ผู้ที่เข้ามาคือขันทีสวมชุดครามคนหนึ่ง ดูจากรูปหน้าแล้วอายุยังน้อย ดูกระฉับเฉง เป็นลูกศิษย์ของพานไห่
พานไห่ขมวดคิ้วเขม่นตาใส่ขันทีชุดครามหนึ่งที
ที่นี่คือที่ใด แล้วผู้ถูกรับใช้เป็นใคร ต่อให้ฟ้าถล่มก็ต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้
ช่างเป็นวัยหนุ่มที่ไม่เคยมีประสบการณ์จริงๆ
เวลานี้ ขันทีชุดครามไม่มีเวลาใส่ใจกับความไม่พอใจของอาจารย์ เขารายงานทันทีที่เข้ามาถึง “กราบทูลฝ่าบาท เซียงอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงตะลึงงัน
เซียงอ๋อง?
วันนี้เป็นวันอภิเษกของเจ้าแปดมิใช่หรือ หรือว่าเขาจำผิดว่าเจ้าแปดไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเซียงอ๋อง?
ฮ่องเต้จิ่งหมิงมองพานไห่อย่างไม่รู้ตัว พร้อมตรัสถามเสียงหนักแน่น “วันนี้เป็นวันอภิเษกของเซียงอ๋องหรือไม่”
คำถามที่ถามออกไป ทำให้พระทัยของฮ่องเต้จิ่งหมิงเจ็บปวด
หากเป็นพลเมืองทั่วไป เวลานี้พ่อแม่สามีได้รับการกราบไหว้จากบุตรชายและลูกสะใภ้เรียบร้อย แต่พอเป็นคนในราชวงศ์ เขาทำได้เพียงอ่านสานส์อยู่ในห้องทรงพระอักษร
ต้องรอจนพรุ่งนี้เช้า เขาถึงจะได้ดื่มน้ำชาแก้วนี้จากลูกสะใภ้
แม้ว่าเขามีบุตรมากมาย น้ำชาจากลูกสะใภ้ก็ไม่ได้หายาก จะหายากหรือหาง่ายมันก็คนละเรื่อง แต่จะให้ดื่มน้ำชาค้างคืนก็ไร้รสชาติเกินไป
เวลานี้ พานไห่ก็ตะลึงเหมือนกัน แต่เขาเก็บซ่อนความตกใจนี้ไว้ในใจ พอได้ฟังความสงสัยของฮ่องเต้จิ่งหมิง เขาจึงตอบกลับไปทันที “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงได้รับคำตอบที่แน่ชัด พระทัยพลันเย็นวาบ
จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว หลังจากงานเลี้ยงภายในวังเสร็จสิ้นไป ก็เกิดเรื่องแผลงๆ ขึ้นอีกแล้วหรือ!
“ตัวเซียงอ๋องอยู่ที่ใด” ฮ่องเต้จิ่งหมิงเอ่ยถามเสียงสูง
ขันทีชุครามทูลกลับอย่างระมัดระวัง “เซียงอ๋องคุกเข่าอยู่ตรงบันไดด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ…”
“ให้มันเข้ามา!”
ไม่นาน เซียงอ๋องก็คุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้จิ่งหมิง
ฮ่องเต้จิ่งหมิงมองเซียงอ๋องอย่างถี่ถ้วน
เมื่อเทียบกับเหล่าองค์หญิงที่เลี้ยงอยู่ท้ายวัง เขาคุ้นเคยองค์ชายทั้งแปดพระองค์เป็นอย่างดี
เด็กเปรตตรงหน้า คือคนที่ควรเข้าพิธีอภิเษกในวันนี้จริงๆ!
“จงบอกเหตุผลที่เจ้าปรากฏตัวที่นี่มาหนึ่งข้อ”
หน้าผากของเซียงอ๋องแนบกับอิฐทองเงาวับจนสะท้อนเห็นถึงหน้าคน เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ควบคุมความโกรธไม่ได้ “เสด็จพ่อ ลงโทษลูกเถอะพ่ะย่ะค่ะ งานอภิเษกวันนี้ ลูกไม่สามารถเข้าร่วมพิธีได้จริงๆ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงตบโต๊ะสุดแรง “เกิดสิ่งใดขึ้น เงยหน้าขึ้นแล้วจงบอกข้ามา!”
เซียงอ๋องลังเลก่อนแล้วจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
ฮ่องเต้จิ่งหมิงเห็นแล้วตะลึง
เจ้าเด็กเปรตร้องไห้? เป็นถึงลูกผู้ชาย เจอปัญหาแล้วร้องไห้ขี้มูกโป่ง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไฟโทสะที่อยู่เต็มท้องของฮ่องเต้จิ่งหมิงถึงกับลืมระบาย ได้แต่รอให้เซียงอ๋องอธิบาย
แน่นอนว่าเซียงอ๋องไม่มีวันร้องไห้งอแงเหมือนเด็กผู้หญิงแน่ ดวงตาที่แดงก่ำปนไว้ด้วยความน้อยใจและความโกรธ “ระหว่างทางที่รับตัวเจ้าสาว จูจื่ออวี้ขวางเกี้ยวไว้และจะแย่งตัวเจ้าสาว…เขาพูดว่าเขาชอบพอกับคุณหนูชุย และลูกเป็นคนที่แย่งคนรักของเขา…”
เซียงอ๋องเนื้อตัวสั่นระริกเมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้
ยังมีเรื่องอะไรที่น่าละอายไปมากกว่าการถูกคนเป็นพันเป็นหมื่นมองดูตัวเองถูกสวมเขา?
ความอับอายที่ได้เผชิญในวันนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก แค้นนี้ไม่ได้ชำระเขาไม่มีวันยอมเลิกราแน่!
เขาขัดขืนต่อพระราชโองการจริง แต่ถ้าเขายอมกลืนความอัดอั้นนี้เข้าไปโดยให้ชุยหมิงเย่ว์เข้าจวนเซียงอ๋องอย่างเชื่อฟัง ถ้าเช่นนั้น เขาคงโงหัวไม่ขึ้นอีกตลอดชีวิต
ตัดสินใจทิ้งคนชั่วอย่างเด็ดขาดแล้วเข้ามารับโทษที่พระราชวัง คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา
เขากำลังพนันว่าเสด็จพ่อจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกับสิ่งที่ลูกแท้ๆ ประสบพบแจอหรือไม่
ใช่ ขอแค่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็สามารถเข้าใจถึงการตัดสินใจของเขาได้แล้ว
เซียงอ๋องชำเลืองมองพานไห่หนึ่งทีอย่างไม่ตั้งใจ พลางพูดเสริมอีกหนึ่งประโยคในใจ เป็นผู้ชายเพียงครึ่งตัวก็เข้าใจเขาเช่นกัน
พานไห่เห็นสายตานั้นแล้วสับสน
ฮ่องเต้จิ่งหมิงลุกขึ้นยืนแล้ว “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ หรือ”
การอภิเษกขององค์ชายใหญ่ถูกแย่งตัวเจ้าสาว…ในบทละครยังไม่กล้าเขียนเช่นนี้เลย!
ฮ่องเต้จิ่งหมิงทาบทรวงอกเอาไว้เพราะรู้สึกหายใจไม่ทัน
พานไห่ตกใจจนติดอ่างเวลาเอ่ยถาม “ฝ่า ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงปัดพระหัตถ์ “พานไห่ เจ้าไปบอกแก่หันหราน รีบตรวจสอบเรื่องวันนี้แล้วมารายงานด่วน”
หันหรานเป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน แม้ว่าอยู่ตำแหน่งระดับเดียวกับพานไห่ แต่พานไห่คือคนที่ได้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ ไม่เหมือนกับหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ที่ต้องทูลรายงานหรือผ่านสานส์ลับหรือรอเรียก
เมื่อถูกคั่นไว้ด้วยเช่นนี้ นานวันเข้า พานไห่จึงอยู่สูงกว่าหันหรานหนึ่งระดับไปโดยปริยาย
งานอภิเษกขององค์ชายใหญ่ในวันนี้เป็นเรื่องใหญ่ หันหรานได้ส่งคนคอยจับตามองตามถนนไว้ตั้งแต่แรก หลังจากจูจื่ออวี้ปรากฏตัวขึ้น คนของหน่วยองครักษ์ผ้าแพรแม้มิได้ก้าวออกมา แต่ได้รายงานสถานการณ์ให้กับหันหรานเรียบร้อย
ฮ่องเต้จิ่งหมิงรอไม่นาน ก็เห็นพานไห่พาหันหรานเดินเข้ามา
“ถวายบังคมฝ่า…”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงตรัสแทรกหันหรานอย่างรีบร้อน “เป็นอย่างไรบ้าง”
หันหรานเหลือบตามองเซียงอ๋องที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลหนึ่งทีอย่างไว มีความเห็นใจแล่นผ่านแววตา จากนั้นจึงก้มศีรษะทูลรายงานต่อ “กราบทูลฝ่าบาท พิธีอภิเษกของเซียงอ๋องในวันนี้ ระหว่างทางการรับตัวเจ้าสาวถูกจูจื่ออวี้ขวางทาง…”
สิ่งที่หันหรานกราบทูลมิได้ต่างจากเซียงอ๋องมาก ฮ่องเต้จิ่งหมิงทรงกริ้วอย่างหนัก จึงตบโต๊ะมังกรดัง ปัง “จูเต๋อหมิงสั่งสอนบุตรชายตัวเองอย่างไร! ดูเหมือนว่า ข้าจะยกตำแหน่งให้เสียเปล่าจริงๆ!”
เดิมทีจูเต๋อหมิงคือเส้าชิงฝ่ายขวาของศาลต้าหลี่ ถึงแม้ลำดับตำแหน่งไม่สูงมาก แต่ในบรรดาขุนนางของเมืองหลวงที่มีจำนวนมากมาย นับว่าเป็นคนที่มีหน้าตาอยู่บ้าง
แต่พอเกิดเรื่องอื้อฉาวของจูจื่ออวี้ ฮ่องเต้จิ่งหมิงจึงลดตำแหน่งเส้าชิงฝ่ายขวาของศาลต้าหลี่ลงมาเป็นซื่อเฉิงขั้นห้า เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีความสำคัญใด
หากพูดถึงการทำลายบิดา จูจื่ออวี้ทำได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
“กราบทูลฝ่าบาท จูจื่ออวี้ถูกลบชื่อออกจากตระกูลแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ช่วงสมัยที่กฎหมายวงศ์ตระกูลเหนือกว่ากฎหมายราชวงศ์ การลบชื่อออกจากวงศ์ตระกูลเป็นการลงโทษขั้นสูงสุด
คนที่ถูกลบชื่อออกไป จะไม่มีวงศ์ตระกูลให้พึ่งพาได้อีก ส่วนเขาจะทำอะไรในภายหลัง ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับวงศ์ตระกูลอีก
ฮ่องเต้จิ่งหมิงชะงัก
เมื่อถูกลบชื่อแล้ว ก็ไม่สามารถกล่าวโทษไปถึงตระกูลจูได้
ฮ่องเต้จิ่งหมิงปรับความรู้สึกได้อีกครั้ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตรัสถาม “ประชาชนคิดว่าเซียงอ๋องแย่งคนรักของผู้อื่นจริงๆ หรือ”
เซียงอ๋องที่กำลังคุกเข่า แอบกัดฟันแน่น
แย่งคนรักของคนอื่น?
สมองของเขาไม่เคยถูกลาเตะใส่จนใช้การไม่ได้นะ!
หันหรานใช้หางตามองเซียงอ๋องอีกครั้ง แล้วจึงทูลตอบ “ชาวบ้านเหล่านั้นเห็นใครพูด ก็มักพูดตาม จูจื่ออวี้ชูฉังฟานขึ้นสูงและตะโกนอย่างไม่สนใจใคร หลายคนจึงเชื่ออย่างนั้น ถึงกระทั่งพูดว่า…”
“พูดว่าอะไร”
“พูดว่า จูจื่ออวี้กับคุณหนูชุยคือคู่รักที่ถูกคนไร้จิตใจพรากจากกัน ช่างน่าสงสาร…”
เซียงอ๋อง ในฐานะที่เป็นบุรุษเหมือนกัน ข้าคงช่วยเหลือท่านได้เพียงเท่านี้
เซียงอ๋องซาบซึ้งใจจนเกือบร้องไห้ ทำได้เพียงก้มศีรษะเพื่อปกปิดความรู้สึก
วันนี้ผู้บัญชาการหัน มีความชอบธรรมเป็นอย่างมาก
เสด็จพ่อของเขาผู้นี้ให้ความสำคัญในชื่อเสียงเสมอ แต่ไม่ยอมเป็นตัวร้ายพรากคู่รักอย่างที่ชาวบ้านกล่าว…
ฮ่องเต้จิ่งหมิงถึงกับเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงตรัส “พานไห่ เรียกแม่ทัพชุยซวี่กับองค์หญิงใหญ่หรงหยางเข้า…”
ยังตรัสไม่จบประโยค ก็มีการรายงานจากขันทีว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางมาขอเข้าเฝ้า
“เสด็จพี่ ต้องช่วยน้องตัดสินใจพระทัย…” องค์หญิงใหญ่หรงหยางพรวดพราดเข้ามา เมื่อเห็นเซียงอ๋องที่คุกเข่าอยู่ตรงพื้น น้ำเสียงพลันชะงัก
“ข้ากำลังฟัง เจ้าค่อยๆ พูดนะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางมาทูลฟ้องเช่นนี้ ย่อมได้เตรียมคำพูดไว้หมดแล้ว ใจความสำคัญก็อยู่ที่ว่าเซียงอ๋องไม่เห็นแก่ภาพรวมและทิ้งชุยหมิงเย่ว์เอาไว้
เมื่อทูลฟ้องพร้อมน้ำตาเสร็จสิ้น ฮ่องเต้จิ่งหมิงหลับตาไม่เอ่ยคำใด องค์หญิงใหญ่ทนไม่ไหวจึงรีบเร่ง “เสด็จพี่ ตอนนี้หมิงเย่ว์ถูกชุยซวี่รับกลับจวนแม่ทัพแล้ว หมิงเย่ว์จะทำอย่างไรเพคะ”
“รับกลับจวนแม่ทัพถือว่าทำดีแล้ว”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตะลึง ฮ่องเต้จิ่งหมิงกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย “ในเมื่อหมิงเย่ว์กับจูจื่ออวี้คือคู่รักกัน ข้าขอไม่เป็นผู้ร้ายคนนั้น ให้พวกเขาแต่งงานกันเถอะ”
“…”
“…”
“…”