จวนเซียงอ๋องจุดโคมผูกผ้าสีแดงสดใส บรรยากาศครื้นเครงเป็นอย่างมาก
อวี้จิ่นพาเจียงซื่อมาถึงค่อนข้างช้า
หลู่อ๋องตะโกนเรียก “น้องเจ็ด พวกเจ้ามาช้ามาก ตอนงานอภิเษกของเจ้า น้องแปดมาเร็วมากเลยนะ”
อวี้จิ่นเห็นนางกำนัลของจวนเซียงอ๋องนำทางเจียงซื่อไปยังฝั่งแขกสตรี ถึงนั่งลงแล้วกล่าวอย่างขี้เกียจ “อย่างที่เขาว่าไว้ มาเร็วสู้มาถึงพอดีไม่ได้ พิธีอภิเษกยังไม่เริ่ม พี่ห้าไม่ใช่เจ้าบ่าว แล้วพี่ห้าจะใจร้อนไปทำไมเล่า”
เขาเองก็ไม่ได้พูดเสียงเบา พระชายาหลู่อ๋องที่อยู่ฝั่งแขกสตรีชำเหลืองมองทางนี้หนึ่งที แก้วน้ำชาในมือวางลงโต๊ะดัง ตุบ
หลู่อ๋องตัวแข็งทื่อ ยิ้มให้อวี้จิ่น และไม่กล้าหาเรื่องอีก
โถ่เว้ย มีอะไรก็มาหาเขาตรงๆ ไม่ได้รึไง อยู่ดีไม่ว่าดีก็ดึงหญิงร้ายในบ้านออกมาข่มขู่คน ก็นึกว่าเก่งจริง!
นั่งไปอีกครู่หนึ่ง ไท่จื่อเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ “ขบวนรับตัวเจ้าสาวเหตุใดยังกลับมาไม่ถึงอีก”
องค์ชายสามจิ้นอ๋องเงยหน้ามองฟ้า
แสงตะวันย้ายมาฝั่งตะวันตกแล้ว ขอบฟ้าเป็นสีแดงตระการตา
“ใกล้จะล่วงเลยเวลามงคลแล้วใช่หรือไม่” จิ้นอ๋องพึมพำ เป็นน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่ามีความรู้สึกอย่างไร
แล้วเวลาครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างเร็ว
เหล่าองค์ชายมองหน้ากันและกัน เริ่มรู้สึกว่ามันผิดปกติ
จนถึงเวลานี้แล้วขบวนรับตัวเจ้าสาวก็ยังมาไม่ถึงจวนเซียงอ๋องอีก มีเรื่องเกิดขึ้นแน่ๆ
“หรือว่าติดขัดระหว่างทาง” สู่อ๋ององค์ชายหกเพิ่งเข้าพิธีอภิเษกไม่นาน เมื่อหวนคิดถึงภาพตอนรับตัวเจ้าสาวที่มีคนยืนเป็นภูเขา เขาถึงกับขนลุกขนพอง
เขากับเจ้าแปดไม่สนิทกันมาก แน่นอนว่าไม่ถึงกับเป็นห่วง แต่รอนานเกินไปก็น่าเบื่อ
หลู่อ๋องเป็นคนพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลังเสมอ เขาเอ่ยขึ้นพึมพำ “หรือว่าน้องแปดตกจากหลังม้า? ก็บอตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่าให้ฝึกทักษะการขี่ม้าให้ดี”
“ทักษะการขี่ม้าของน้องแปดพอใช้ได้ขอรับ บางทีอาจเป็นเพราะบนถนนติดขัดจริงๆ” ใบหน้าของฉีอ๋องมีความเป็นห่วง
จะมีสักกี่คนที่คิดว่าเขาเป็นห่วงจริงๆ นั้นไม่มีใครรับรู้ได้
น้ำชาหมดไปอีกหนึ่งแก้ว ในที่สุดก็มีข่าวส่งมาถึง
“อะไรนะ ขบวนรับตัวเจ้าสาวหยุดอยู่กลางทาง”
เมื่อรู้ที่ไปที่มาทั้งหมด อาการของเหล่าองค์ชายก็แสดงออกมาหลากหลายมากเป็นพิเศษ
สู่อ๋องถอนหายใจเงียบๆ
วันที่เขาแต่งงาน ฝนตกกระหน่ำ เนื้อตัวเปียกปอนเหมือนลูกไก่ตกน้ำ เดิมทีก็รู้สึกแย่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแปดวันนี้ ก็รู้สึกไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงทันที
เหมือนลูกไก่ตกน้ำแล้วอย่างไรเล่า ถูกประชาชนทั้งเมืองเห็นการสวมเขา นั่นถึงโหดร้ายมากจนไม่นึกว่าจะมีอยู่ในโลกนี้
แน่นอนว่ากับสิ่งที่เซียงอ๋องประสบพบเจอ สู่อ๋องไม่มีความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
ตลกรึไง จะมีแค่เขาที่ซวยได้อย่างไร มีคนซวยกว่าเขาสิถึงน่าดีใจ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สู่อ๋องชำเลืองมองอวี้จิ่นหนึ่งทีด้วยความรังเกียจอย่างเต็มล้น
เจ้าเจ็ดเข้าพิธีหลังงานอภิเษกของเขาทันที เขาแทบถูกเจ้าเจ็ดสองสามีภรรยาเปรียบเทียบจนจมคูน้ำ นับว่าเจ้าแปดยังรู้จักกาลเทศะ
คนส่งข่าวฝั่งผู้หญิงคือลูกพี่ลูกน้องชายของแม่ทัพชุย เวลานี้ได้จัดคนให้นำเรื่องราวไปบอกกล่าวแก่จวนแม่ทัพด้วยความว่องไว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเหมือนถูกฟ้าผ่า นางนิ่งไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา นางโมโหจนหน้าซีดเผือด
“กล้ามาก เซียงอ๋องทิ้งหมิงเย่ว์ไว้เช่นนี้ได้อย่างไร!” นางออกแรงตบโต๊ะพลางรู้สึกว่ายังไม่พอ จึงช้อนแก้วน้ำชาบนโต๊ะแล้วโยนลงพื้น
เสียงแก้วน้ำชาดัง เพล้ง แตกเป็นเสี่ยงๆ
ชุยซวี่ขมวดคิ้วแต่ไม่อยากพูดสิ่งใดมากจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“ชุยซวี่ ท่านจะไปที่ใด” องค์หญิงใหญ่หรงหยางไล่ถาม
ชุยซวี่หยุดลงแล้วมองด้านนอก
ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ แม้แต่แสงตะวันตรงขอบฟ้าก็ยังไร้ความสดใส
เวลามงคลได้ล่วงเลยแล้ว
“จะทิ้งให้หมิงเย่ว์อยู่ตรงถนนต่อไปก็คงไม่ดีหรอกกระมัง” ชุยซวี่อธิบายเสร็จ ก็เริ่มเดินออกไปต่อ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางวิ่งตามมา “ท่านหมายความว่าจะไปรับหมิงเย่ว์กลับมา?”
“ไม่เช่นนั้นล่ะ!”
“ชุยซวี่!” องค์หญิงใหญ่หรงหยางตะโกนสองตัวอักษรด้วยหน้าเขียว นางเริ่มควบคุมความโกรธไม่ไหว “พิธีอภิเษกของหมิงเย่ว์กับเซียงอ๋องถูกเสนอขึ้นโดยไทเฮา ถูกกำหนดโดยฮ่องเต้ เซียงอ๋องทำเช่นนี้นั่นหมายความว่าเขาขัดขืนต่อพระราชโองการ คนที่ควรรับโทษคือเขา หากพวกเรารับหมิงเย่ว์กลับมา จากนี้ไปจะทำอย่างไร”
แววตาของชุยซวี่มององค์หญิงใหญ่หรงหยางลึกเข้าไปข้างใน
“จนถึงเวลานี้แล้ว ท่านมองข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” อาการหมดแรงที่ปนเปไว้ด้วยความโมโหพุ่งขึ้นภายในใจองค์หญิงหรงหยาง
เฉกเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะกับนางหรือลูก ชุยซวี่จะนิ่งเสมอ
นิ่งจนทำให้นางรู้สึกว่าเขาไม่ใส่ใจอะไรเลย
แล้วชุยซวี่ก็ยอมปริปาก “หมิงเย่ว์กับเซียงอ๋องยังไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน ถ้าไม่รับหมิงเย่ว์กลับเรือน แล้วจะยัดเยียดนางให้จวนเซียงอ๋องรึไง”
“ถ้าทำเช่นนั้นแล้วจะทำไมรึ”
ชุยซวี่ถอนหายใจ “หากว่าถูกกั้นให้อยู่ด้านนอกประตู หมิงเย่ว์ก็ยังเลี่ยงความอับอายไม่ได้ ในเมื่อไม่ว่าจะทางไหนก็อับอายด้วยกันทั้งนั้น กลับมาที่เรือนอย่างน้อยก็ดีกว่าถูกแขกที่อยู่กันเต็มในจวนเซียงอ๋องชี้หน้า”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่อยากโต้เถียงอีก นางดึงแขนเสื้อขึ้นและกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ไปรับเถอะ ข้าขอเข้าวังหน่อย!”
เข้าพิธีแต่งงานได้เพียงครึ่งทาง เจ้าบ่าวยังหายตัวไปไหนไม่รู้อีก ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ นางต้องเข้าวังขอความเป็นธรรม
เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่หรงหยางจากไปพร้อมความโกรธ ชุยซวี่ก็ไม่คิดขวาง หลังเดินออกจากจวนแม่ทัพ ตลอดทางถนนเต็มไปด้วยผู้คน จึงจำต้องทิ้งม้าและใช้วิธีเดินเร็ว
ภายในห้องทรงอักษร ฮ่องเต้จิ่งหมิงทรงงานอย่างหนักเสร็จไปอีกหนึ่งวัน จึงเปิดบทละครขึ้นมาอ่านอย่างเคย แต่เกิดรู้สึกไร้ความน่าสนใจอย่างไร้เหตุผล
หลายวันมานี้ ราวกับว่าจะทำอะไรก็ไม่สมพระทัย
งานเลี้ยงครอบครัวดีๆ งานหนึ่ง จู่ๆ องค์หญิงสิบห้าก็จากไป เฉินเหม่ยเหรินที่ทำร้ายองค์หญิงสิบห้าก็จากไปด้วย องค์หญิงสิบสี่ได้ยินว่าพระมารดาจากไปแล้ว อาการป่วยก็หนักขึ้นกว่าเดิม ดูๆ แล้วก็ไม่ไหวแล้วเช่นกัน
แต่สองคำถามที่ฮองเฮาเปิดประเด็นขึ้นมา จนถึงวันนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในศีรษะของเขา จนเริ่มกลายเป็นปม
เขาสั่งให้พานไห่ไปตรวจสอบแล้ว เฉินเหม่ยเหรินเกิดในครอบครัวธรรมดา บุพการีเสียไปแล้วทั้งคู่ มีเพียงพี่ชายหนึ่งคนที่รับข้าราชการอยู่ต่างเมือง
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ สองพี่น้องแทบไม่ได้ติดต่อกัน
เหม่ยเหรินตัวเล็กๆ ธรรมดาเพียงนี้ จะไปหาของประหลาดๆ มาทำร้ายคนได้อย่างไร
หากจะบอกว่าไม่มีผู้อยู่เบื้องหลังเฉินเหม่ยเหริน ฮ่องเต้จิ่งหมิงเป็นคนแรกที่ไม่เชื่อ
แต่ฮองเฮาสืบมานาน อย่าว่าแต่ที่พักของเฉินเหม่ยเหริน ค้นทั้งตำหนักอวี้เฉวียน จนเสียนเฟยถึงกับย้ายไปพักที่อื่นชั่วคราว ก็ยังไม่พบแม้แต่เบาะแส
ถึงฮ่องเต้จิ่งหมิงมีหน่วยงานบูรพาและองครักษ์จิ่นหลิน แต่นั่นใช้เพื่อตรวจสอบขุนนางกับเจ้าหน้าที่บางคนเท่านั้น ถึงจิ่งหมิงฮ่องเต้มีนิสัยโอบอ้อมอารี แต่ต่อให้นับอย่างไร ฮ่องเต้จิ่งหมิงก็ไม่มีทางนำมาใช้ตรวจสอบวังหลังของตนเอง
ผู้ปกครองของวังหลังคือฮองเฮา
ฮ่องเต้จิ่งหมิงไม่สะดวกเข้าแทรกแซง แต่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ใส่ใจเฉินเหม่ยเหริน
แต่ฮองเฮาไม่ส่งคำตอบที่มีผลใช้ได้ออกมาสักที
ฮ่องเต้จิ่งหมิงรู้สึกผิดหวัง ว้าวุ่นใจ เบื่อหน่าย…ความรู้สึกต่างๆ นานาปะปนกัน จนทำให้บทละครที่เขาชอบอ่านมากที่สุดก็ยังสูญเสียความน่าสนใจ
ฮ่องเต้จิ่งหมิงโยนบทละครลงโต๊ะทรง แล้วตรัสถามพานไห่ “หนังตาของข้ากระตุก ว่ากันว่ามีคำพูดในพื้นบ้าน พานไห่ ตาขวากระตุกมีโชค ตาซ้ายกระตุกมีภัย หรือว่ากลับกันนะ?”
พานไห่เหงื่อแตกพลั่ก
ช่วงนี้ ฝ่าบาทอ่านบทละครอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าคงอารมณ์เสียมาก
เขาจะตอบอย่างไรดีเล่า
หลังครุ่นคิดได้แวบหนึ่ง พานไห่จึงยิ้มและเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าตาข้างไหนของฝ่าบาทกระตุกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงมองพานไห่อย่างลึกซึ้ง “ตาซ้าย”
พานไห่ตะลึงตกใจ กำลังจะเอ่ยตอบ แต่มีเสียงฝีเท้าก้าวอย่างฉับไวดังขึ้น