บทที่442 กลัวฉัน
เคธี่ฮึดสู้ พลางคิดว่าครั้งนี้ช่างมันไปก่อน เพราะถือว่าให้ตัวเองได้มาเจอลี่จุนถิงอีกครั้ง
“ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ คุณชายลี่ ไว้เจอกันใหม่นะ” เคธี่ปิดคอมเสียงดัง จากนั้นก็ออกไปจากร้านกาแฟ โดยที่ไม่หันกลับมามองอีกเลย
เมื่อเห็นเคธี่ออกไปจากร้านกาแฟ หลังจากขึ้นรถไป ลี่จุนถิงถึงจะโล่งอก ก่อนจะยิ้มขึ้นพลางพูด: “คุณนี่เจ้าเล่ห์ไม่น้อยเลย”
ฟั่นเพ่ยยิ้มขึ้นเพียงเล็กน้อย: “นี่เป็นแค่หน้าที่เท่านั้นแหละ”
“ไม่เลวเลย เดี๋ยวฉันจะให้โบนัสคุณนะ” ลี่จุนถิงพอใจในคนที่ตัวเองหามาเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณมาก คุณชายลี่”
“โอเค ไปกันเถอะ วันนี้ฉันจะเลี้ยงข้าวคุณเอง”
ทั้งสองคนพูดจบก็เดินออกจากร้านกาแฟไป
หลังจากที่เคธี่กลับถึงบ้าน ก็โกรธจนกินข้าวไม่ลง
แต่ว่าเคธี่ก็ไม่ได้ถอดใจ เรื่องในวันนี้ตัวเองแค่โชคร้ายเท่านั้นแหละ
ครั้งหน้า เธอยังสามารถใช้วิธีนี้ในการสร้างสถานการณ์ให้ได้เจอโดยบังเอิญ
ไม่ว่าอย่างไร ตอนที่ฟั่นเพ่ยยังไม่มา โลกที่มีเพียงแค่เธอกับลี่จุนถิงสองคนนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน
หลังจากนั้นเคธี่ก็เริ่มติดตามการเดินทางของลี่จุนถิงอีกครั้ง เพราะคิดว่าอยากจะสร้างสถานการณ์ให้ได้บังเอิญเจออีกครั้ง
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เคธี่รู้สึกหมดหวังก็คือ ฟั่นเพ่ยเหมือนวิญญาณตามติดไม่ไปไหนเลย
ทุกครั้งที่ตัวเองปรากฏตัวต่อหน้าลี่จุนถิง ฟั่นเพ่ยก็จะโผล่มาด้วยเช่นกัน
เคธี่เริ่มรู้สึกสงสัยแล้ว ว่าลี่จุนถิงเป็นคนบอกให้ฟั่นเพ่ยมาหรือเปล่า แต่ปัญหาคือ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวนั้น กลับทำเหมือนตกใจทุกครั้ง ดังนั้นเคธี่เลยสับสน ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก
เคธี่โกรธจนแทบทนไม่ไหว แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
เคธี่คิดอยู่ในใจว่าถ้าทำอะไรไม่ได้ หลบหลีกก็ไม่ได้งั้นเหรอ?
เคธี่พลางคิด งั้นตัวเองก็หายไปสักพัก เมื่อฟั่นเพ่ยไม่เจอตัวเอง ก็คงจะไม่ดื้อดึงขนาดนี้แล้ว
จากนั้นไม่กี่วัน เคธี่ก็ไม่ได้ไปหาลี่จุนถิงเลย
ถึงแม้เธอจะพยายามคว้าทุกโอกาสให้ได้เข้าใกล้ลี่จุนถิง จนเธอแทบจะให้คนไปสืบหาตารางการเดินทางของลี่จุนถิงในทุกๆ วัน
แต่เมื่อคิดว่าฟั่นเพ่ยอาจจะโผล่ออกมาอีก เคธี่ก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
แต่มันก็แค่ช่วงหนึ่ง ผู้ชายอย่างฟั่นเพ่ยเคธี่คิดว่าเขาน่าจะแค่ชอบหน้าตาของตัวเองเท่านั้น เลยเป็นแบบนี้ ถ้าไม่เจอนานวันเข้า ความรู้สึกของเขาคงจะจืดจางลง และก็จะยอมแพ้ไปเอง
ช่วงนี้ลี่จุนถิงเองก็พบว่าเคธี่มาปรากฏตัวต่อหน้าตัวเองน้อยลงแล้ว
“ดูๆ ไปแล้วผลลัพธ์ของคุณไม่เลวเลยนะ” ลี่จุนถิงมองฟั่นเพ่ยที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา
ฟั่นเพ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน: “เธอแค่กลัวฉันไปวุ่นวายกับเธอก็เท่านั้นเอง”
“ให้เธอกลัวจริงๆ เถอะ ฉันกลัวว่าเธอจะไม่กลัวอะไรเลย ซึ่งมันน่ากลัวที่สุดเลยล่ะ” ลี่จุนถิงโล่งอก เพราะทุกคนต่างมีจุดอ่อนจริงๆ
“งั้นถ้าเกิดไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ” วันนี้ฟั่นเพ่ยเองก็มารายงานสถานการณ์ของเคธี่เท่านั้น
นอกจากจะวุ่นวายกับเคธี่แล้ว ลี่จุนถิงก็เพิ่มอีกหน้าที่หนึ่งให้ ก็คือการจับตามอง
บางทีฟั่นเพ่ยก็จะสืบการเดินทางของเคธี่ ช่วงนี้พบว่าในสถานที่ที่ลี่จุนถิงอาจจะไป เคธี่ก็จะหลบหลีกเล็กน้อย
ฟั่นเพ่ยคิดว่านี่เป็นข่าวดี เลยรีบเอามารายงาน
“โอเค ไปเถอะ”
เมื่อฟั่นเพ่ยเดินเข้ามา ลี่จุนถิงก็เรียกซู่จี้งยี้มา
“คุณชายลี่ คุณเรียกฉันทำไมเหรอ” ซู่จี้งยี้ไม่ค่อยเข้าใจว่าลี่จุนถิงกำลังตื่นเต้นกับเรื่องอะไรอยู่
“ใช่ ช่วงนี้สถานการณ์ของบริษัทดีมาก ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันจะไปก่อนนะ” ลี่จุนถิงเซ็นเอกสารฉบับสุดท้ายเสร็จ จากนั้นก็วางเอาไว้บนโต๊ะทำงาน
“ไปแล้วงั้นเหรอ? ” ซู่จี้งยี้ตกใจ “ไปที่ไหน?”
ซู่จี้งยี้จำได้ว่าเช้านี้ลี่จุนถิงอยู่ที่บริษัทตลอดไม่ต้องไปไหน ถึงจะไป ก็เป็นเพียงการคุยงานของบริษัทเล็กๆ ตอนบ่ายเท่านั้น
“ฉันอยากจะพาเจียงหยุนเอ๋อไปเที่ยวสักหน่อย ช่วงนี้ครอบครัวมีแต่เรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจ” ลี่จุนถิงเริ่มเก็บของ
ซู่จี้งยี้ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ เลยเบิกตาโพลง: “คุณชายลี่ แล้วเรื่องของบริษัทจะทำอย่างไรล่ะ?”
“ก็ให้สิทธิ์การตัดสินใจทุกอย่างกับคุณเลย ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับคุณอยู่แล้ว ฉันเชื่อคุณว่าจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง” ลี่จุนถิงมองซู่จี้งยี้ด้วยแววตาแห่งความเชิดชู
“แต่ว่า มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง” ซู่จี้งยี้ถอนหายใจ การจัดการเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ผู้ช่วยอย่างเขา ไม่มีสิทธิ์จะตัดสินเรื่องอะไรใหญ่ขนาดนั้นได้
“ฉันเป็นประธาน ฉันว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น คนอื่นจะว่าอะไรได้เล่า คุณทำตามที่ฉันบอกก็พอ” ลี่จุนถิงหยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเองเดินไปทางประตู
“ครับ” ซู่จี้งยี้พยักหน้าด้วยความสลดเล็กน้อย
ลี่จุนถิงเพิ่งจะเปิดประตูก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เลยหันกลับมาพูด: “จริงสิ อย่าบอกว่าฉันหยุดพักนะ ให้บอกว่าออกไปทำงานข้างนอก”
ลี่จุนถิงคิดว่าจะป้องกันไปแบบนี้ก่อนดีกว่า เพื่อไม่ให้เจียงหยุนเอ๋อถูกใครที่คิดร้ายว่าได้อีก
“ได้ ฉันรู้แล้วล่ะ” ซู่จี้งยี้มองลี่จุนถิงเดินออกไปด้วยความหมดหวัง
ใช่สิ ประธานของบริษัทตัวเองคิดเหตุผลกับข้ออ้างเอาไว้หมดแล้ว
แต่ว่า!แต่ว่าครั้งก่อนที่ลี่จุนถิงบอกจะให้ตัวเองได้หยุดก็ยังไม่ได้ให้เลย แบบนี้ก็ได้เหรอ?
ซู่จี้งยี้ปลดปล่อยความโกรธออกมา แต่เมื่อคิดว่าตัวเองยังต้องทำดีกับลี่จุนถิงอยู่ เลยยอมฟัง พลางค่อยๆ หยิบเอกสารที่เซ็นเสร็จแล้วขึ้นมาจากโต๊ะของลี่จุนถิง ก่อนจะเริ่มทำงาน
เจียงหยุนเอ๋อเห็นลี่จุนถิงกลับบ้านมา เลยพูดด้วยความตกใจ: “ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วจัง?”
“คุณเดาดูสิ?” ลี่จุนถิงกะพริบตาปริบๆ ให้เจียงหยุนเอ๋อ
เจียงหยุนเอ๋อทำปากจู๋: “หึ แปลกจริงๆ”
“ฮ่าๆ” ลี่จุนถิงเดินไปที่ด้านหน้าของเจียงหยุนเอ๋อ จากนั้นก็โอบเธอเอาไว้ในอ้อมกอด พลางมองเธอด้วยความอ่อนโยน “ฉันกลับมาหาคุณไงล่ะ”
“มีเรื่องอะไรที่รีบร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงรอให้เลิกงานก่อนไม่ได้น่ะ” เจียงหยุนเอ๋อชายตามอง
ลี่จุนถิงยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มจมูกของเจียงหยุนเอ๋อ: “เรื่องที่อยากทำกับคุณมันก็เป็นเรื่องรีบร้อนอยู่แล้วไงล่ะ”
เจียงหยุนเอ๋อลูบจมูกของตัวเอง เพราะกลัวว่าจมูกที่ตัวเองชอบที่สุดจะถูกลี่จุนถิงลูบจนพัง
เรื่องที่ทำกับตัวเองงั้นเหรอ?เจียงหยุนเอ๋องุนงง: “เรื่องอะไร?พวกเรานัดกันแล้วเหรอ? ”
ลี่จุนถิงจูงมือเจียงหยุนเอ๋อขึ้นไปด้านบน: “ไม่มีหรอก มันเป็นแค่ความคิดของฉันเอง”
“ห๊ะ?”
“คุณรีบไปเก็บของเถอะ เดี๋ยวเราจะไปกันแล้ว ตอนเที่ยงครึ่งเราจะขึ้นเครื่องบินกัน อย่างสายนะ” ลี่จุนถิงผลักเจียงหยุนเอ๋อเล็กน้อย
“ไปไหน? ”
“พาคุณไปเที่ยวพักผ่อน!”
“พักผ่อนงั้นเหรอ?” เจียงหยุนเอ๋อยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ “คุณไม่ต้องจัดการเรื่องของบริษัทแล้วเหรอ?ไปเที่ยวแบบนี้ไม่ดีหรอก คุณจะทิ้งงานแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้นะ ซู่จี้งยี้ต้องทำงานหนักขนาดไหนล่ะ?”
เจียงหยุนเอ๋อได้ยินซู่จี้งยี้บ่นว่างานเยอะมาหลายครั้งแล้ว