ตอนที่ 279 พวกเราเตรียมดนตรีสำหรับการเปิดตัวอลังการครั้งแรกแล้ว (1)
ผู้ใดกัน?
นักพรตเต๋าหนุ่มหันไปมองแล้วพบตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์นักพรตเต๋าของหลี่ฉางโซ่ว จากนั้นก็สาดลำแสงสีทองออกไปโดยไม่เอ่ยอะไร ลำแสงสีทองนั้นคือใบมีดสั้นที่เกิดจากปีกบางๆ ของร่างกายของเขา มันตัดผ่านน้ำทะเลแทบจะในทันที แล้วพุ่งทะยานแหวกฝ่าอากาศไปถึงหน้าผากของหลี่ฉางโซ่วอย่างรวดเร็วยิ่ง!
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เห็นคลื่นกระแทกเป็นระลอกที่เกิดขึ้นเมื่อใบมีดสั้นนี้ทะลวงฝ่าน้ำทะเลและอากาศ! และโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้กล่าวอันใด ใบมีดสั้นก็ฟาดลงบนศีรษะของเขาไม่หยุด… “ร่างจำแลงของมดกระโดดออกมาจากที่ใดกัน?
นักพรตเต๋าหนุ่มแค่นเสียงเย็นชาขณะเหลือบมองไปยังร่างที่ถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดายด้วยฝีมือของเขาเอง และยังคงกระตุ้นใช้งานไข่มุกสีโลหิตในมือของเขาต่อไป
แต่ก่อนที่นักพรตเต๋าหนุ่มจะถอนสายตาออกมา ร่างอีกร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อด้านซ้ายของผู้ที่ถูกผ่าแยกร่างออก ซึ่งแท้จริงแล้ว ยังคงเป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคน
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอีกครั้งว่า “ช้าก่อน!”
“หือ?”
นักพรตเต๋าหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากทางด้านหลังของเขาแล้วผ่าแยกร่างที่เพิ่งปรากฏออกมาใหม่ในทันที
นักพรตเต๋าหนุ่มส่ง “เสียงดัง” จากนั้นก็มีไข่มุกสีโลหิตลอยอยู่ข้างหน้าเขา เขาเริ่มผนึกฝ่ามือ แล้วไข่มุกสีโลหิตนั้นก็เปล่งประกายฉายแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนขึ้นมาอีกว่า “จินฉานจื่อ! เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
นักพรตเต๋าหนุ่มตกตะลึงก่อนจะหันไปมองผู้ที่กำลังตะโกนแล้วหรี่ตามอง ดวงตายาวรีของเขาเต็มไปด้วยเจตนาสังหารเยือกเย็นอย่างไร่ที่สิ้นสุด! นักพรตเต๋าที่ถูกเขาสังหารไปแล้วสองครั้งได้เมื่อก่อนหน้านี้ได้หายตัวไป ทว่าในขณะนั้น ชายวัยกลางคนคนเดิม ก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
เมื่อมองสำรวจดูอย่างละเอียดใกล้ ๆ ก็ดูเหมือนว่า จะเป็นร่างจำแลง…
จินฉานจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยุดชะงักลง ดวงตาของเขาฉายแววระมัดระวัง และละทิ้งความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามก่อนหน้านี้ไป
คนที่รู้จักเขาก็แค่เรียกเขาว่า จินฉานเท่านั้น
ส่วนนาม จินฉานจื่อนี้ จะมีเพียงสองเจ้าสำนักบำเพ็ญเต๋าจะใช้เรียกเขาเท่านั้น
จินฉานจื่อเอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”
ในที่สุดเขาก็กล่าว…
หลี่ฉางโซ่วใจกระตุกสั่นไหวไปชั่วขณะ ในชีวิตก่อนหน้านี้ ภิกษุอ้วนขาวผู้นี้โหดเหี้ยมเช่นนั้นหรือ? กลเม็ดเล็กๆ ‘ช้าก่อน’ ของเขานั้น น้อยครั้งนักที่จะไม่ได้ผล แต่คราวนี้ได้พบกับจักจั่นสีทองหกปีก เขายังไม่เอ่ยถามอะไร ก็ผ่าแยกร่างของเขาทันที!
ดูสิ โดยทั่วไปแล้ว มันมีประโยชน์เสมอในการนำตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สำรองมาเพิ่มเติม เมื่อพร้อมย่อมไม่แพ้! หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจ ในยามนี้ เขาเพียงต้องการถ่วงเวลา และแน่นอนว่า ยิ่งเขาพูดช้ามากเท่าใด ก็ยิ่งดี…
“ข้าเป็นผู้ใดนั้น… ไม่สำคัญ…
แต่ที่สำคัญคือ สหายเต๋าอยากทำสิ่งใด?
สหายเต๋า มันเจ็บปวดยิ่งนักที่เผ่ามังกรจะต้องมาเติมเต็มดวงตาแห่งท้องทะเล
ดวงตาแห่งท้องทะเลคือ น้ำพุสกปรกที่ประกอบไปด้วยสิ่งปฏิกูลของสิ่งมีชีวิตแห่งสวรรค์และปฐพีซึ่งเติมเต็มมันด้วยร่างกายของพวกเขาเอง และปราณวิญญาณของพวกเขาก็จะค่อยๆ ถูกกลืนกินทีละน้อยจนตายไป…
สหายเต๋า เจ้ายังอยากปล่อยเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของพวกเขาหรือ? ” จินฉานจื่อยิ้มเย็นและแค่นเสียงกล่าวอย่างสงบว่า “ข้ายังคิดว่า เจ้ามีทักษะอยู่บาง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเพียงแค่การร่ายวาจาเท่านั้น” ขณะกล่าว แสงสีทองก็สาดประกายอยู่ทางด้านหลังของจินฉานจื่อ และใบมีดสั้นทั้งหกใบก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ
“คราวนี้ ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ มาดูกันว่า เจ้าจะใช้กลเม็ดเคล็ดลับอะไรอีกบ้าง!”
หลี่ฉางโซ่วคิดอย่างรวดเร็ว แล้วแค่นเสียงกล่าวว่า “สวัสดี จินฉานจื่อ ข้าตั้งใจรอเจ้าอยู่ที่นี่ เพียงแค่อยากจะเตือนเจ้า แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะโง่เขลาปานนี้! ข้ามีร่างจำแลงหลายร้อยหลายพันเช่นนี้ แล้วหากข้าสังหารเจ้าเล่า? น่าเสียดายที่เจ้าหลงทาง แล้วต้องก้มหน้าอยู่หน้าเชิงเขาหลิงซาน แต่สุดท้ายก็ได้เพียงเลือดเนื้อเท่านั้น! ช่างน่าเศร้าและน่าขันสิ้นดี! ”
จินฉานจื่อหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
หลี่ฉางโซ่วเม้มปาก เขาไม่รู้ว่าเขากำลังกล่าวถึงอะไรด้วยซ้ำ ขณะนี้ เขาเพียงรู้สึกสงสัยข้องใจเท่านั้น…
เขาพยายามถ่วงเวลามานานแล้ว เหตุใดหวงหลงเจินเหรินถึงยังไม่มา? ตามความเร็วที่หวงหลงเจินเหรินพาข้าไปยังทะเลทักษิณเมื่อก่อนหน้านี้ เขาน่าจะมาปรากฏตัวที่นี่แล้ว! เขาหลงทางหรือ?
หรือเป็นเพราะเขาไม่ได้กลับมายังดินแดนของเผ่ามังกรมานานหลายปีแล้ว และลืมสายโลหิตของดวงตาแห่งท้องทะเล ลืมแม้กระทั่ง…
หือ?
หลี่ฉางโซ่วกวาดสายตาไปทั่วสถานที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว แล้วเห็นกฎห้ามซับซ้อนที่สาดประกายอยู่ทั่วด้านล่างของร่องลึก มีค่ายกลเวทที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอยู่ด้านล่างและมีพลังขุ่นมัวอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ปราการป้องกันของเผ่ามังกรที่นี่อ่อนแอเกินไปหรือไม่?
แม้ว่าอาจเป็นเพราะราชามังกรได้ย้ายปรมาจารย์มังกรที่ประจำการอยู่ที่นี่ไปยังวังมังกร แต่เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ประจักษ์ชัดว่า เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล และไร้เหตุผลสิ้นดี…
แน่นอนว่า ราชามังกรเฒ่านั้น ย่อมหาใช่ธรรมดาไม่ เขาจะไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างดวงตาแห่งท้องทะเลและวังผลึกแก้ว ว่าสิ่งใดมีความสำคัญมากกว่ากันได้อย่างไร?
“ไยเจ้าไม่เอ่ยอันใดเลยเล่า?”
บัดนี้ ดวงตาของจินฉานจื่อเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับทำท่าทางเชื้อเชิญขณะกล่าวว่า “ช่างมันเถิด ข้าไม่รีบ เจ้าทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน” ทันใดนั้น จินฉานจื่อก็หยุดสาดแสงสีทองที่อยู่ทางด้านหลังและจับจ้องไปที่นักพรตเต๋าวัยกลางคน
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้ม ในเวลานี้ เขาไม่กังวลเฉกเช่นก่อนแล้ว
แม้ว่าจริงๆ แล้ว เขาจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ยังมั่นใจอยู่กว่าเก้าส่วน
ที่นี่น่าจะเป็นดวงตาทะเลปลอมที่เผ่ามังกรจงใจจัดตั้งขึ้น!
แม้แต่หลี่ฉางโซ่วก็ยังร้องว่า “เอาสิ ไฉนไม่ทำเล่า ข้าเฝ้าคอยจนดอกไม้โรยราแล้วนะ[1]~”
ดวงตาของจินฉานจื่อยิ่งฉายแววสงสัยมากขึ้น
เขามักจะโหดเหี้ยมเฉียบขาดอยู่เสมอ แต่คราวนี้ แม้จะสับสนเพราะนักพรตเต๋าลึกลับผู้ที่เขาพยายามสังหารสองครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ แม้เขายังไม่รู้ชัดเจนนัก แต่ก็ไม่หยุดการกระทำของเขา “สหายเต๋า เจ้ายังคิดหลอกข้าอีกหรือ?” จินฉานจื่อกล่าวเย็นชา “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเรียกเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ที่นี่ต่อหน้าเจ้า แล้วรวมพวกเขาก่อตัวขึ้นเป็นปราการปีศาจของเผ่ามังกร
มาดูกันว่า สหายเต๋าจะทำอะไรข้าได้!”
ในขณะนั้น ใบมีดสั้นสีทองทั้งหกก็พุ่งออกมาจากทางด้านหลังของจินฉานจื่อ และหมุนวนไปรอบตัวเขาอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างปราการป้องกัน และในพื้นที่ที่ล้อมรอบไปด้วยใบมีดสั้นนั้น ไข่มุกสีโลหิตก็เปล่งแสงและเกิดเสียงลมหวีดหวิวในขณะที่จินฉานจื่อเปิดใช้งานมันอย่างต่อเนื่องจนทำให้สถานที่แห่งนี้ดูกลายเป็นทะเลเลือด
…
บัดนี้ ในน้ำทะเล เกิดภาพติดตาสองสามภาพพุ่งมาจากทางออกของค่ายกลขนาดใหญ่ แล้วเปลี่ยนเป็นลำแสงสีโลหิต พุ่งเข้าไปในไข่มุกนั้น
จากนั้น…ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น จินฉานจื่อขมวดคิ้วในคราแรก หลังจากนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยรอยสับสนออกมา ไฉนจึงไร้วี่แววให้เห็นถึงการรวมตัวของเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเผ่ามังกรนับพันเล่า? บรรดาศิษย์ทั้งหลายของจอมปราชญ์เทพที่อยู่ฝ่ายพวกเขา ล้วนคิดแผนการมาหลายครั้งแล้วว่า หากพวกเขาไปถึงดวงตาแห่งทะเลบูรพา พวกเขาก็จะได้รับเศษเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของมังกรนับพัน แล้วเปลี่ยนให้เป็นปีศาจโลหิตเพื่อกลับไปโจมตีวังมังกร!
และนั่นยังเป็นคำเตือนสำหรับเผ่ามังกรอีกด้วย หากพวกเขาไม่ละความเย่อหยิ่งและยอมจำนน คราวหน้าเขาจะทำลายผนึกของดวงตาแห่งท้องทะเล ทว่าแผนการเหล่านี้ กลับดูเหมือนว่าจะไร้ผล?!
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเบาๆ… ในขณะที่จินฉานจื่อหันศีรษะไปตวาดว่า “เจ้าใช้เล่ห์กลอันใดกัน!?!”
เมื่อหลี่ฉางโซวเห็นเช่นนั้น เขาก็มั่นใจเต็มที่แล้วว่า นี่คือ ดวงตาทะเลแห่งท้องทะเลปลอมอย่างแน่นอน ในเวลานั้น เขายืนเอามือไพล่หลังอย่างสงบของเขาขณะที่มีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นรอบกายเขา
“จินฉานจื่อ ข้าใช้เล่ห์กลหรือ หรือว่าเจ้ามีแผนร้ายอะไรซ่อนไว้ในใจกันแน่?”
จินฉานจื่อเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นและเมื่อจะกล่าวต่อไป ร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ถูกเพลิงสมาธิแท้ล้อมรอบแล้วหายไปในทะเลแทบจะในทันที เหลือเพียงคลื่นพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านอยู่รอบๆ ตลอดเวลา จากนั้น ก็มีข้อความเสียงผ่านเข้าไปในหูของจินฉานจื่อ…
“จินฉานจื่อ เจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นผู้ใด เมื่อพบผู้ที่มีไฝสามเม็ดอยู่ที่ฝ่าเท้าแล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่า ตัวเจ้าเองเป็นผู้ใดกัน”
ผู้ใดคิดบนใบหน้าของเขา
จินฉานจื่อตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ทันใดนั้นเขาก็บันดาลเดือด แล้วลำแสงสีทองทั้งหกสายก็พุ่งออกมา แต่ได้เพียงตัดขี้เถ้าออกเท่านั้น
“เหอะ! เจ้ากำลังแสร้งทำเป็นลึกลับตบตาเท่านั้น!”
จินฉานจื่อส่งเสียงตะโกนเยาๆ และมองลงไปที่ค่ายกลผนึกด้านล่างพร้อมด้วยดวงตาที่เผยแววลังเลออกมา เขายกมือขึ้นหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่กล้าทำลายผนึกของสถานที่แห่งนี้
อย่างไรก็ตาม เรื่องเหลวไหลที่หลี่ฉางโซ่วทิ้งไว้ในยามนี้ ก็เป็นดั่งเสียงปีศาจที่ตราตรึงอยู่ในใจของเขา …
เมื่อพบผู้ที่มีไฝสามเม็ดอยู่ที่ฝ่าเท้า ทันใดนั้น… จินฉานจื่อก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปให้พ้นเสีย!”
บัดนั้น ในค่ายกลเวทใต้พื้นน้ำทะเลที่โล่งกว้างว่างเปล่า นักพรตเต๋าหนุ่มส่งเสียงตวาดด้วยโทสะ และกระตุ้นไข่มุกในมือของเขาขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีผลอีกต่อไป
………………………………………………………….
[1] ผู้เขียนปรับมาจากเพลงจีนของแจ๊คกี้ จางเสวียโหย่ว ชื่อว่า ฉันเฝ้าคอยจนดอกไม้เหี่ยวเฉา ประมาณว่า เราจะเตรียมดอกไม้เพื่อรอรับคนในเวลาที่เขามา แต่ก็รอคอยจนสิ้นหวัง นานมาก นานเสียจนดอกไม้เหี่ยวแห้งโรยรา ซึ่งจะหมายถึง มีใครบางคนรออยู่ หรือ เป็นสแลงเกินจริงแบบหนึ่งในทำนองว่า การกระทำของคนหนึ่งนั้นใช้เวลานานมาก