เคธี่สังเกตอารมณ์ของโม่เสี่ยวฮุ่ยอย่างละเอียด ก็รีบเอ่ยพูดด้วยความห่วงใย : “คุณแม่เป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายใจเหรอ? ทำไมถึงได้ถอนหายใจล่ะคะ”
“ป้าก็แค่รู้สึกเสียดายน่ะ ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีแม่สามีคนไหน ที่ได้รับการดูแลจากผู้หญิงดี ๆ แบบหนู” แววตาโม่เสี่ยวฮุ่ยดูผิดหวังบ้างเล็กน้อย
เมื่อได้ยินที่โม่เสี่ยวฮุ่ยพูด สีหน้าของลี่จุนซินก็ดูไม่ค่อยปกติขึ้นมา
เธอรู้ว่าโม่เสี่ยวฮุ่ยรังเกียจเจียงหยุนเอ๋อ ไม่พอใจเจียงหยุนเอ๋อ และชอบเคธี่มากกว่า
เคธี่เขินอายเล็กน้อย พูดถ่อมตัวว่า : “คุณแม่ก็ ดูพูดเข้าสิคะ คุณแม่ก็มีลูกสะใภ้ที่ดีอยู่แล้วคนหนึ่งนี่นา กตัญญูรู้คุณต่อคุณแม่อยู่นะคะ”
แววตาโม่เสี่ยวฮุ่ยดูร้ายกาจขึ้นมาทันที : “กตัญญูที่ไหนกันล่ะ มันไม่ฆ่าป้าก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ไอหยา คุณแม่คะ เรื่องทั้งหมดนี่อาจเป็นการเข้าใจผิดกันก็ได้ อย่าคิดมากเลยนะคะ” ถึงแม้เคธี่จะพูดอย่างนี้ แต่ลึก ๆ ดีใจจนเนื้อเต้น แทบอยากจะให้โม่เสี่ยวฮุ่ยคิดให้ได้แบบนี้ไปตลอด
“เข้าใจผิดอะไรกันล่ะ เจียงหยุนเอ๋ออยากให้ป้าตาย เลยจัดฉากให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้นมา!” โม่เสี่ยวฮุ่ยได้ยินมีคนแก้ต่างแทนเจียงหยุนเอ๋อ อารมณ์ก็เดือดพล่านขึ้นมา
“แม่คะ อย่าพูดให้ฟังดูแย่ขนาดนั้นเลย หยุนเอ๋อจะอยากให้แม่ตายทำไมล่ะคะ” ลี่จุนซินรู้สึกว่าโม่เสี่ยวฮุ่ยพูดอย่างนี้ต่อหน้าเคธี่มันเกินไปหน่อย
ไม่ว่ายังไงเคธี่ก็เป็นคนนอก พูดอย่างนี้จะทำให้ภาพลักษณ์เจียงหยุนเอ๋อดูแย่
“เหอะ ผู้หญิงอย่างเจียงหยุนเอ๋อน่ะไม่ควรเข้ามาอยู่ในตระกูลลี่หรอกนะ แกอย่าเข้าข้างมันหน่อยเลย แกก็ถูกมันหว่านเสน่ห์จนหลงมันไปอีกคนเหมือนอย่างจุนถิงงั้นเหรอ?” โม่เสี่ยวฮุ่ยจ้องเขม็งลี่จุนซิน ลูกสาวของตัวเองแท้ ๆ แต่เวลาอย่างนี้กลับไม่เข้าข้างตัวเอง
“เปล่าค่ะ หนูก็แค่เห็นว่าหยุนเอ๋อไม่ใช่คนแบบนั้น” ลี่จุนซินก้มหน้า
ถึงแม้ลี่จุนซินจะรู้สึกว่าเจียงหยุนเอ๋อค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ได้รู้จักเธอดีมากนักหรอก แต่ว่าคนที่ลี่จุนถิงชอบน่ะ ยังไงก็ไม่แย่หรอกมั้ง
ที่จริงลี่จุนซินอยู่ในสภาพที่ไม่รู้จะไปทางซ้ายหรือขวาดี ไม่รู้เลยว่าตกลงควรเชื่อใครกันแน่
ตอนนี้เคธี่และโม่เสี่ยวฮุ่ยอยู่ด้วยกัน พยายามยัดเยียดว่าเจียงหยุนเอ๋อเป็นผู้ร้ายที่ก่อเหตุเรื่องนี้ จนทำให้ลี่จุนซินรู้สึกปวดหัว
การที่เคธี่มาในวันนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่เสี่ยวฮุ่ยนั้นแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และทำให้ลี่จุนซินลืมเรื่องแย่ ๆ ก่อนหน้านี้ไปได้
ระหว่างทางกลับไป เคธี่นั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่ว่าตอนที่เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา เห็นเบอร์โทรศัพท์ของลี่จุนถิงในหน้ารายชื่อ ก็รู้สึกหนาวเหน็บหัวใจขึ้นมา
ต่อให้ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่เสี่ยวฮุ่ยจะดีมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ต่อให้โม่เสี่ยวฮุ่ยไม่ชอบเจียงหยุนเอ๋อเลยสักนิด และคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะให้ตัวเองเป็นลูกสะใภ้ของเธอ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?
ลี่จุนถิงยังคงไม่สนใจใยดีตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยังมีเจียงหยุนเอ๋ออยู่ เขาก็ไม่มีทางที่จะหันมองตัวเองสินะ?
ถึงแม้จะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ เคธี่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง และยิ่งอิจฉาริษยาเจียงหยุนเอ๋อมากขึ้นไปอีก
ด้วยอารมณ์อย่างนี้ เคธี่ก็เริ่มคิดไตร่ตรองขึ้นมา ว่าเธอควรจะไปร่วมมือกับลี่หุยดีหรือเปล่า? ยังไงซะก่อนหน้านี้ลี่หุยก็เคยเปิดโอกาสให้เธอแล้ว
เดิมทีเคธี่ตั้งใจจะใช้ความพยายามของตัวเอง เพื่อให้โม่เสี่ยวฮุ่ยชอบตัวเองให้ได้ ตอนนี้ดูท่าทางได้เป็นไปตามที่ตัวเองคิดไว้แล้ว แต่สำหรับการใกล้ชิดกับลี่จุนถิงนั้น เหมือนจะยังไม่พัฒนาขึ้นเท่าไหร่เลย
คงจะรู้สึกได้ว่าเคธี่น่าจะกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง ลี่จุนถิงจึงรีบติดต่อไปยังฟั่นเพ่ย
“กับเคธี่น่ะ ช่วงนี้นายระวังเอาไว้หน่อยก็ดีนะ”
ที่จริง ตอนแรกที่ได้รับสายจากลี่จุนถิง ในใจฟั่นเพ่ยก็รู้สึกมีลางสังหรณ์อย่างบอกไม่ถูก ยังไงซะ ปกติแล้วทั้งสองคนก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันเท่าไหร่
ครั้งก่อนเป็นเพราะลี่จุนถิงไหว้วานให้ช่วย ฟั่นเพ่ยกับลี่จุนถิงเองก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และปกติก็เป็นคนที่ชอบรับมือกับผู้หญิงทุกประเภทอยู่แล้ว จึงรับปากตอบตกลงเรื่องนี้ไปอย่างไม่ลังเล
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเคธี่ ทำให้ฟั่นเพ่ยได้เจอกับลี่จุนถิงอยู่หลายวัน หลังจากนั้นเคธี่เหมือนจะรู้สึกรำคาญ และสลัดฟั่นเพ่ยออกไปไม่ได้ จึงได้หลบหน้าไปที่อื่นอยู่สักพัก
ยังไงซะจุดประสงค์ของฟั่นเพ่ยตั้งแต่แรกก็คือแค่คอยตามราวีเคธี่ เพื่อไม่ให้เธอโผล่มาให้ลี่จุนถิงเห็นหน้า และสาเหตุนี้เองที่ทำให้เคธี่หนีไปจากที่นี่ หลังจากนั้นฟั่นเพ่ยก็ไม่ได้ตามตอแยเธออีก
แต่ว่า ตอนนี้ลี่จุนถิงโทรศัพท์มาหาอีกครั้ง คงเป็นเพราะเคธี่กลับมาอีกแล้วล่ะมั้ง?
ขณะที่รับสายโทรศัพท์ ฟั่นเพ่ยจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นจากลี่จุนถิงที่อยู่ในสาย และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำด้วยซ้ำ น้ำเสียงจึงแฝงไปด้วยการหยอกล้อเล็กน้อย
“ไอหยา จุนถิง เมื่อก่อนนายไม่ได้ขยันติดต่อฉันอย่างนี้นี่นา”
ลี่จุนถิงเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นเลย เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนประเภทนั้นอยู่แล้ว
“ในเมื่อนายรับปากไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ยังไงก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ” น้ำเสียงของลี่จุนถิงยังคงเย็นชาอย่างนั้น ราวกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือในตอนนี้ไม่ใช่เขายังไงยังงั้น
ยังดีที่ฟั่นเพ่ยรู้จักกับลี่จุนถิงมานานหลายปี จึงรู้นิสัยแบบนี้ของเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่ได้ถือสาอะไร เพียงแต่เอ่ยพูดพลางหัวเราะคิกคักว่า : “อืม ฉันรู้น่า นายวางใจได้เลย เรื่องนี้ฉันต้องช่วยนายจัดการให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว”
เงียบไปชั่วครู่ ฟั่นเพ่ยก็พูดต่อ : “แต่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ตอนแรกฉันคิดว่าหล่อนถูกฉันตอแยอย่างนั้นแล้ว คงหลบไปอยู่ที่อื่นอีกสักพักใหญ่”
ลี่จุนถิงทำเสียงเหอะออกมา แล้วเอ่ยพูด : “นั่นคงเป็นเพราะนายยังทำไม่ดีพอน่ะสิ”
“คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ไม่แน่ว่า อาจเป็นเพราะหล่อนหลงเสน่ห์ของฉัน ตอนนี้เลยเริ่มเปลี่ยนใจมาชอบฉันแล้ว ไม่แน่ในใจอาจจะหวังให้ฉันรีบไปหาหล่อนก็ได้นะ”
ฟั่นเพ่ยหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยพูด
“หวังให้เป็นอย่างนั้นแล้วกัน” ลี่จุนถิงไม่มีอารมณ์มาพูดหยอกล้อกับฟั่นเพ่ย น้ำเสียงยังคงจริงจังเหมือนเดิม
หลังจากที่ฟั่นเพ่ยตอบตกลงแล้ว ลี่จุนถิงก็ตั้งใจจะวางสายเลย แต่นึกขึ้นได้ว่าฟั่นเพ่ยช่วยเหลือตัวเองมากขนาดนี้ เขาเลยพูดขึ้นว่า : “จริงสิ ถ้ามีเวลาออกมาทานข้าวด้วยกันนะ”
“อืม ฉันต้องมีเวลาแน่นอน เพียงแต่นายนั่นแหละที่งานยุ่ง”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นลี่จุนถิงก็วางสายไป แต่เขาไม่รู้ว่า ขณะที่ทางเขากำลังเจรจาหาทางจัดการปัญหาอยู่นั้น ทางฝ่ายเคธี่เองก็กำลังเจรจากับคนอื่นเพื่อหาทางจัดการเจียงหยุนเอ๋ออยู่เช่นกัน
การมีอยู่ของเจียงหยุนเอ๋อเป็นอุปสรรคใหญ่ของเคธี่ในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ลี่หุยเคยพูดไว้เมื่อก่อน เคธี่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวขึ้นมา
ตอนนั้น เธอไม่อยากตอบตกลงเลยสักนิด