น่าจะเป็นเพราะตกใจกับท่าทีของลี่จุนถิง คนคนนั้นจึงสะดุ้ง แล้วพูดอึก ๆ อัก ๆ ออกมาว่า : “มี……มีคนสั่งให้ฉันทำอย่างนี้จริง ๆ นั่นแหละ”
“ใคร?” ลี่จุนถิงขมวดคิ้ว ร้อนใจอยากจะรู้คำตอบทันที
แต่ทว่าในเวลานี้เอง เย่เฉาเสียงกลับแสดงสีหน้าหวาดกลัวและจนปัญญา : “ฉัน……ฉันก็อยากบอกนายนะ แต่……แต่ว่าฉันก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร”
“ไม่รู้? เป็นไปได้ไง?” ลี่จุนถิงแสยะยิ้มออกมา ไม่เชื่อในสิ่งที่คนคนนี้พูด
บนหน้าของเย่เฉาเสียงมีเหงื่อแตกด้วยความตกใจกลัว เพราะความทรงพลังของลี่จุนถิงนั้นดูแข็งแกร่งเกินไป เขาจึงไม่กล้าโกหกอีก
“ฉัน……ฉันไม่รู้จริง ๆ นะ……มีคนให้เงินฉันก้อนหนึ่ง สั่งให้ฉันทำแบบนี้……” เย่เฉาเสียงเอ่ยพูดด้วยท่าทางตัวสั่นงันงก แม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่รู้ตัว ว่าน้ำเสียงของเขาในตอนนี้เริ่มสั่นเครือเล็กน้อยแล้ว
ลี่จุนถิงเพ่งมองเขาอย่างเย็นชา เห็นท่าทางตื่นกลัวของเย่เฉาเสียง ก็คิดว่าคงไม่ได้กำลังพูดโกหก : “ในเมื่อแกไม่รู้จักมัน แล้วแกหน้ามืดตามัวไปยอมทำทำไม?”
“ไม่……ไม่มีทางเลือกนี่ เพราะช่วงนี้ฉันก็เดือดร้อนเรื่องเงิน……” เย่เฉาเสียงพูดด้วยท่าทีเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
ในที่สุด ลี่จุนถิงก็ไม่สามารถได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ออกจากปากเย่เฉาเสียงได้เลย สิ่งเดียวที่ได้รู้ ก็คือมีคนบงการให้เย่เฉาเสียงทำเรื่องนี้จริง ๆ
ดูท่าทาง เรื่องนี้เหมือนมีใครจงใจโยนความผิดให้เจียงหยุนเอ๋อ
“จี้งยี้ นายคิดว่าไง?” ลี่จุนถิงหันไปมองซู่จี้งยี้
สีหน้าของซู่จี้งยี้ก็ดูเคร่งขรึมมาก เพราะเรื่องนี้ยังจัดการไม่เรียบร้อย : “น่าจะมีคนจงใจใส่ร้ายคุณนายน้อย คุณชายลี่ เดี๋ยวผมจะสืบต่อไป คุณวางใจเถอะครับ ฉันต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณนายน้อยให้ได้”
เหมือนกับที่ซู่จี้งยี้พูดนั่นแหละ ลี่จุนถิงในตอนนี้ก็เชื่อมั่นอย่างมาก ว่าเจียงหยุนเอ๋อไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นได้ เลยพยักหน้าตอบรับ
“อืม เรื่องนี้ฝากนายด้วยแล้วกัน”
……
เคธี่ช่วงนี้เรียกได้ว่าสมใจปรารถนา
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างโม่เสี่ยวฮุ่ยกับเจียงหยุนเอ๋อในช่วงนี้เรียกได้ว่าสั่นคลอนมาก
ดังนั้นเธอจึงน่าจะใช้จังหวะเหมาะ ๆ อย่างนี้ทำให้ตัวเองมีตัวตนสักหน่อย
เคธี่ตื่นเช้ามาก็เปิดทีวีดู แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดูอะไรดี ช่วงนี้ที่บริษัทก็ไม่มีเรื่องอะไร เพื่อนที่อยู่ในจีนของเคธี่ก็มีน้อยมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างลี่จุนซินในระยะนี้ก็แย่มากหลังจากที่แยกจากกันเมื่อคราวก่อน ทำให้ระยะนี้ทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อกันเลย
เคธี่เดิมทีไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ลี่จุนซินไม่มาชวนตัวเองไปเที่ยวไหน และตัวเองก็ไม่มีใครมาชวนไปเที่ยว ทำให้เคธี่รู้สึกเบื่อหน่ายมาก
แต่ถ้าให้ตัวเองเป็นฝ่ายไปหาลี่จุนซินก่อน เคธี่ก็ทำไม่ลง
เธอจำเป็นต้องหาจังหวะที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า
เคธี่คิดอยู่ในใจ มือก็กดรีโมททีวีไปพลาง เมื่อคิดถึงเรื่องกวนใจพวกนี้ ก็โยนรีโมทในมือทิ้งลงบนผ้าห่ม
เสียงที่ดังออกมาจากในทีวีดึงดูดความสนใจของเคธี่ ซึ่งเป็นรายการอาหารรายการหนึ่ง ที่กำลังสอนทำซุปไก่ให้มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม
เคธี่ตาแป๋วขึ้นมาทันที ในใจคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้
“แม่บ้าน แม่บ้าน!” เคธี่นั่งอยู่ในห้องตะโกนเรียกแม่บ้าน
“คุณเคธี่ เรียกฉันเหรอคะ” ได้ยินเสียงเรียกของเคธี่ แม่บ้านก็รีบวิ่งขึ้นมาชั้นบน
“รีบเรียกพ่อครัวมาให้ฉันคนหนึ่ง มาทำซุปไก่ เร็วเข้า” เคธี่ชี้ไปยังซุปไก่ในทีวีด้วยความตื่นเต้น
แม่บ้านมองไปที่ทีวีแวบหนึ่ง แล้วรีบเรียกพ่อครัวขึ้นมา
พ่อครัวคนนี้มีความเชี่ยวชาญด้านอาหารจีน
ถึงแม้ตอนนี้อยู่ที่บ้าน แต่เนื่องจากเคธี่ชอบทานอาหารจีน ดังนั้นที่บ้านจึงมีพ่อครัวอยู่สองคน คนหนึ่งรับผิดชอบเรื่องอาหารจีน ส่วนอีกคนรับผิดชอบด้านอาหารตะวันตก
หลังจากพ่อครัวขึ้นมาด้านบน เพียงแค่ดูทีวีครู่หนึ่ง ก็จำวิธีทำซุปไก่ได้แล้ว
“จำเนื้อหาได้หมดแล้วใช่ไหม? ว่าทำยังไง?” หลังจากจบรายการ เคธี่ก็เอ่ยถาม
“ครับ คุณเคธี่ ผมจะลงไปทำให้คุณเดี๋ยวนี้แหละครับ” พ่อครัวโค้งคำนับให้เคธี่ แล้วเตรียมตัวลงไปชั้นล่าง
เคธี่ได้ยินดังนั้น ก็รีบเรียกพ่อครัวเอาไว้ : “เดี๋ยวก่อน หลังจากนายทำเสร็จก็เอาใส่กระติกเก็บอุณหภูมิ แล้วเอามาให้ฉัน”
แม่บ้านเอ่ยถาม : “คุณผู้หญิงไม่ได้อยากทานเองเหรอคะ?”
เคธี่ยิ้มออกมาอย่างรู้ใจ : “อืม ฉันมีเรื่องให้ใช้ประโยชน์แหละน่า เอาล่ะ รีบไปทำเถอะ”
เคธี่โบกปัดมือ ให้พ่อครัวไปทำซุปไก่
พ่อครัวก้มหัวให้เล็กน้อย แล้วลงไป
เคธี่ยิ้มมุมปาก ใช่แล้ว ซุปไก่ที่เธอให้ทำนั้นเธอจะเอาไปให้โม่เสี่ยวฮุ่ย ต้องไปเยี่ยมคนขณะที่ป่วยนั่นแหละ ถึงจะทำให้คนจำเราได้ขึ้นใจ
เธอจะใช้โอกาสนี้แสดงความเอาใจใส่ ตอนนี้ภาพลักษณ์ของเจียงหยุนเอ๋อในใจโม่เสี่ยวฮุ่ยนั้นแย่มาก งั้นตัวเองก็ควรจะทำให้โม่เสี่ยวฮุ่ยประทับมากยิ่งขึ้น
และซุปไก่นี้ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด
เคธี่คิด ๆ แล้วก็ลุกขึ้นมา เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ก็ทำให้คนกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นมา
พ่อครัวทำได้รวดเร็วมาก เคธี่เทออกมาถ้วยหนึ่ง ตอนที่ได้ซดเข้าไปคำแรก ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาชื่นชมพ่อครัว : “ไม่เลวนี่ แม่บ้านเพิ่มเงินเดือนให้พ่อครัวด้วยนะ”
พ่อครัวได้ยินดังนั้นก็ยิ้มปากแทบฉีก
เคธี่ให้คนรับใช้เตรียมซุปไก่ใส่กระติกให้พร้อม จากนั้นก็ขับรถไปที่โรงพยาบาล
คราวนี้เธอต้องมัดใจโม่เสี่ยวฮุ่ยให้ได้ เพื่อให้โม่เสี่ยวฮุ่ยเข้าข้างตัวเอง
เคธี่คิดในใจได้อย่างนี้ ฝีเท้าก็ก้าวเร็วขึ้นมาทันที
เคธี่มาถึงห้องพักผู้ป่วยของโม่เสี่ยวฮุ่ยแล้วก็เคาะประตู
“เชิญค่ะ” ลี่จุนซินมาดูแลแม่ตั้งแต่เช้า
ถึงแม้โม่เสี่ยวฮุ่ยจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ลี่จุนถิงบอกว่าช่วงนี้โม่เสี่ยวฮุ่ยสุขภาพจิตไม่ดีนัก จึงขอร้องให้เธอพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ
แม้ว่าลี่จุนซินไม่เห็นด้วยกับเหตุผลนี้ แต่ก็เห็นด้วยกับการที่ให้โม่เสี่ยวฮุ่ยพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลไประยะหนึ่ง
เคธี่ผลักประตูเข้าไป ยังไม่ทันเห็นโม่เสี่ยวฮุ่ย ก็เอ่ยเรียกเสียงดังขึ้นมาก่อนแล้ว : “คุณแม่คะ หนูมาเยี่ยมแล้วค่ะ”
วินาทีที่เดินพ้นมุมห้องออกมา ก็มองเห็นลี่จุนซินนั่งดูแลโม่เสี่ยวฮุ่ยอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ
ตอนที่ลี่จุนซินเห็นเคธี่ ก็อึ้งไป เธอคิดไม่ถึงว่าเคธี่จะมาเยี่ยมแม่ของตัวเองถึงโรงพยาบาล
โม่เสี่ยวฮุ่ยเมื่อเห็นเคธี่ก็ดีใจมาก รีบตอบกลับว่า : “ดีจังเลย ป้ากำลังเบื่ออยากมีคนอยู่เป็นเพื่อนพอดี”
เคธี่ยิ้มพลางชูกล่องอาหารเก็บอุณหภูมิที่อยู่ในมือของตัวเองไปมา : “คุณแม่ดูสิคะว่าหนูเอาอะไรมาด้วย?”
โม่เสี่ยวฮุ่ยตาวาวขึ้นมาด้วยความอยากรู้ : “อะไรเหรอจ๊ะ?”
เคธี่พูดพลางวางกล่องอาหารเก็บอุณหภูมิลงบนตู้ข้างหัวเตียง จากนั้นได้เปิดกล่องออก แล้วกลิ่นหอมของซุปไก่ก็โชยออกมาทันที อบอวลไปทั่วทั้งห้อง
“ซุปไก่เหรอ? โม่เสี่ยวฮุ่ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจปนดีใจ
เคธี่พยักหน้า : “หนูเคยได้ยินมาว่าคนป่วยให้ทานซุปไก่จะช่วยบำรุงดีที่สุด หนูเลยไปหาวิธีทำซุปไก่ เพื่อที่จะฝึกทำให้คุณแม่ทาน แต่ใครจะไปรู้ว่ามือของหนูนั้นซื่อบื้อมาก ทำตั้งหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า”