“จุนถิง ตอนนี้นาย……เชื่อใจเธอมากเกินไปแล้ว ต่อให้ฉันพูดอะไรนายก็คงไม่ฟังสินะ” ลี่จุนซินถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยพูด
ลี่จุนถิงยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม ยังไงซะเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเจียงหยุนเอ๋อ เขาไม่มีทางมองข้ามไปได้ : “นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องผมเชื่อใจเธอมากเกินไป แต่เป็นที่พวกเธอระแวงเธอไม่เข้าท่า ทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยสักนิด เพียงแค่ความบังเอิญมากเกินไป พวกเธอก็เลยฟันธงว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเธองั้นเหรอ?”
ลี่จุนซินมองลี่จุนถิงได้สีหน้าสับสน แล้วเม้มปาก และไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปอีก
“เอาเถอะ ฉันไม่พูดอะไรกับนายแล้ว แต่ยังไงตัวนายเองระวังไว้หน่อยก็ดี” ลี่จุนซินกล่าว
ลี่จุนถิงมองเธออย่างเรียบ ๆ แล้วเอ่ย : “เธอวางใจเถอะ ตอนนี้ฉันกำลังรวบรวมหลักซาน ต้องมีหลักฐานมาให้พวกเธอแน่นอน ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือหยุนเอ๋อ”
ได้ยินน้ำเสียงที่แน่วแน่ของลี่จุนถิง ลี่จุนซินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
เดิมทีความประทับใจที่เธอมีต่อเจียงหยุนเอ๋อก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่เพราะโม่เสี่ยวฮุ่ยพูดใส่หน้าเธอมากมายขนาดนั้น ทำให้เธอเกิดคลางแคลงใจขึ้นมา
แต่ตอนนี้ลี่จุนถิงพูดกรอกหูเธอต่างจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง ลี่จุนซินจึงเริ่มสับสนขึ้นมา ไม่รู้ว่าตกลงควรจะเชื่อคำพูดใครกันแน่
“งั้นก็ได้” ลี่จุนซินคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว เพราะยังไม่มีหลักฐาน จึงไม่สามารถฟังความข้างเดียวจากโม่เสี่ยวฮุ่ยแล้วกล่าวหาว่าเจียงหยุนเอ๋อเป็นคนผิด “ถ้าจำเป็นต้องให้ฉันช่วยอะไร ก็บอกมานะ”
“อืม” ถึงแม้รู้สึกว่าคงไม่มีความจำเป็นอะไร แต่ลี่จุนถิงก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของลี่จุนซิน จึงได้ตอบตกลงไป
หลังจากนั้น ไม่นานซู่จี้งยี้ก็รวบรวมข้อมูลได้จำนวนหนึ่ง และบอกกล่าวกับลี่จุนถิง
“หืม? ได้เรื่องแล้วเหรอ? ว่ายังไงบ้าง?” เห็นซู่จี้งยี้เดินเข้ามาในห้องทำงาน ลี่จุนถิงก็ถามออกมาโดยไม่ต้องคิดเลยทีเดียว
สีหน้าของซู่จี้งยี้ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะการหาหลักฐานในครั้งนี้ไม่ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์สักเท่าไหร่
เขาเดินไปตรงหน้าลี่จุนถิงด้วยความลังเลเล็กน้อย แล้วนำสิ่งของที่รวบรวมได้ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาวางลงตรงหน้าลี่จุนถิง
สิ่งแรกคือไฟล์วิดีโอจากกล้องวงจรปิดช่วงหนึ่ง บันทึกเหตุการณ์ตอนที่โม่เสี่ยวฮุ่ยถูกชนล้ม
ในวิดีโอสามารถเห็นได้ชัดเจน ว่าหลังจากที่โม่เสี่ยวฮุ่ยถูกชนจนล้ม เจียงหยุนเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้นในที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เห็นสภาพของโม่เสี่ยวฮุ่ย ก็แทบจะเดินเข้าไปพยุงเธอขึ้นมาทันทีอย่างไม่ลังเล
แต่ทว่าสีหน้าของโม่เสี่ยวฮุ่ยในตอนนั้นดูบึ้งตึงอย่างที่สุด ถึงแม้ได้ยินบทสนทนาที่ทั้งสองคนคุยกันไม่ชัดนัก แต่มองใบหน้าที่ดูอึดอัดใจของเจียงหยุนเอ๋อแล้ว ลี่จุนถิงก็รู้ได้ว่าตอนนั้นเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง ในใจจึงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เขาเหมือนมักจะทำให้เจียงหยุนเอ๋อเสียใจอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ให้คำมั่นสัญญามาหลายครั้ง แต่ก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด
บางครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยตัวเอง คำพูดเหล่านั้นที่พูดออกมาเพียงแค่พูดเล่น ๆ ไปอย่างนั้นหรือเปล่า ทำไมสุดท้ายถึงทำอะไรไม่ได้เลยล่ะ
แต่ว่า วิดีโอจากกล้องวงจรปิดท่อนนี้ ในความเป็นจริงก็ไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่นัก ดังนั้นหลังจากที่ดูวิดีโอนี้จบ ลี่จุนถิงก็ได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อย่างอื่นล่ะ?” การที่ซู่จี้งยี้รวบรวมข้อมูลได้เพียงเท่านั้น ลี่จุนถิงจึงไม่ค่อยพอใจเป็นธรรมดา
ยังไงซะตอนแรกเขาก็คาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์สักหน่อย แต่จากที่เห็นตรงหน้าอย่างนี้ น่าจะไม่สามารถได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์แล้วล่ะ
ซู่จี้งยี้ก็รู้ดีว่าผลลัพธ์แบบนี้ต้องทำให้ลี่จุนถิงไม่พอใจแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้เตรียมพร้อมไว้ก่อน แล้วหยิบเอาข้อมูลอื่น ๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว
“คุณชายลี่ ตอนนั้นได้ถ่ายรูปรถคนนั้นที่ชนคุณนายเอาไว้ นี่เป็นข้อมูลของคนขับรถคนนั้นที่ผมหาได้ครับ”
ลี่จุนถิงดูอย่างละเอียด ก็พบว่าใบหน้านี้ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ลี่จุนถิงมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่เคยเห็นคนคนนี้มาก่อน
“เบาะแสของคนคนนี้ ตอนนี้รู้อะไรแล้วหรือยัง?” ลี่จุนถิงเงยหน้าขึ้นมามองซู่จี้งยี้
ซู่จี้งยี้รีบพยักหน้า : “ครับ ผมหาข้อมูลของคนคนนี้ได้แล้ว แต่ตอนที่ไปบ้านของเขา พบว่าเขาหนีไปแล้วครับ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพอรู้ตัวเองก่อเรื่องเข้าเลยหนีไปก่อน”
“หาตัวมันมาให้ฉัน” สีหน้าของลี่จุนถิงดูเลือดเย็นขึ้นมาเล็กน้อย
หนีไปงั้นเหรอ? เหอะ ดูท่าเรื่องทั้งหมดนี้คงจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาซะแล้ว แต่มีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง
“ครับ ผมส่งคนไปสกัดจับตัวมันไว้แล้ว น่าจะไม่ใช้เวลานานเท่าไหร่” ซู่จี้งยี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ลี่จุนถิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เขาจึงไม่กล้าละเลย ดังนั้นแทบไม่ต้องให้ลี่จุนถิงสั่งการอะไร เขาก็จัดการเรื่องพวกนั้นด้วยตัวเองอย่างรอบคอบ
“ดี ได้เรื่องยังไงนายค่อยมาบอกฉันแล้วกัน”
ลี่จุนถิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วให้ซู่จี้งยี้ออกไปจากห้องทำงานได้
หลังจากที่ซู่จี้งยี้ออกไป สีหน้าลี่จุนถิงก็ดูถมึงทึงขึ้นมาทันที ตอนนี้เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหว อยากรู้เหลือเกินว่าใครมันต้องการทำร้ายเจียงหยุนเอ๋อ
คนขับรถคนนั้นไม่นานก็ถูกจับตัวได้ ก่อนหน้านี้ซู่จี้งยี้สืบประวัติเขามาแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงคนว่างงานคนหนึ่ง ชื่อเย่เฉาเสียง
“เรื่องนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลังใช่ไหม?”
ซู่จี้งยี้ยืนซักถามอยู่ตรงหน้าเย่เฉาเสียง
เย่เฉาเสียงคงจะคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกจับได้เร็วขนาดนี้ ทำให้รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา หลังจากที่ได้ยินซู่จี้งยี้ซักถามก็ตกใจกลัวจนตัวสั่น แต่หลังจากนั้นก็รีบส่ายหัวปฏิเสธ : “ไม่ใช่ ไม่ได้มีคนบงการฉัน”
“อ้อ? งั้นแกตั้งใจชนเองงั้นสินะ?” ซู่จี้งยี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ไม่ใช่นะ……ฉันไม่ได้ตั้งใจ……”
ซู่จี้งยี้มองเย่เฉาเสียงอย่างสงสัย พิจารณาดูสีหน้าท่าทางของเขาอย่างตั้งใจ : “แล้วตอนนั้นแกหนีทำไม? ตอนนี้ก็รีบร้อนหนีไปอย่างนี้ มีคนพูดอะไรกับแกใช่ไหม?”
สีหน้าของเย่เฉาเสียงดูแย่มาก พูดอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า : “ฉัน……ฉันชนคน เลยกลัวมากไป เลยอยากจะรีบหนีไป เพื่อไม่ให้……เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ไงล่ะ”
แต่ทว่า ถึงแม้เย่เฉาเสียงจะปฏิเสธ ซู่จี้งยี้ก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่าต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลังแน่นอน
ไม่นาน ลี่จุนถิงก็รีบมา เมื่อเข้ามาก็เอ่ยถามทันทีว่า : “ซักถามได้ความว่ายังไงบ้างไหม?”
ซู่จี้งยี้หันกลับไปส่ายหน้าให้เขาเล็กน้อย : “ตอนนี้ยังไม่ยอมรับครับ แต่……ผมว่าน่าจะมีคนบงการไม่ผิดแน่
ต่างกับซู่จี้งยี้โดยสิ้นเชิง ลี่จุนถิงไม่มีอารมณ์มาอ้อยอิ่งกับเย่เฉาเสียง ดังนั้นจึงเดินหน้าเข้าไปพูดทันทีว่า : “ถ้าไม่อยากถูกทรมาน แกก็รีบบอกข้อมูลมาซะ”