เคธี่พูดพลางก้มหน้า แววตาดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย
โม่เสี่ยวฮุ่ยรีบปลอบใจ : “ไม่เป็นไรหรอกนะ แค่ตั้งใจทำก็พอแล้ว”
โม่เสี่ยวฮุ่ยไม่ถือสาเรื่องลูกสะใภ้ทำอาหารเป็นหรือไม่เป็นหรอก เธอเป็นถึงคุณนายตระกูลลี่ จะเลี้ยงดูหญิงสาวคนหนึ่งไม่ได้เชียวเหรอ?
เคธี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย : “หนูเลยให้พ่อครัวที่บ้านหนูทำให้ ต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะ หนูทำได้รสชาติแย่มากจริง ๆ ไม่กล้าเอามาให้คุณแม่ทาน”
โม่เสี่ยวฮุ่ยได้ฟังก็ดีใจ แกล้งพูดเล่นว่า : “ไม่เป็นไรไม่เป็นไรหรอก มีใจนึกถึงกันก็พอแล้ว หนูยังดีที่คิดจะทำอะไรมาให้ป้าทาน หนูดูจุนซินสิ เฝ้าป้าตั้งแต่เช้ายันค่ำ ยังไม่เห็นจะทำอะไรบ้างเลย”
โม่เสี่ยวฮุ่ยพูดพลางแกล้งมองลี่จุนซินอย่างตำหนิ
ลี่จุนซินรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที ทั้งที่ตัวเองมาพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนโม่เสี่ยวฮุ่ยทุกวัน แต่โม่เสี่ยวฮุ่ยกลับมาตำหนิตัวเองหาว่าไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลย ในใจจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
ลี่จุนซินพูดอย่างโมโหว่า : “ได้ งั้นต่อไปหนูไม่มาแล้ว แม่ให้คนอื่นมาดูแลแม่แล้วกัน”
โม่เสี่ยวฮุ่ยรู้ว่าลูกสาวต้องน้อยใจแน่ ๆ จึงรีบยิ้มแล้วเอ่ยว่า : “ดูสิ ดูสิ พูดเล่นเอง คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ แกก็เป็นลูกสาวสุดที่รักของแม่นะ แม่จะต่อว่าแกได้ยังไงกันล่ะ”
โม่เสี่ยวฮุ่ยพูดพลางโอบลี่จุนซินไว้ แล้วลูบตัวเธอไปมา
ถึงแม้ในใจยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่ เพราะหลายวันก่อน เพิ่งทะเลาะกับเคธี่ แล้วโม่เสี่ยวฮุ่ยกลับเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเคธี่ ไม่ว่าพูดอะไรลี่จุนซินก็รู้สึกไม่ดีทั้งนั้น
แต่ยังดีที่โม่เสี่ยวฮุ่ยยังรู้จักปลอบตัวเอง ลี่จุนซินเป็นคนประเภทถ้าพูดดีทำดีด้วยจะใจอ่อน ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรมากมาย สีหน้าก็ดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
เคธี่คิดในใจว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้คืนดีกับลี่จุนซิน จึงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า : “คุณแม่คะ หนูรู้ว่าจุนซินยังโกรธหนูอยู่”
โม่เสี่ยวฮุ่ยมองไปทางเคธี่ด้วยความสงสัยเล็กน้อย
เคธี่พูดพลางย้ายไปนั่งข้างโม่เสี่ยวฮุ่ย แล้วกล่าวโทษตัวเองว่า : “วันนั้นจุนซินนัดหนูทานข้าว จากนั้นบริษัทก็เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ทำให้อารมณ์ไม่ดี เลยอารมณ์เสียใส่เธอไปบ้าง เกินเลยไปหน่อย ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้คิดอะไร แต่หลังจากกลับไปก็พบว่าจุนซินเมินหนู หนูถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย”
เคธี่พูดพลางก้มหน้าลง ใบหน้าท่าทางสำนึกผิด
ถึงแม้เคธี่พูดถูกในบางส่วน แต่ลี่จุนซินก็ยังมีสีหน้าเหมือนเดิม คือยังคงเย็นชาเล็กน้อย
โม่เสี่ยวฮุ่ยก็มองออกว่าระหว่างเด็กทั้งสองคนมีปัญหากันอยู่บ้าง ลูกสาวตัวเองเหมือนจะยังไม่ยอมยกโทษให้
โม่เสี่ยวฮุ่ยจึงคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เพราะอยากให้ลี่จุนซินสนับสนุนเคธี่ ถึงตอนนั้นทั้งสองคนก็จะได้เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน จะทะเลาะกันเพราะเรื่องแค่นี้ได้ยังไง ถ้าเกิดถูกเจียงหยุนเอ๋อพูดจาใส่ร้ายให้ผิดใจกันจะทำยังไงล่ะ
เมื่อคิดถึงตรงจุดนี้ โม่เสี่ยวฮุ่ยก็โอบไหล่ลี่จุนซิน : “จุนซินจ๊ะ เคธี่สำนึกผิดแล้ว ถ้าแกไม่ยกโทษให้ เธอก็คงสู้หน้าไม่ได้แล้ว”
ตัวเองคอยสอนลูกสาวมาตลอดว่าให้ใจกว้าง จะทำให้ตระกูลลี่เสียหน้าไม่ได้นะ
ลี่จุนซินอ้าปาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี
เคธี่เห็นสีหน้าของลี่จุนซิน เริ่มใจอ่อนบ้างแล้ว จึงรีบคว้าโอกาสไว้ : “จุนซิน ฉันผิดเองแหละ ยกโทษให้ฉันเถอะนะ ต่อไปฉันจะระวังให้มากกว่านี้”
เคธี่พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ทำเอาลี่จุนซินรู้สึกทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
ในเมื่อเคธี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว และก็สำนึกผิดแล้วด้วย ลี่จุนซินเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร จึงได้เอ่ยปากพูดว่า : “เอาล่ะ ฉันก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ฉันไม่ควรมีอะไรก็เก็บเงียบไว้ในใจไม่ยอมพูดออกมา”
“งั้นความหมายของเธอก็คือ ยกโทษให้ฉันแล้วสินะ?” แววตาของเคธี่ดูตื่นเต้นเล็กน้อย
ลี่จุนซินพยักหน้า
เมื่อเห็นลี่จุนซินพยักหน้า เคธี่ก็กระโดดลงมาจากขอบเตียง รีบตรงไปหาลี่จุนซิน จากนั้นก็กอดลี่จุนซินไว้ แล้วกระโดดโลดเต้นไปมา เอาแต่พูดอย่างตื่นเต้นดีใจว่า : “จุนซิน ขอบคุณเธอนะที่ยกโทษให้ฉัน”
ลี่จุนซินถูกเคธี่กอดจนแทบจะหายใจไม่ออก : “พอได้แล้ว พอได้แล้ว เธอรีบหยุดเลยนะ ฉันจะ……”
เห็นลี่จุนซินหน้าแดง เคธี่จึงปล่อยมือ : “ขอโทษนะ ฉันตื่นเต้นดีใจมากไปหน่อย”
โม่เสี่ยวฮุ่ยเห็นทั้งสองคนคืนดีกัน ก็ดีใจเป็นธรรมดา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เคธี่ออกความเห็นขึ้นมา : “จริงสิคะ คุณแม่ซุปไก่นี้ต้องทานตอนร้อน ๆ นะคะ หนูเกือบลืมไปแล้ว”
พูดพลางเดินกลับไปที่ตู้ตรงหัวเตียง แล้วตักซุปไก่ใส่ถ้วยให้โม่เสี่ยวฮุ่ย จากนั้นก็ยื่นให้โม่เสี่ยวฮุ่ย อีกทั้งยังพูดอย่างเป็นห่วงด้วยว่า : “คุณแม่คะ ระวังร้อนนะคะ”
โม่เสี่ยวฮุ่ยรับซุปไก่ไว้ด้วยความปลื้มปิติ : “ขอบใจจ๊ะเคธี่”
สำหรับเคธี่นั้น เรียกได้ว่าโม่เสี่ยวฮุ่ยยิ่งมองก็ยิ่งชอบ
เคธี่ได้ตักซุปให้ลี่จุนซินอีกถ้วยหนึ่งด้วย : “จุนซินเธอก็ชิมหน่อยสิ ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวบ้านฉันไม่ธรรมดาเลยนะ”
ลี่จุนซินรับซุปมาทาน ส่วนโม่เสี่ยวฮุ่ยก็เอ่ยชื่นชมซุปไก่ของเคธี่ไม่หยุดปาก
“คุณแม่ช่วงนี้สุขภาพค่อนข้างดีใช่ไหมคะ? หนูเห็นคุณแม่ค่อนข้างสดชื่นมีชีวิตชีวา” เคธี่มองโม่เสี่ยวฮุ่ยซ้ายทีขวาที
“ต้องขอบคุณหนูเลยล่ะ ทุกอย่างเลยดีขึ้น” โม่เสี่ยวฮุ่ยตอบพลางทานซุปไปด้วย
“อิอิ” เคธี่เอามือไขว้หลังแล้วหัวเราะออกมา “คุณแม่คะ หนูเพิ่งเรียนวิธีนวดมา ให้หนูลองนวดดูไหมคะ?”
โม่เสี่ยวฮุ่ยได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกปลาบปลื้มใจมาก แล้วรีบส่ายหน้า : “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก ป้าไม่เป็นไร”
แต่ไม่รอให้โม่เสี่ยวฮุ่ยปฏิเสธก่อน เคธี่ได้เอามือของตัวเองไปวางไว้บนขาของโม่เสี่ยวฮุ่ยแล้ว จากนั้นก็เริ่มบีบนวดให้เธอ
โม่เสี่ยวฮุ่ยเห็นอย่างนั้นก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
เคธี่ค่อย ๆ นวดให้โม่เสี่ยวฮุ่ย : “คุณแม่คะ น้ำหนักมือระดับนี้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ดีมากจ๊ะ ดีมาก” โม่เสี่ยวฮุ่ยพยักหน้าหงึก ๆ “ฝีมือนวดระดับนี้ นวดเก่งกว่าที่ป้าไปเสียเงินนวดตามสถาบันเสริมความงามอีกนะ”
“ฮ่าฮ่า คุณแม่ชอบก็ดีแล้วล่ะค่ะ” เคธี่นวดไปพลาง หยอกล้อกับโม่เสี่ยวฮุ่ยไปพลาง
ลี่จุนซินยืนอยู่ข้าง ๆ มองเคธี่และโม่เสี่ยวฮุ่ยพูดคุยหยอกล้อกัน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึงหวง เลยพูดอย่างน้อยใจว่า : “เหอะ ฉันว่า พวกเธอสองคนถึงจะเหมือนแม่ลูกกันนะ ส่วนฉันก็เหมือนส่วนเกินคนหนึ่ง”
โม่เสี่ยวฮุ่ยได้ยิน ก็รีบดึงลี่จุนซินไว้ แล้วโอบลี่จุนซินไว้ในอ้อมกอดตัวเอง : “ดูเด็กคนนี้สิ ทำไมใจแคบอย่างนี้ คนอื่นจะหัวเราะเอาได้นะ”
ลี่จุนซินหัวเราะแหะแหะออกมา ที่จริงเมื่อเคลียร์ปัญหากับเคธี่ เธอก็ไม่ได้ถือสาอะไรมากมายแล้วล่ะ คำพูดพวกนี้ก็แค่พูดเล่นเท่านั้น
“แม่ หนูจะช่วยทุบนวดให้แม่ด้วยนะคะ” ลี่จุนซินพูดพลางเดินไปด้านหลังของโม่เสี่ยวฮุ่ยแล้วทุบหลังให้โม่เสี่ยวฮุ่ย
โม่เสี่ยวฮุ่ยสีหน้ามีร่าเริง รู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้มีความสุขมากที่สุดเลย
เมื่อนึกถึงภาพเหล่านี้ก็คิดว่าถ้าหากต่อไปเป็นแบบนี้ได้ทุกวันก็คงจะดีมากเลยล่ะ
โม่เสี่ยวฮุ่ยคิดในใจ ว่าตอนนี้ยังมีผู้หญิงอย่างเจียงหยุนเอ๋อที่ขวางหูขวางตาอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา