บทที่ 429 ถังหลี่และสามีน่ารักจริง ๆ

ฝางเหมี่ยวยังคงถือก้อนหินไว้ในมือ เมื่อเห็นว่าถังหลี่ยังคงมองอยู่ นางจึงได้รีบวางก้อนหินลง ถังหลี่จึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนระมัดระวังตัว ก่อนหน้านี้คงเตรียมก้อนหินเอาไว้แล้วแกล้งทำเป็นอ่อนแอก่อนจะสบช่องหาทางโต้กลับ นางค่อนข้างฉลาดแต่อีกฝ่ายเป็นชายฉกรรจ์ ทั้งยังมีหลายคน หากถังหลี่ไม่เข้าช่วยเหลือ นางอาจจะพลาดท่าเสียทีได้

“ขอบคุณที่ท่านช่วยข้าไว้อีกครั้ง” ฝางเหมี่ยวพูดขึ้น

นางกับถังหลี่ถูกลิขิตให้มาเจอกันจริงๆ ครั้งที่แล้วฝางเหมี่ยวยังไม่ทันได้ขอบคุณถังหลี่เลย

“เพราะข้าเป็นอู่จั้ว เลยโชคร้าย ท่านคิดเช่นนั้นไหม?” ฝางเหมี่ยวถาม

“คนที่ช่วยพูดแทนคนตายเช่นเจ้าจะเป็นคนโชคร้ายได้อย่างไร?”

ในยุคสมัยโบราณเช่นนี้ อู่จั้วผู้เป็นคนชันสูตรศพถือได้ว่าเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ ไม่เคารพผู้ตายและเป็นโชคร้ายทำให้ผู้คนพากันหลีกเลี่ยงที่จะคบหา แต่ถังหลี่เป็นหญิงที่มาจากปัจจุบัน นางจึงไม่ได้มีความคิดที่โบราณเช่นนั้น

หากไม่มีอู่จั้ว คนตายที่จากไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรมย่อมมีอยู่มาก อู่จั้วจึงถือได้ว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติและสมควรได้รับความนับถือ

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฝางเหมี่ยวก็มีความสุข ไม่เคยมีใครบอกว่างานของนางยิ่งใหญ่มาก่อน เอาแต่กล่าวหาว่าฝางเหมี่ยวเป็นตัวโชคร้ายพากันหลีกเลี่ยงนาง ถังหลี่เป็นคนแรกที่พูดแบบนี้

“หากท่านไม่คิดอะไรข้าอยากเลี้ยงมื้อเย็นท่านสักครั้ง”

“ยังไม่ถึงเวลากินเลย” ถังหลี่มองท้องฟ้า

ฝางเหมี่ยวรู้สึกผิดหวัง แม้คำพูดของถังหลี่จะปลอบโยนนาง แต่คงจะรังเกียจนางเช่นกันใช่ไหม? ใครจะไม่รังเกียจนางเล่า

“ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นดื่มชาแทนล่ะ”

ดวงตาของฝางเหมี่ยวเป็นประกายขึ้นมา ถังหลี่ไม่ได้รังเกียจนางจริงด้วย

“ตกลง”

“มีโรงน้ำชาอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินไปที่นั่นกันเถอะ” ถังหลี่ให้รถม้ากลับจวนไปก่อน

ทั้งสองเดินไปตลาดพลางพูดคุยกันระหว่างทางฝางเหมี่ยวคิดในใจว่าถังหลี่เห็นนางดุร้าย เช่นนั้น จะคิดว่านางเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า?

“ข้าอาศัยอยู่แถวชานเมือง คนส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนั้นเป็นคนไม่ค่อยดี เห็นว่าข้าเป็นอู่จั้วจึงได้อย่างข่มเหงรังแกข้า”

“แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ”

“บิดาข้าเสียชีวิตแล้ว เหลือแต่ข้ากับมารดา” การที่มารดาและบุตรสาวใช้ชีวิตตามลำพังสองคน พวกเขาต้องโหดร้ายเพื่อเอาชีวิตให้รอด

“ที่จริงไอ้หมูตอนนั้นมันตามรังควานข้ามาหลายครั้งแล้ว เอาแต่พูดจาไร้สาระ ตอนที่ข้ารู้ว่ามันแอบตามมาเลยหยิบเอาก้อนหินมาตั้งใจจะกระแทกให้หมดสติแบบไม่ทันตั้งตัว”

“แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ”

“ถึงตอนนั้นข้าจะสู้จนตัวตาย” ฝางเหมี่ยวพูดอย่างดุร้าย แต่เมื่อนางนึกถึงบางอย่างสีหน้าของนางก็อ่อนลง

“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า แม่ของข้าคง…” หญิงสาวมองไปที่ถังหลี่

“ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ” ถ้าไม่ได้ถังหลี่นางก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร?

“ไม่เป็นไร” ถังหลี่ตบที่บ่าของนาง

ทั้งสองมาถึงโรงน้ำชา เดินเข้าไปด้านใน ตอนนี้เป็นยามบ่ายแล้วจึงไม่มีคนมากนัก ฝางเหมี่ยวสั่งชาที่ดีที่สุดในร้าน

“เจ้าเป็นอู่จั้วที่ศาลต้าหลี่ใช่ไหม?” ฝางเหมี่ยวพยักหน้ารับ

“เจ้ารู้จักกู้หวนเนี่ยนไหม?” ถังหลี่ถาม

ดวงตาของฝางเหมี่ยวปิดไม่มิด ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้างราวกับแมวที่กำลังทำตาโตดูน่ารักมาก

“รู้จักสิ ใต้เท้ากู้จะเรียกใช้ข้า เวลาที่ต้องการชันสูตรศพ” ฝางเหมี่ยวคิดถึงรูปร่างสูงใหญ่ของกู้หวนเนี่ยน หัวใจของนางก็เต้นระรัวขึ้น แต่นางกับเขามีสถานะแตกต่างกัน ราวกับอยู่กันคนละโลก ฝางเหมี่ยวขับไล่ความคิดแปลกๆ ออกอย่างรวดเร็ว

“กู้หวนเนี่ยนเป็นพี่ชายของข้า” ถังหลี่กล่าว

“พี่ชาย…ท่านคือน้องสาวของใต้เท้ากู้หรือ? คุณหนูกู้” ฝางเหมี่ยวตกตะลึง ดวงตาของนางจึงเบิกโตมากขึ้นไปอีก

ไม่กี่วันก่อนใต้เท้ากู้สวมชุดใหม่เขาดูโอ้อวดผู้คนอยู่บ้าง จนทำให้ฝางเหมี่ยวแปลกใจ เมื่อนางถามเขา เขาจึงบอกว่าเป็นชุดที่ได้รับจากน้องสาวของตัวเอง เมื่อพูดถึงน้องสาว ริมฝีปากเขายกขึ้นสูงแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจไม่น้อย ท่าทีของเขาอ่อนโยนอย่างที่ฝางเหมี่ยวไม่เคยเห็นมาก่อน มีข่าวลือในศาลต้าหลี่ที่ว่าคุณชายกู้รักน้องสาวมากคงจะเป็นเรื่องจริง

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าคุณหนูกู้น่าจะเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่แสนน่ารักอาศัยอยู่ในอ้อมกอดของครอบครัวอย่างมีความสุข

ใต้เท้ากู้หลงน้องสาวมากทำให้นางรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนี้อยู่บ้าง ไม่คาดคิดเลยว่าหญิงสาวที่ช่วยนางมาถึงสองครั้งจะเป็นคุณหนูกู้ผู้นั้น

ถังหลี่เป็นคนที่สวยมากแต่นางไม่ใช่หญิงสาวที่บอบบาง นางเป็นคนกล้าแกร่งมีความคิดเป็นของตัวเอง ความคิดของนางช่างแตกต่างจากผู้อื่นฝางเหมี่ยวจ้องมองถังหลี่ คุณหนูกู้เป็นคนเช่นนี้เอง!

“พี่ชายของข้าคงไม่ได้รังแกเจ้าใช่ไหม?” ถังหลี่ถาม

“ไม่เลย ใต้เท้าเป็นคนดี” ฝางเหมี่ยวรีบพูด

“ดี! หากเขารังแกเจ้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” ถังหลี่ตบหน้าอกตัวเองพูดขึ้นมาให้ความั่นใจ

“ตกลง” ฝางเหมี่ยวเท้าคางมองถังหลี่

นางชอบคุณหนูกู้จริงๆ ถังหลี่ไม่ได้ถือตัวเลยสักนิด พูดคุยกับนางอย่างสนอกสนใจ

จากนั้นร่างๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนถนนดึงดูดความสนใจของทุกคน เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาสูงสง่า สวมเครื่องแบบสีดำรวบผมสวมกวาน ชายผู้นี้นั่งอยู่บนหลังม้า

ถังหลี่มองไปยังชายชุดดำผู้นั้น ดวงตาเป็นประกาย เขาคือสามีของนาง เว่ยฉิง! เมื่อชายหนุ่มเห็นถังหลี่เขาเงยหน้าสบตากับนาง

“เหมี่ยวเหมี่ยวคนผู้นั้นคือสามีข้าเอง” ถังหลี่พูดขึ้น

ฝางเหมี่ยวไม่รู้เรื่องของคุณหนูกู้มากนักนางจึงประหลาดใจเล็กน้อย

“ท่านแต่งงานแล้วหรือ?”

เมื่อมองเห็นเว่ยฉิงแว่บแรกนางรู้สึกว่าชายคนนี้มีบรรยากาศเย็นยะเยือกอยู่รอบตัว ค่อนข้างน่ากลัว แต่เขาดูหล่อเหลาเหมาะสมกับถังหลี่มาก

“ไว้เจอกันใหม่ หากเจ้าต้องการอะไรไปหาข้าได้ที่จวนอู่โหว” ถังหลี่กล่าว

ฝางเหมี่ยวรู้สึกได้ว่าเมื่อสามีของนางมาถังหลี่ก็ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

นางเหมือนสาวน้อยที่กำลังมีความรัก แทบจะทนรอที่จะพบสามีไม่ไหว ถังหลี่คงรักเขามาก

“ได้สิ” ฝางเหมี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ถังหลี่วิ่งออกไปจากโรงน้ำชาตรงไปหาร่างสูงที่กำลังขี่ม้าอยู่ ชายหนุ่มรีบลงจากหลังม้ารับนางที่กำลังวิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ถังหลี่ตัวเล็กกว่าสามีมาก สายตาของสามีถังหลี่ดูอ่อนโยนลง

เขาอุ้มนางขึ้นบนหลังม้ากักตัวนางไว้ในอ้อมแขนของเขาก่อนจะจากไป เป็นความสัมพันธ์ที่น่าอิจฉามากในสายตาของฝางเหมี่ยว