ฮ่องเต้จิ่งหมิงตรัสอย่างอ่อนโยน แววตาแฝงไว้ด้วยความสงสาร พระพักตร์แสดงไว้ด้วยท่าทางเหมือนคิดเผื่อหลานสาว
เซียงอ๋องก้มศีรษะเกือบหัวเราะออกมา
พนันชนะแล้ว!
เขารู้อยู่แล้ว เรื่องอย่างวันนี้เพียงแค่เป็นบุรุษด้วยกันย่อมเกิดความเห็นใจ
พอคิดอยู่อย่างนั้น เขาชำเลืองมองพานไห่อีกครั้งและกล่าวเสริม บุรุษครึ่งตัวก็ด้วยเช่นกัน
พานไห่ …ครั้งที่สองแล้วนะ!
ถ้าเซียงอ๋องมองเขาอีกครั้ง เขาจะเริ่มคิดแล้วว่าเซียงอ๋องจะยกคุณหนูชุยให้เขา โชคดีที่เขาเป็นแค่ลูกผู้ชายครึ่งตัว…
พานไห่แอบกล่าวว่า เกือบไปแล้ว พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้จิ่งหมิงกล่าว องค์หญิงใหญ่หรงหยางตะลึงงันไปชั่วขณะ พอสติกลับคืนมาเท่านั้น ระเบิดก็ลงทันที “เสด็จพี่ ว่าอย่างไรนะเพคะ”
“ข้าตัดสินใจจะพระราชทานงานแต่งงานให้หมิงเย่ว์กับจูจื่ออวี้ ถือว่าให้คู่รักได้อยู่ด้วยกันสมดั่งใจหวัง”
“เสด็จพี่ หมิงเย่ว์ถูกคนแซ่จูหลอกลวง ในตอนแรกนางคิดว่าเขาไม่มีภรรยา ถึงได้สร้างความสัมพันธ์ด้วย…”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงขมวดคิ้ว “การหลอกลวงนั้นทำไม่ถูก แต่เพราะทำเช่นนั้นลงไป ข้าถึงลดตำแหน่งของจูเต๋อหมิง แล้วยังยึดสถานะซู่ซื่อจี๋ของจูจื่ออวี้กลับคืนมา น้องยังคิดว่าลงโทษไม่หนักพอหรือ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางปากสั่นไม่กล้าพูดอีก
หากว่านางตอบกลับไปว่าไม่พอ แล้วฮ่องเต้ให้โทษเพิ่มแต่ยังยืนหยัดที่จะพระราชทานงานแต่งงานให้กับหมิงเย่ว์กับจูจื่ออวี้ ถ้าเช่นนั้นก็จบเห่น่ะสิ!
“น้องคิดว่าลงโทษหนักพอหรือยัง” ฮ่องเต้จิ่งหมิงถามอีกครั้งอย่างใจเย็น
ริมฝีปากขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเริ่มซีด นางกำลังพยายามหักห้ามอารมณ์ที่ใกล้พังทลาย “การลงโทษของเสด็จพี่ย่อมเหมาะสมที่สุดแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงพยักหน้า “หากน้องหญิงคิดได้เช่นนั้นย่อมดี ในเมื่อพฤติกรรมหลอกลวงผู้อื่นของจูจื่ออวี้ได้รับโทษแล้ว ถ้าเช่นนั้น เรามาพูดถึงเรื่องงานแต่งงานของเขากับหมิงเย่ว์…”
“หมิงเย่ว์กับมันยังมีอะไรให้พูดอีกหรือเพคะ!” องค์หญิงใหญ่หรงหยางสูญเสียการควบคุมเรียบร้อย นางตะโกนแทรกคำพูดของฮ่องเต้จิ่งหมิง
แววตาสีหน้าของฮ่องเต้จิ่งหมิงพลันนิ่ง สายพระเนตรตกลงบนใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความร้อนใจขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง
เขายังคงตรัสด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย “เมื่อครู่นี้ น้องหญิงบอกว่าหมิงเย่ว์คิดว่าจูจื่ออวี้ไม่มีภรรยา จึงยอมสร้างความสัมพันธ์ด้วย นี่ถือว่าเป็นเหตุผลที่หนักแน่นมากพอว่าเขาสองคนมีความรู้สึกต่อกัน ในเมื่อมีความรู้สึกต่อกัน แล้ววันนี้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ให้เขาสองคนสมหวังก็นับว่าได้ผลดีด้วยกันทั้งคู่มิใช่หรือ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเกือบหายใจไม่ทั่วปอด
ได้ผลดีด้วยกันทั้งคู่บ้าอะไร นางคิดอยู่แล้วเชียว คนที่ได้เป็นฮ่องเต้ พอเป็นได้ไม่นานสมองก็เริ่มไม่ปกติ!
“เสด็จพี่เพคะ หมิงเย่ว์กับเซียงอ๋องเหลือเพียงไหว้ฟ้าดิน หากให้พูดจริงๆ ก็นับว่าได้เป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์แล้ว แล้วจะให้แต่งงานกับผู้อื่นได้อย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงปรับสีพระพักตร์เป็นความจริงจัง “น้องพูดผิดแล้ว หลังจากแต่งงานกัน หากว่าสามีกับภรรยาอยู่ด้วยกันไม่ได้ จึงหย่ากันแล้วต่างคนต่างหาคู่ครองใหม่ก็มีให้เห็นอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาก็ยังมิได้ไหว้ฟ้าดิน ข้ามิใช่คนหัวโบราณเช่นนั้น คงไม่ถึงกระทั่งรักษาหน้าของราชวงศ์ไว้ด้วยการทำลายความสุขของหมิงเย่ว์”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเกือบคุกเข่าให้ฮ่องเต้จิ่งหมิง
เสด็จพี่ ช่วยเป็นคนหัวโบราณหน่อยเถอะ หากทำเช่นนี้จริง แล้วคนอื่นจะมีชีวิตอยู่อย่างไรเล่า!
“น้องพี่ เจ้าอย่าดื้อรั้นอีกเลย ช่วยฟังคำเตือนจากข้าสักนิด ลูกหลานย่อมมีความสุขของลูกหลาน…”
“ไม่ได้!” องค์หญิงใหญ่หรงหยางพูดแทรกฮ่องเต้จิ่งหมิงอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงนั้นร้อนรน “หม่อมฉันจะไปหาเสด็จแม่…”
เสียงนิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ฝีเท้าขององค์หญิงพลันชะงัก นางมองฮ่องเต้จิ่งหมิง
เสด็จพี่ผู้อ่อนโยนและโอบอ้อมอารีในภาพจำของนาง เวลานี้กำลังหน้านิ่ง มองมาด้วยแววตาที่เย็นเยือก
ความกริ้วของจักรพรรดิ ยามได้เผชิญหน้าตรงๆ ต่อให้เป็นคนหยิ่งผยองอย่างองค์หญิงใหญ่หรงหยาง ก็ยังรู้สึกเย็บวาบไปทั้งตัว
นางไม่ใช่หญิงสาวเมื่อสิบปีก่อนอีกแล้ว ที่ต่อให้ตายก็จะแต่งงานกับชายที่ตนเองรักต่อหน้าฮ่องเต้จิ่งหมิงจนกลายเป็นเรื่องวุ่นวายไปถึงไทเฮา
ฮ่องเต้จิ่งหมิงวางมือบนแท่นทับกระดาษหยกขาวถูไปมา เสียงกล่าวค่อนเย็นชา “เสด็จแม่อายุมากแล้ว ควรพักผ่อนให้มาก น้องรู้ดีเสมอ ก็อย่าไปรบกวนดีกว่า”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงตรัสเสียงเรียบ โดยหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ แต่องค์หญิงใหญ่หรงหยางฟังแล้วเข้าใจเลยว่านั่นเป็นคำเตือน
นางเลิกคิดที่จะบ่นทั้งน้ำตาทันที
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ราชวงศ์ต้าโจวมีลูกหลานสตรีเยอะ ตอนนั้นนางมีพี่สาวน้องสาวมากมาย คนที่ออกเรือนในเมืองหลวงกลับมีไม่มาก ส่วนคนที่ออกเรือนในเมืองหลวงแล้วอยากเข้าวังทันทีตามความต้องการ ก็มีนางเพียงคนเดียว
เพราะเหตุใด?
ก็เพราะว่านางเป็นบุตรที่รับเลี้ยงโดยไทเฮา เสด็จพี่ถึงปฏิบัติตอบด้วยท่าทีอื่น
ส่วนการปฏิบัติตอบด้วยท่าทีอื่นนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ไทเฮา
ในเมื่อเสด็จพี่พูดเช่นนี้ หากว่านางยังจะบ่นทั้งน้ำตากับไทเฮาโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด สำหรับเสด็จพี่แล้วมันคือความอกตัญญู
เพราะเสด็จพี่ให้ความสำคัญกับไทเฮามาก หากเกิดรู้สึกว่านางอกตัญญู ความโปรดปรานของนางก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ความเอาแต่ใจในวัยเด็กขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง จะว่าไป ก็เป็นขึ้นเพราะการมีสถานะที่สามารถกดขี่ฝ่ายตรงข้ามได้ ยามเผชิญหน้ากับไทเฮาและฮ่องเต้จิ่งหมิง เวลาไหนควรหักห้ามไว้ก่อนนางนั้นรู้ดี
เกิดในราชวงศ์ หากรู้จักเพียงการเอาแต่ใจ ก็คงมีชีวิตรอดได้ไม่ถึงสองปี
ฮ่องเต้จิ่งหมิงเห็นว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางเหมือนจะเข้าใจแล้ว จึงพยักหน้าอย่างพอพระทัย แววตาดูอ่อนโยนอีกครั้ง “ในเมื่อน้องเห็นด้วยกับการตัดสินใจของข้า ถ้าเช่นนั้นก็ตามนี้ พานไห่ ประกาศพระราชโองการของข้า…”
พานไห่รับพระราชโองการเสร็จก็จากไป
องค์หญิงใหญ่หรงหยางออกจากพระราชวังอย่างไร้วิญญาณ
นางเข้าวังมาทำสิ่งใดนะ?
เซียงอ๋องยังคงคุกเข่าอยู่เงียบๆ
ฮ่องเต้จิ่งหมิงเดินเข้าไปแล้วเตะก้นเซียงอ๋องหนึ่งที พร้อมกับตรัสขึ้นอย่างโมโห “ยังไม่ลุกขึ้นอีก ไสหัวกลับจวนไปซะ!”
จวนเซียงอ๋องในเวลานี้ ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่รอดื่มสุรามงคล…เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนี้ เซียงอ๋องพลันรู้สึกชีวิตนี้ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
เขาทำอะไรผิด ถึงต้องมาพบเจอเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้!
ชุยยย!
หมิงงง!
เย่ว์!
เซียงอ๋องกัดฟันตะโกนเรียกชื่อนี้อยู่ภายในใจ ความเกลียดชังพุ่งทะยานสูงเสียดฟ้า
การที่เขายอมเก็บความโมโหในเวลานี้ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะจบลงเพียงเท่านี้
แต่งงานกับจูจื่ออวี้เป็นอันว่าจบแล้วงั้นรึ!
คู่รักสำส่อนทำร้ายเขาได้ถึงเพียงนี้ เขาจะเอาคืนให้สาสม!
“หืม” เมื่อเห็นว่าเซียงอ๋องยังคุกเข่าอย่างคนโง่เขลา ฮ่องเต้จิ่งหมิงขมวดคิ้ว
เซียงอ๋องค้อมคำนับ “ลูกทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงพริบตาเดียว ห้องทรพระอักษรก็เหลือเพียงฮ่องเต้จิ่งหมิงคนเดียว
ฮ่องเต้จิ่งหมิงพลิกบทละครไปมาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ดูเหมือนว่าตาขวากระตุกจะดี ตาซ้ายกระตุกจะไม่ดีสินะ!”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงเก็บบทละครเข้าลิ้นชัก สองพระหัตถ์ไขว้หลังแล้วไปยังตำหนักฉือหนิง
เรื่องของวันนี้ ไม่ช้าไม่เร็วไทเฮาก็ต้องรู้อยู่ดี แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็รอให้ข้าวดิบสุกดีแล้วค่อยว่ากัน
เขาเสด็จไปในเวลานี้ไม่ได้หมายความว่าไปสารภาพ แต่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุยของไทเฮา
มีบุตรชายที่กตัญญูถึงเพียงนี้ คนอื่นเป็นอย่างไรนั้น ไทเฮาก็คงไม่ใส่ใจมาก
เซียงอ๋องเร่งกลับไปยังจวน แขกเกือบครึ่งหนึ่งยังรออยู่ที่นั่นจริงๆ
เซียงอ๋องเห็นพี่น้องอยู่กันครบทุกคน แม้แต่ไท่จื่อก็ยังไม่กลับ ความโมโหนั้น
คนอื่นไม่เท่าไร แต่งานอภิเษกของเจ้าเจ็ดนั้น ไท่จื่อกลับตั้งแต่เช้า วันนี้เขาอยากทำสิ่งใดรึ
เรื่องตลกของเขามันน่าดูขนาดนั้นเชียวรึ
“น้องแปด เกิดสิ่งใดขึ้นรึ” เหล่าองค์ชายเผยสีหน้าเป็นห่วง พร้อมพากันเอ่ยถาม
ตลกเกินไปหรือไม่ เวลาเจอเรื่องครื้นเครงเช่นนี้ จะรอดูอย่างเปิดเผยได้อย่างไร พอวันนี้ได้พบเข้า พวกโง่ทั้งหลายก็ไม่มีใครกลับก่อนเลยจริงๆ
อาจเป็นเพราะเรื่องของวันนี้เป็นการฝึกฝนจิตใจคนอย่างหนัก เซียงอ๋องเพียงแค่ถอนหายใจแล้วสงบนิ่งลง จากนั้นถึงอธิบายเรียบๆ “ไม่มีอะไรขอรับ งานอภิเษกของน้องกับคุณหนูชุยยกเลิกไปแล้วขอรับ”
“ยกเลิก?” เหล่าองค์ชายเผยสีหน้าตะลึงตกใจกันอย่างอดไม่ได้
นานๆ ไท่จื่อจะมีโอกาสได้สั่งสอนน้อง “น้องแปด งานอภิเษกของพวกเจ้า ถูกพระราชทานโดยเสด็จพ่อ ต่อให้เจ้าโมโหเพียงไหน ก็เอาแต่ใจไม่ได้!”
“ช่วยไม่ได้ น้องถูกคนอื่นแย่งตัวเจ้าสาว จึงทำได้เพียงเข้าวังขอให้เสด็จพ่อช่วยตัดสินใจ แล้วเสด็จพ่อก็ยกเลิกงานอภิเษกของน้องกับคุณหนูชุย พระราชทานงานแต่งงานให้คุณหนูชุยกับจูจื่ออวี้…”
พรวดดด หลู่อ๋องถึงกับสำลักน้ำชาออกมา