บทที่441 ทำไมถึงได้รู้สึกแย่ขนาดนี้
เคธี่หยอกล้ออย่างบริสุทธิ์ใจ โดยที่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะสำหรับเธอ คนที่เคยช่วยตัวเองนั้น เธอจะพูดแบบนี้ทั้งนั้น
เคธี่หาโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามกับถนนก่อนจะนั่งลง จากนั้นก็เรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม แล้วก็นั่งรออยู่ตรงนั้น
เธอถือหนังสือพิมพ์ พลางอ่านทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจกับมัน
เมื่อพนักงานชายเห็นว่าเคธี่ไม่ได้เข้าไปในห้องรับรอง ก็วางใจได้ไม่น้อยเลย
เคธี่อยากจะอยู่ห่างๆ แบบนี้ก็พอ เพราะการได้เจอโดยบังเอิญนั้น มันดูเป็นธรรมชาติมากกว่า
เธอรอไปได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมง ลี่จุนถิงถึงจะออกมา
เมื่อเคธี่เห็นเงาของลี่จุนถิง ก็รีบผลุบสายตาลง จนกระทั่งลี่จุนถิงเดินมาใกล้ถึงโต๊ะของตัวเอง เธอก็วางหนังสือพิมพ์ในมือลง สำหรับคนนอกนั้นดูเป็นท่าทางที่ไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย
เคธี่เชยตาขึ้นมา พลางมองเห็นด้านข้างของลี่จุนถิงพอดี
“คุณชายลี่” เคธี่ยิ้มออกมาด้วยความเซอร์ไพรส์
เมื่อได้ยินคนเรียกตัวเอง ลี่จุนถิงก็หันหัวไป จากนั้นเมื่อเห็นว่าเป็นเคธี่ เขาก็ขมวดคิ้วมาชนกัน
ตอนนี้เคธี่เดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าลี่จุนถิง
“คุณชายลี่ บังเอิญจังเลย คุณออกมาดื่มกาแฟเหรอ?” เคธี่ยิ้มให้ลี่จุนถิง
“คุยธุรกิจ” ลี่จุนถิงตอบออกมาเพียงสามคำอย่างเยือกเย็น
เคธี่เองก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร: “อ๋อ ถ้าเกิดเป็นแบบนั้น พวกเราเองก็มาคุยธุรกิจกันหน่อยดีไหม?”
เคธี่คิดว่าเมื่อพูดออกมาแบบนี้ เขาคงไม่ปฏิเสธหรอก
ลี่จุนถิงหงุดหงิดไม่เบา: “ซู่จี้งยี้จะคุยกับคุณเองนะ”
เคธี่ด่าซู่จี้งยี้ออกไปในใจ ว่าทำไมต้องเป็นชายน่ารังเกียจคนนั้นด้วย
“แต่ว่ามีหลายจุดเลยนะ ที่เขาไม่สามารถอธิบายให้ฉันเข้าใจได้”
“แต่ว่าเดี๋ยวฉันมีงานต่อ” ลี่จุนถิงใช้งานเป็นข้ออ้าง
ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงคนอื่น ลี่จุนถิงคงจะไม่สนใจ แล้วสาวเท้าก้าวออกไปทันที
แต่ว่าถึงอย่างไรตัวเองกับเคธี่ก็ยังมีเรื่องงานเกี่ยวกันอยู่ ถ้าเกิดเดินออกไปตอนนี้ งานอาจจะพังไม่เป็นท่าก็ได้
“ไม่เป็นไร ไม่นานหรอก” เคธี่รู้ว่าไม่ได้มีธุระอะไรหรอก เพียงแค่โกหกตัวเองเท่านั้น
อดทนหน่อย ลี่จุนถิงคิดในใจ
“งั้นคุณหนูเคธี่ก็รีบพูดมาเถอะ” ลี่จุนถิงพูดพลางเดินไปทางที่ที่เคธี่เพิ่งลุกขึ้นมา
เคธี่แอบยิ้มเล็กน้อย อย่างน้อยก็ติดกับดักแล้ว
ลี่จุนถิงหยิบโทรศัพท์ออกมา หลังจากที่ส่งข้อความแล้วก็วางโทรศัพท์กลับไป พลางรอให้เคธี่มา
จากนั้นเคธี่ก็เดินมานั่งตรงข้ามลี่จุนถิง
“เพราะว่ามากะทันหัน ฉันเลยไม่ได้เอาเอกสารมาด้วย แต่ว่าฉันเอาคอมพิวเตอร์มานะ” เคธี่พูดพลางหยิบคอมพิวเตอร์ออกมา
จากนั้น เคธี่ก็เริ่มพูดคุยกับลี่จุนถิง
อันที่จริง ระหว่างที่เคธี่กับซู่จี้งยี้คุยงานกันนั้นเกิดความเห็นต่างกันขึ้นเล็กน้อยจริงๆ แต่ว่าอันที่จริงเรื่องพวกนี้ให้ซู่จี้งยี้มาพูดแทนก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เคธี่อยากจะใช้เรื่องพวกนี้เป็นข้ออ้าง ไม่แน่ว่าสักวันจะได้เจอลี่จุนถิงคนเดียวก็ได้
ถึงจะไม่มีข้ออ้างใดๆ แต่ว่าถ้าพูดเรื่องงานขึ้นมา ลี่จุนถิงก็ไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว
ดูๆ ไปแล้วการเตรียมการล่วงหน้าของตัวเองจะไม่เลวเลยล่ะ
เคธี่รีบเร่งทำงานอย่างรวดเร็ว พลางเริ่มบอกความคิดเห็นของตัวเองให้กับลี่จุนถิงฟัง
ลี่จุนถิงคิดว่าเคธี่พูดได้อย่างถูกต้องตรงใจ
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้ว่าจะไม่สวยเท่าภรรยาของตัวเอง แต่เวลาทำงานก็ทำให้เขาพอใจได้ไม่น้อยเลย
ถ้าเกิดไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนนี้สนใจตัวเอง แล้วให้เธอมาเป็นผู้ช่วยของซู่จี้งยี้คงไม่เลวเลย แถมยังอาจจะได้คบหากับซู่จี้งยี้ด้วยล่ะ
สำหรับเธอ ซู่จี้งยี้ไม่มีความคิดอื่นเลย
ในตอนนั้นเอง มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“โอ๊ะ บังเอิญจังเลยนะเคธี่” ฟั่นเพ่ยเห็นเคธี่ แววตาทั้งสองข้างก็เผยความเซอร์ไพรส์ออกมา
เมื่อเคธี่ได้เห็นว่าเป็นฟั่นเพ่ยก็รู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว
ฟั่นเพ่ยเดินเข้ามา จากนั้นก็ตบไหล่ของลี่จุนถิง พลางพูดหยอกล้อ: “คุณชายลี่ นี่คือสิ่งที่คุณจะเซอร์ไพรส์ฉันงั้นเหรอ?”
ลี่จุนถิงยักไหล่
เคธี่งุนงง ฟั่นเพ่ยไม่รู้เหรอว่าตัวเองอยู่ที่นี่?ไม่อย่างนั้นทำไมตัวเองถึงเซอร์ไพรส์
ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ สิ่งที่อยากจะทำตอนนี้คือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้ฟั่นเพ่ยออกไปให้ได้ คนคนนี้มันน่ารำคาญจังเลย
“คุยงานกันอยู่เหรอ?” ฟั่นเพ่ยเห็นว่าเคธี่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าตัวเองมารบกวน เลยพูดด้วยความสงสัย “ฉันมารบกวนการทำงานของพวกคุณหรือเปล่า?”
เคธี่พูดขึ้นด้วยความไม่แยแส: “ใช่แล้วล่ะ”
ฟั่นเพ่ยทำหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์: “โอเค งั้นพวกคุณคุยต่อไปเถอะ”
จากนั้นก็สั่งกาแฟแก้วหนึ่งจากพนักงานข้างๆ
เมื่อเห็นว่าฟั่นเพ่ยไม่รบกวนตัวเองอีก เคธี่ก็เริ่มพูดกับลี่จุนถิงต่อ
“สำหรับโปรเจคนี้ฉันคิดว่าเราสามารถลงทุนหลักแสนไปก่อน มันน่าจะปลอดภัยสักหน่อยน่ะ” เคธี่ชี้ไปทางตารางในคอมพิวเตอร์
“แต่ว่า……” ลี่จุนถิงยังไม่ทันจะพูดจบ ฟั่นเพ่ยก็ขัดจังหวะขึ้นมา
“แต่ว่าเงินทุนของคุณชายลี่มีจำกัด ทุ่มเงินลงไปเยอะขนาดนั้นไม่ได้” ฟั่นเพ่ยพูดอย่างจริงจัง
ลี่จุนถิงไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่ว่าในเมื่อฟั่นเพ่ยเปิดปากขึ้นพูดในตอนนี้ ก็รู้ว่าจะต้องเป็นแผนอย่างแน่นอน ลี่จุนถิงเลยไม่ได้พูดอะไรมาก
เคธี่จ้องฟั่นเพ่ยสักพัก
ฟั่นเพ่ยก็รีบพูดขึ้นตามน้ำไป: “ฉันจะหุบปากแล้วๆ”
จากนั้นเคธี่ก็เริ่มพูดเรื่องต่อไป
สุดท้ายฟั่นเพ่ยก็เริ่มพูดแทรกอีก
เคธี่ทนต่อไปไม่ไหว เลยถามขึ้นมาตรงๆ : “ฉันว่าคุณฟั่น คุณเงียบก่อนได้ไหม ฉันกำลังคุยธุรกิจกับคุณชายลี่อยู่ ไม่ได้คุยกับคุณ คุณชายลี่ไม่ได้พูดอะไรเลย คุณมีสิทธิ์อะไร”
“โอเคๆ” ฟั่นเพ่ยส่ายหัวอย่างจนปัญญา “แน่นอนว่าต้องฟังเคธี่ ฉันไม่พูดอะไรแล้วล่ะ”
พูดไปก็พลางมองลี่จุนถิงไปด้วย ก่อนจะยักไหล่ เหมือนกับว่าตอนนี้ผู้หญิงของตัวเองกำลังดุอยู่ ตัวเองเลยทำท่าทีทำอะไรไม่ได้ไปเสีย
ฟั่นเพ่ยเปลี่ยนวิธี ในเมื่อตัวเองพูดไม่ได้ แต่ก็ยังมองได้ไม่ใช่เหรอ?
ฟั่นเพ่ยเลยเท้าคางตัวเอง ก่อนจะมองตรงไปทางเคธี่
พูดตรงๆ ถึงแม้ว่าสำหรับตัวเองแล้ว การจีบเคธี่จะเป็นงาน แต่ว่าผู้หญิงแบบเธอ ก็น่ามองอยู่ไม่ใช่น้อย
ระหว่างที่เคธี่กำลังคุยเรื่องธุรกิจอยู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีสายตาแปลกๆ มองมาทางตัวเองอยู่สักพักแล้ว แต่กลับพบว่าเป็นฟั่นเพ่ยที่กำลังมองตัวเองตรงๆ เต็มสองตา
เคธี่รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที พลางก้มหน้าลงทำงานต่อ
แต่ว่าแววตาของฟั่นเพ่ยนั้น เคธี่รับไม่ได้จริงๆ ทำไมมันถึงน่าลำบากใจขนาดนั้นกันนะ
เธอทนไม่ไหวแล้ว เคธี่เลยลุกขึ้น,: “คุณชายลี่ ขอโทษนะ มีคนคนนี้อยู่ที่นี่ด้วยมันน่ารำคาญมากเลย พวกเราเปลี่ยนที่ได้ไหม”
ลี่จุนถิงพยายามกลั้นขำเอาไว้ ก่อนจะส่ายหัวอย่างไร้หนทาง: “ขอโทษด้วยนะ เมื่อกี้ฉันบอกแล้วว่ามีธุระต่อ ก็คือการนัดคุณฟั่นมาคุยงานนี่แหละ แต่ว่าตั้งแต่คุณฟั่นมาถึง คุณก็ทำให้เขาเสียเวลา ดังนั้นคุณควรจะขอบคุณคุณฟั่นที่ให้โอกาสคุณคุยงานนะ”
เมื่อพูดออกไปเคธี่ก็พูดอะไรไม่ออกอีกเลย ดังนั้นนี่เป็นความผิดของตัวเองงั้นเหรอ?