิกเรียนที่โรงเรียนอนุบาล

แม้ว่าตอนที่กินข้าวเที่ยงคุณปู่คุณย่าฟางจะเคยบอกแล้วว่า ตอนบ้านพวกเขาจะไปรับโต้วโต้วเลิกเรียนที่โรงเรียนอนุบาลเอง

แต่วันนี้เป็นวันเข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรกของโต้วโต้ว เธอจำเป็นต้องไปรับหล่อนตอนเลิกเรียน เพื่อไม่ให้หล่อนรู้สึกผิดหวัง

ต่อไปจะมารับหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว

เมื่อมาถึงประตูโรงเรียนอนุบาล หลินม่ายก็เห็นคุณปู่คุณย่าฟางคนแก่ทั้งสองที่มาอยู่ก่อนแล้ว กำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับพ่อเถาแม่เถาอยู่ และมีเถาจืออวิ๋นยืนรับหน้าที่ยิ้มบางๆ อยู่ด้านข้าง

หลินม่ายเดินเข้าไป แล้วทักทายกับเถาจืออวิ๋น

พ่อเถาแม่เถาต่างตอบรับเธอด้วยรอยยิ้ม

คุณย่าฟางพูดค้อนกับหลินม่ายด้วยความเอ็นดู “เธองานยุ่งขนาดนี้ ไม่ต้องมารับโต้วโต้วเลิกเรียนก็ได้ มีย่ากับปู่ของเธอมารับก็พอแล้ว”

หลินม่ายหมุนคอที่ค่อนข้างปวดเมื่อยจากการก้มหน้าเรียนหนังสือไปมา แล้วพูดอย่างออดอ้อน “ฉันเรียนหนังสือที่บ้านมาทั้งบ่ายแล้ว เลยจะถือโอกาสตอนออกมารับโต้วโต้วสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อยนี่คะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ค่อยๆ เดินหมากอย่างรอบคอบดีแล้วค่ะ อย่าเพิ่งวู่วาม เดี๋ยวได้เปรียบจะกลายเป็นเสียเปรียบ

ไหหม่า(海馬)