บทที่ 436 หูตาของข้าเหมือนสับปะรด

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 436 หูตาของข้าเหมือนสับปะรด

บทที่ 436 หูตาของข้าเหมือนสับปะรด

“อาจารย์ของข้า?” ซูอันแสดงสีหน้าตกตะลึง “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”

เจิ้งตานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านี่ปากแข็งจริง ๆ ทักษะการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมของเจ้าคงไม่ได้ผุดขึ้นมาจากอากาศใช่ไหม?”

ซูอันหัวเราะคิกคัก “ข้าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะมาโดยตลอด แน่นอนว่าข้าคิดมันด้วยตนเอง! แม่นางเจิ้ง เจ้ากำลังพยายามหลอกถามข้าอยู่ใช่ไหม? แต่ทักษะของเจ้าในด้านนี้ถือว่ายังขาดอยู่เล็กน้อยนะ”

“ถ้าเจ้าไม่อยากพูดถึง ก็ลืมมันไปก็แล้วกัน” เจิ้งตานพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า แต่เจ้าก็ยังสงสัยว่าข้ามีแรงจูงใจอื่น!”

ชายหนุ่มมองนางขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วพูดว่า “จากความทรงจำของข้า แม่นางเจิ้งหมั้นหมายแล้ว จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง โดยเฉพาะการที่จู่ ๆ เจ้าก็มาหาข้าแบบนี้?”

เจิ้งตานถอนหายใจ “อย่างที่ข้าคาดไว้ ทุกคนคิดแบบนี้กันหมด และเจ้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

นางถอยห่างจากเขา ดวงตาจ้องมองไปที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น “ท่านพ่อของข้าเป็นผู้ริเริ่มแผนการแต่งงานของข้ากับตระกูลซ่าง แม้ว่าตระกูลของข้าจะเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองจันทร์กระจ่าง แต่สุดท้ายแล้วเราก็เป็นเพียงแค่กลุ่มพ่อค้า เราไม่มีอะไรเทียบได้กับตระกูลระดับบนสุด”

“นี่เป็นสาเหตุที่ผู้อาวุโสในตระกูลของเรามีความสุขเมื่อได้รับการตอบตกลงจากตระกูลซ่าง อันที่จริงพวกเขาตอบตกลงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด”

“แม้ว่าตระกูลซ่างจะไม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่พวกเขาก็ยังเป็นหนึ่งในตระกูลที่รุ่งเรืองในเมืองหลวง และซ่างหงก็เป็นขุนนางที่องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานมาก ให้เวลาอีกปีหรือสองปี พวกเขาน่าจะก้าวขึ้นเป็นตระกูลระดับบนสุด เหตุผลเดียวกับที่พวกเขาตกลงเป็นพันธมิตรกับตระกูลของข้าผ่านการแต่งงาน ก็เพราะพวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก ผู้อาวุโสของตระกูลเจิ้งจะพลาดโอกาสอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ไปได้ยังไง?”

“มันก็แค่…ทำไมไม่มีใครมาถามความคิดเห็นจากข้าเลย? ทำไมพวกเขาไม่ถามข้าบ้างว่าข้าชอบคน ๆ นั้นหรือว่าข้าเต็มใจจะแต่งงานกับเขาบ้างไหม?”

ดวงตาของนางเศร้าหมองเล็กน้อยขณะที่นางพูด

แม้แต่ซูอันก็ไม่สามารถบอกได้ว่านี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของนางหรือแกล้งทำ “พูดตามตรง เจ้าไม่มีเหตุผลที่จะไม่พอใจ ตระกูลเจิ้งได้มอบสิ่งต่าง ๆ มากมายให้เจ้าตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะต้องตอบแทน เมื่อเจ้าเป็นคนของตระกูลสำคัญ บางครั้งเจ้าจะไม่มีอิสระในการตัดสินใจเลือกเอง”

เจิ้งตานแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างฉับพลัน “ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับข้า! แม้แต่เพื่อนสนิทของข้ายังทำแต่ปลอบโยนข้า แสดงความเห็นอกเห็นใจข้าในเรื่องโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรม…แต่มุมมองของเจ้าแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ”

“ข้ามักจะชอบพูดในสิ่งที่เห็น แต่มันก็ดีแล้วที่เจ้าไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่ข้าพูด” ซูอันตอบ

นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดูขัดแย้ง “เจ้าช่างแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ”

ซูอันเลิกคิ้ว “เป็นเพราะข้าหล่อมากใช่ไหมล่ะ?”

เจิ้งตานหน้าแดง “ฮึ่ม! เจ้านี่มันไร้ยางอายจริง ๆ” นางเย้ยหยัน

จากนั้นทั้งสองก็คุยกันอย่างเพลิดเพลิน การสนทนาของพวกเขาดำเนินไปอย่างไร้กังวล และกลายเป็นประสบการณ์ที่ผ่อนคลายและสนุกสนานสำหรับทั้งคู่

เสียงกริ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณเริ่มชั้นเรียนต่อไป ขณะที่พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันไป เจิ้งตานก็หันกลับมามองอย่างไม่เต็มใจ “อาซู เจ้าต้องระวังนะ…อย่าให้เฉินเซวียนทำอะไรเจ้าได้”

ซูอันหัวเราะ “อย่าห่วง! ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้า ข้าจะปล่อยให้ใครฆ่าข้าก่อนที่จะได้คุยกับเจ้าทุกเรื่องได้ยังไง?”

เจิ้งตานยิ้มอย่างเขินอาย “เจ้าพูดจาแบบคนดี ๆ สักครู่หนึ่งไม่ได้หรือไง? ทำไมเจ้าต้องเอาแต่ทำตัวเป็นเสือผู้หญิงอยู่เรื่อยเลย เจ้ามีภรรยาแล้วนะ อย่าลืมสิ!”

ซูอันหัวเราะอย่างเต็มที่ “เจ้าก็มีคู่หมั้นแล้วไม่ใช่หรือไง? เราสองคนเหมือนคู่สวรรค์สร้างเลยนา!”

เจิ้งตานไม่สามารถทนฟังได้อีก หญิงสาวจึงหันหลังกลับและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางแดงก่ำ

นางรีบเดินเลี้ยวเข้ามุมแล้วพิงกับกำแพง เอามือแตะหน้าอก รู้สึกสับสนกับเสียงหัวใจที่เต้นรัวราวกับกลอง

ไม่ใช่ข้าหรือที่ควรจะล่อลวงเขา? บทบาทของเราเปลี่ยนกันได้ยังไง?

ชั้นเรียนที่เหลือของวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อชั้นเรียนทั้งหมดจบลง ฉู่ฮวนเจาที่ดุร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีและคำรามอย่างโกรธเคืองใส่ชายหนุ่ม

“ทำไมแม่นางเจิ้งคนนั้นถึงมาหาท่าน!”

ซูอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ข่าวแบบนี้ไปถึงหูของเจ้าเร็วมากจริง ๆ นี่เจ้าให้คนแอบตามดูข้าตลอดทั้งวันหรือไง?”

ท่าทางอวดดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่ฮวนเจา “แน่นอน! ฮวนเจาคนนี้มีหูตามากมายในสถาบันจันทร์กระจ่าง…”

แต่ในขณะที่นางกำลังจะอวดความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของนางต่อนั้น นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางควรจะเค้นถามพี่เขยของตัวเองเรื่องเจิ้งตาน ไม่ใช่มาอวดความสำเร็จของตัวเอง! ว่าแล้วก็โวยวายอย่างโกรธจัดทันที “หยุดเปลี่ยนเรื่องสักที! ทำไมนังจิ้งจอกนั่นถึงมาหาท่าน?”

ซูอันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้ายังเป็นแค่เด็ก หยุดเรียกคนอื่นว่า ‘นังจิ้งจอก’ สักที มันดูไม่ดีต่อตัวของเจ้าเลยจริง ๆ”

“ข้าก็เป็นอย่างนี้ของข้า ท่านไม่ต้องมายุ่ง! อันที่จริงมันแปลกตรงไหนที่ข้าเรียกนังนั่นว่า นังจิ้งจอก! ท่านคือชายที่มีภรรยาแล้วแต่นางกลับเข้าหาท่านอย่างหน้าด้าน ๆ! ถ้านางไม่ใช่นังจิ้งจอก แล้วนางเป็นอะไร?”

ดวงตาของฉู่ฮวนเจาแดงก่ำ ราวกับว่าเป็นคนที่ได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงซะเอง “ทำไม? ท่านปกป้องนางแบบนี้ ท่านพร้อมจะทุ่มสุดตัวเพื่อนางแล้วใช่ไหม?”

เมื่อเขาเห็นว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้กำลังน้ำตาคลอ หัวใจของซูอันก็อ่อนลง “ม…ไม่ใช่สักหน่อย! นางแค่ต้องการถามข้าเกี่ยวกับเรื่องการลอบสังหารของเฉินเซวียน นางแค่กังวลเรื่องความปลอดภัยของข้านิดหน่อยแค่นั้นเอง” เขารีบยืนยันกับน้องภรรยาตัวเอง

“ท่านไปสนิทกับนังจิ้งจอกนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมนางถึงต้องมาเป็นห่วงเป็นใยท่านขนาดนี้?” ฉู่ฮวนเจาขมวดคิ้ว มือเตรียมเอื้อมไปหาแส้คร่ำครวญโดยไม่รู้ตัว

ซูอันเริ่มตื่นตระหนก เขาอธิบายอย่างเร่งรีบ “ข้าเคยช่วยนางมาก่อนหน้านี้ และนอกจากนี้ มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่เพื่อนนักศึกษาจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของกันและกัน?”

ฉู่ฮวนเจาพ่นลมหายใจ “นังผู้หญิงนั่นดูอ่อนโยนแต่เพียงภายนอกก็แค่นั้นแหละ แต่ข้าแน่ใจว่ามันปลอมทั้งหมด! ข้าบอกไว้เลยว่าข้าไม่ชอบนาง!”

ซูอันรู้สึกเริ่มมึนหัว “ตกลง ๆ ต่อไปนี้ข้าจะสนิทกับนางให้น้อยลง ตกลงไหม?”

ซูอันรีบหันเหความสนใจของนางในทันที กังวลว่านางจะเอาความเรื่องนี้ต่อไป เขาดึงขวดเล็ก ๆ ออกมาแล้วพูดว่า “ฮวนเจาข้าสัญญาว่าจะให้ของขวัญเจ้า แต่ก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ออกสักทีว่าจะให้อะไรเจ้าจนเมื่อเร็ว ๆ ข้าเพิ่งได้ของที่น่าสนใจชิ้นนี้มา รับไปดูสิ!”

ฉู่ฮวนเจามองขวดที่บรรจุของเหลวสีเขียว “น้ำหอมเหรอ? ข้าไม่เคยใช้ของพวกนี้มาก่อน แต่ถ้าเป็นของขวัญจากพี่เขย อย่างน้อยข้าจะลองใช้ดูก็ได้!”

รอยย่นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของซูอัน “ยัยเด็กบื้อ! เจ้าเคยเห็นน้ำหอมสีเขียวมาก่อนเหรอไง?”

“เอ่อ…มันไม่มีน้ำหอมสีเขียวหรอกเหรอ…” ฉู่ฮวนเจาหัวเราะอย่างเขินอาย “แล้วมันคืออะไรล่ะ?”

“มันคือขวดยาพิษ” ซูอันอธิบายผลของมันอย่างคร่าว ๆ ให้นางฟัง จากนั้นก็เสริมว่า “มันสามารถทะลวงการป้องกันของผู้ที่อยู่ในระดับ 5 หรือต่ำกว่าได้ทั้งหมด ผู้ที่ติดพิษจะสูญเสียความสามารถในการโคจรพลังและการเคลื่อนไหวทั้งหมดช่วงระยะเวลาหนึ่ง”

“ฟังดูดีมาก! นี่มันน่าสนใจกว่าน้ำหอมเยอะเลย!” ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่ฮวนเจา นางตกหลุมรักมันทันที

เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของนาง ซูอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ขวดยาพิษไม่มีประโยชน์สำหรับเขา ดังนั้นมันจึงเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับน้องภรรยาคนนี้ นี่เป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มพอใจจะให้นางไป

ฉู่ฮวนเจาหมุนขวดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเก็บมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็มองไปที่ซูอันและถามว่า “พี่เขย ตอนนี้ท่านอยู่ในระดับไหนแล้ว?”

ซูอันลังเลในแง่ของการบ่มเพาะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ระดับสามขั้นแปด แต่ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชายหนุ่มนั้นเกินกว่านั้นมาก

ในขณะนี้ซูอันเข้าใจโลกมากขึ้น และได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบ่มเพาะจากสถาบันจันทร์กระจ่าง จึงได้ค้นพบข้อสรุปที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีก…

ด้วยการที่เขาบ่มเพาะโดยใช้วิชาวัฏจักรหงส์อมตะ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูอันจะกล้าแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่นในระดับเดียวกัน แถมนั่นยังไม่ได้คิดรวมไปถึงวิชาปฐมบทแรกเริ่มที่ปรับแต่งร่างกายของชายหนุ่มให้แข็งแกร่งเหนือคนธรรมดามากขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ

ฉู่ฮวนเจาดูเหมือนจะไม่สนใจอาการลังเลของเขา นางได้สิ่งที่นางต้องการแล้ว “ระดับการบ่มเพาะของท่านยังไม่ถึงระดับห้าใช่ไหม?”

“ยังไม่ถึง” ซูอันตอบโดยไม่ต้องคิด

“ถ้างั้นก็เยี่ยมไปเลย!” ริมฝีปากของฉู่ฮวนเจาฉีกออกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

ซูอันรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เจ้ากำลังวางแผนทำอะไรอีก? ทำไมเจ้าถึงถามอะไรแบบนี้?”

“ไม่มีอะไร…” ฉู่ฮวนเจาหัวเราะเยาะภายในใจ อารมณ์บูดบึ้งก่อนหน้านี้ของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย นางเริ่มฮัมเพลง โบกมือเล็ก ๆ ของนางและกระโดดไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง

ซูอันจ้องมองนางอย่างว่างเปล่า

ทำไมรู้สึกเหมือนข้าเอาหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง?