บทที่ 428 พบกับฝางเหมี่ยวอีกครั้ง

นางเอาหัวชนกำแพงได้สองสามครั้งก็ยอมแพ้เพราะกลัวความเจ็บปวด

นางลืมไปว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเลวร้ายกว่าความตาย นางไม่รู้ว่าในยุคที่นางจากมาร่างกายของนางจะยังอยู่หรือไม่ หากตายไปเสียแล้วนางจะไม่มีวันกลับไปได้อีก

ตอนนี้ฟางเฟยเหมือนลูกบอลที่ถูกเจาะเอาลมออก หากปราศจากการสนับสนุนจากสกุลเซี่ย ความเย่อหยิ่งของนางจึงหายไป นางไม่ใช่คุณหนูที่มีคนคอยรับใช้อีกแล้ว นางต้องทำงานทั้งหมดด้วยตัวเองทั้งยังต้องคอยเอาอกเอาใจบ่าวรับใช้เหล่านั้นอีกด้วย!

หากต้องออกจากจวนนี้ไป นางผู้ไม่เคยประสบความยากลำบากมาก่อนจะอยู่ได้อย่างไร เซี่ยฟางเฟยเสียใจเหลือเกิน นางได้แต่โทษสวรรค์

ผู้อื่นเดินทางข้ามมิติมาล้วนได้กินดื่มเป็นเจ้าหญิงเป็นฮ่องเฮา แต่นางกลับจบลงแบบนี้!

…..

เซี่ยหรงอันไปที่จื้ออวิ๋นโหล่วทุกวัน แต่ตันเหนียงไม่ยอมพบ เขาได้แต่รออยู่ที่ประตู ในเมืองหลวงมีคนไม่น้อยที่รู้จักเขา ทำให้คนเหล่านั้นสงสัยว่าเหตุใดขุนนางที่ควบคุมการขนส่งเกลือจึงมาที่จื้ออวิ๋นโหล่วทุกวัน

“มีข่าวลือว่าตันเหนียงหัวหน้าช่างปักแห่งจื้ออวิ๋นโหล่วเป็นบุตรสาวของนายท่านเซี่ยที่อาศัยอยู่นอกจวน”

“ไม่ใช่เซี่ยฟางเฟยหรือ?”

“ดูเหมือนจะเป็นบุตรสาวอีกคน ที่พลัดหลงกันตอนเกิด”

“ถ้าเช่นนั้นตันเหนียงก็เป็นคุณหนูสกุลเซี่ยหรือ?”

“นั่นสิ”

นี่เป็นข่าวลือที่นางเซี่ยจงใจปล่อยออกมา เพื่อให้ตันเหนียงได้มีสถานะและตัวตน

“ข้าขอพบอาตันได้ไหม ข้าพบสร้อยข้อมือของมารดานางแล้ว” เซี่ยหรงอันถามหลงจู๊

สร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นที่ระลึกถึงมารดาของอาตัน หญิงผู้นั้นโยนมันทิ้ง เซี่ยหรงอันแทบจะพลิกเรือนหา แล้วก็โชคดีที่ได้พบ

อาตันเห็นสร้อยข้อมือ นางจะต้องดีใจมากเป็นแน่

หลังจากที่หลงจู๊ไปตามตันเหนียง ไม่นานเขาก็กลับมาอย่างรวดเร็ว

“แม่นางตันเหนียงขอสร้อยข้อมือของนางขอรับ”

อาตันไม่ยอมเจอเขา…

เซี่ยหรงอันผิดหวัง แต่ก็มอบสร้อยข้อมือให้แก่หลงจู๊เขาวิ่งกลับขึ้นไปหาตันเหนียง เมื่อนางได้รับของ แววตาของหญิงสาวเป็นประกายอย่างตื่นเต้น มารดาของนางจากไปนานแล้ว สร้อยข้อมือคือของที่นางทิ้งไว้ให้เป็นที่ระลึก การที่ได้รับสร้อยกลับคืนมาจึงถือได้ว่าเป็นเรื่องดี

ตันเหนียงลูบคลำสร้อยข้อมือพลางคิดถึงมารดา รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง

“พี่ตันเหนียง” ถังหลี่ที่แวะมาหานาง

แม้ตันเหนียงจะมีนิสัยเย่อหยิ่งแต่นางยอมรับถังหลี่เป็นน้องสาว หากนางอยากมาหาก็ขึ้นมาหานางได้เลย โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด

ถังหลี่เดินเข้ามา ตามองสร้อยข้อมือ

“ท่านหามันเจอแล้วหรือ?”

ตันเหนียงพยักหน้าสวมสร้อยข้อมือที่หายไปกลับคืน

“ข้าเพิ่งเห็นว่านายท่านเซี่ยอยู่ข้างล่าง ท่านได้เจอเขาไหม?” ถังหลี่ถาม ตันเหนียงมองจนถังหลี่ขนลุก

“พี่สาวมีอะไรหรือ?”

“เจ้าจะมาเกลี้ยกล่อมข้าอีกคนหรือ?” ตันเหนียงพูดกันท่า

เกลี้ยกล่อมให้นางยกโทษให้บิดา บอกว่าท่านพ่อรักอาตันมากเพียงใด ? บอกให้ลืมเรื่องบาดหมางเหล่านั้นไป อย่าได้คิดมาก มีหลายคนคอยแนะนำนางแบบนี้ หากถังหลี่เหมือนพวกเขาล่ะก็ นางคงไม่อยากคบกับถังหลี่แล้ว…ตันเหนียงไม่มีความสุขเลย

“อย่าได้เข้าไปยุ่งเรื่องทุกข์ของผู้อื่น อย่าได้บอกให้เขาใจกว้าง ข้าไม่เคยเจ็บปวดเหมือนท่าน ข้าไม่อาจเกลี้ยกล่อมท่านได้หรอก” ถังหลี่พูดราวกับรู้เท่าทันความไม่สบายใจของตันเหนียง

บางคนพยายามโน้มน้าวผู้อื่นราวกับเป็นคนจิตใจดี แต่แท้จริงแล้วล้วนเสแสร้ง หากได้เจอเรื่องเข้ากับตนเองจริงๆ เขาก็ไม่อาจทำตามวาจาที่ตนลั่นเอาไว้ได้

อาตันเป็นคนจิตใจดี แน่นอนว่านางไม่ใช่คนไร้เหตุผล การที่นางทำเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะนางมีปัญหาบางอย่างกับบิดาของนาง

เมื่อได้ยินแบบนั้นใบหน้าที่เคร่งขรึมของตันเหนียงก็ผ่อนคลายลง มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง

“ตอนที่ท่านแม่กำลังจะตาย ตาของนางเบิกโพลงอยู่ตลอดเป็นเพราะอยากเจอท่านพ่ออีกครั้ง ตอนนั้นข้าภาวนาในใจให้ท่านพ่อมาเร็วๆ แต่สุดท้ายความหวังก็หายไป นางจากไปอย่างไม่สงบ” ตันเหนียงกล่าว

เมื่อใดที่นางคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่สามารถให้อภัยบิดาได้ ถังหลี่รู้สึกเจ็บปวด นางสวมกอดตันเหนียงแน่น

คนที่เป็นคนผูกปมจะต้องหาทางแก้ไขเอง ช่วงว่างระหว่างบิดาและบุตรสาวจำต้องเติมเต็มด้วยบิดาของนางเอง ถังหลี่หวังว่าหญิงสาวที่ดีเช่นตันเหนียงจะไม่ทุกข์ใจในชีวิตที่เหลือของนางอีกต่อไป

เมื่อเห็นว่านางอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ถังหลี่จึงปล่อยนาง

“พี่สาว พี่ชายของข้าจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ท่านจะได้พบเขาในไม่ช้าแล้ว” ถังหลี่เอ่ยขึ้น ใบหน้าของตันเหนียงแดงก่ำขึ้นทันที นางฟาดแขนถังหลี่เบาๆ

“ใครอยากเจอเขากันล่ะ”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ในใจของนางก็รู้สึกลิงโลดขึ้นมา

…..

ถังหลี่อยู่ที่จื้ออวิ๋นโหล่วสักครู่ จากนั้นจึงได้หันหลังจากไป นางกลับไปยังจวนอู่โหวด้วยรถม้า เมื่อผ่านซอยเปลี่ยว หญิงสาวได้ยินเสียงดังขึ้น

“เจ้ากำลังจะหนีไปไหน เป็นโชคของข้าแล้วที่ได้พบเจ้าเข้าพอดี!”

ถังหลี่เปิดม่านหน้าต่างรถม้าขึ้นดู เห็นอันธพาลกลุ่มหนึ่งกำลังขวางทางหญิงสาวอยู่ ถังหลี่เลิกคิ้ว นี่เป็นเวลากลางวันแสกๆ ในเมืองหลวง แต่ยังมีคนกล้ารังแกผู้หญิงอย่างโจ่งแจ้งด้วยหรือ! นางลงจากรถม้าเดินตรงไปที่อันธพาลเหล่านั้น

“ดูเจ้าสิ! นี่ถือได้ว่าเป็นพรของเจ้าเชียวนะ ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก ข้าจะมอบตำแหน่งให้แก่เจ้าแน่ๆ”

พวกเขาล้อมหญิงสาวที่ดูอ่อนแอเอาไว้ ถังหลี่รู้สึกเหมือนเคยเห็น

“เป็นพรหรือ? การเห็นหมูตอนที่ขึ้นอืดแบบพวกเจ้าเรียกเป็นพรหรือ?” ถังหลี่ถาม

“นังบ้านี่รนหาที่ตายหรือ!”

ชายอ้วนหันศีรษะมามองด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาสว่างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของถังหลี่ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ถังหลี่เตะเขาจนล้มลงทันที ทันใดนั้นเองหญิงสาวที่ตัวสั่นอยู่เมื่อครู่ ก็ฮึดสู้ขึ้นมา นางกำก้อนหินไว้ให้มือขว้างไปยังชายร่างผอมที่กำลังเดินรี่เข้ามาหา ชายคนนั้นโดนก้อนหินปาเข้าที่หัว เขาล้มลงกับพื้น ทำให้คนผอมอีกคนที่อยู่ในกลุ่มหนีไปทันที นางวิ่งไปที่ชายร่างอ้วนเตะเข้าที่ท้องของเขา

“ไอ้หมูตอนนี่ เจ้ากล้าเอาเปรียบมารดาหรือ? อยากตายหรือไง? ถ้าเจ้ากล้ายั่วยุมารดาอีกข้าจะฆ่าเจ้าซะไอ้เวร!”

นางกระทืบเขาแรงๆ สองสามครั้งจนชายอ้วนที่น่าตายผู้นั้นร้องโหยหวนขึ้นมา

ถังหลี่ตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อมองท่าทีที่ดุร้ายของหญิงสาวผู้นั้น

แล้วท่าทางที่อ่อนแอน่าสงสารก่อนหน้านี้เล่า? เป็นเรื่องเสแสร้งหรือ?

หญิงสาวเตะระบายความโกรธของตัวเองไม่ยั้ง ในที่สุดนางจึงหยุด เบนสายตามามองถังหลี่ ท่าทีของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลน่ารักอีกครั้ง นางรู้สึกเขินอาย

“ตอนแรกข้ากลัวน่ะ เลยทำอะไรไม่ถูก…”

“ข้ารู้ ไม่เป็นไรพวกมันสมควรโดน” ถังหลี่รู้สึกคุ้นเคยกับนาง

“พวกเรา…”

“ตอนที่เราพบกันครั้งล่าสุดเจ้าช่วยข้าไว้” หญิงสาวมีความสุขมาก

“ข้าชื่อฝางเหมี่ยว เจ้าชื่ออะไรหรือ?” ถังหลี่จำนางได้ทันที

“ข้าชื่อถังหลี่”

———