บทที่ 430 ตงเหมยแดกดัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 430 ตงเหมยแดกดัน

บทที่ 430 ตงเหมยแดกดัน

หลังจากที่กุ้ยสวิ้นเหอกลับมา เขาก็เห็นกุ้ยตงเหมยอยู่หน้าโต๊ะ หยิบสิ่งของบนโต๊ะพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง “อันนี้ ท่านแม่ ข้าต้องการเสื้อผ้าชุดนี้ เสื้อผ้าที่ท่านพี่สวมงดงามมาก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องการสิ่งนี้!”

กุ้ยตงเหมยเลือกหนึ่งในผ้าสีแดงสดและเลือกปิ่นมาหนึ่งอัน แม้ว่าปิ่นจะแย่กว่าของพี่สาวมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่กุ้ยตงเหมยไม่เคยเห็นมาก่อน

“ท่านแม่ ข้าก็อยากได้ปิ่นนี้ด้วย!” ผ่านไปครู่หนึ่ง มือของกุ้ยตงเหมยก็เต็มไปด้วยข้าวของจนไม่สามารถถืออะไรไว้ได้อีก

กุ้ยซื่อที่อยู่ด้านข้างดูไปยิ้มไป กุ้ยชุนเจียวหายไปแล้ว และไม่รู้ว่ากลับไปที่ห้องแล้วหรือยัง

“ท่านแม่ ท่านพี่โชคดีอะไรเช่นนี้! ข้าคิดว่านางหนีไปพร้อมกับพ่อค้าคนนั้น แต่ไม่คิดว่านางจะไปช่วยลูกชายของเถ้าแก่หลี่ได้!” กุ้ยตงเหมยกล่าวโดยไม่ปิดบัง แต่นางไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของกุ้ยซื่อที่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย

“ตงเหมย เจ้าเลิกพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้แล้ว!” กุ้ยซื่อรีบปิดปากกุ้ยตงเหมยและกล่าวอย่างประหม่า เมื่อเห็นว่าแม่ของนางประหม่ามาก กุ้ยตงเหมยก็ตีมือของกุ้ยซื่อและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านแม่ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น! ในเมื่อท่านพี่ไม่ได้หนีไปกับคนอื่น! ท่านจะกังวลอะไร!”

กุ้ยตงเหมยหยิบของมาทีละอย่าง เห็นอันนี้ก็ชอบ เห็นอันนั้นก็ชอบ และหลังจากนั้นไม่นาน กองข้าวของนางก็สูงพะเนิน กุ้ยซื่อกล่าวอย่างลำบากใจ “เอาล่ะ ๆ พอแล้ว พอได้แล้ว!”

ราวกับว่าคำพูดของกุ้ยซื่อทำให้กุ้ยตงเหมยไม่มีความสุขอย่างมาก “ท่านพี่โชคดีเช่นนี้แล้ว แต่ข้ากลับไม่ได้รับอนุญาตให้หยิบของมากกว่านี้! หึ ท่านแม่กับท่านพ่อลำเอียง ไม่ว่าอะไรก็ให้แต่ท่านพี่”

ขณะที่กุ้ยตงเหมยกำลังพูด แต่นางกลับจ้องของบนโต๊ะอย่างไม่วางตา และการเคลื่อนไหวของมือก็ไม่หยุดขยับ แค่คิดว่าจะเอาเพิ่มอีกนิด เอาเพิ่มอีกหน่อย

เมื่อเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ลดลงเล็กน้อย กุ้ยซื่อก็รู้สึกราวกับว่านางโดนดึงเนื้อออกมา หัวใจรู้สึกมืดมนและรู้สึกไม่ค่อยดี

เมื่อกุ้ยตงเหมยเห็นว่ากุ้ยซื่อไม่ได้ขัดขวางตนเอง และคำพูดของนางก็ไม่น่าฟังขึ้นเรื่อย ๆ “ท่านแม่ เถ้าแก่หลี่คงจะยังเด็กใช่หรือไม่ เขาดูเหมือนอายุประมาณสามสิบปี ท่านแม่ดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่สิ มันดีจริง ๆ และรถม้านั่น ท่านแม่นั่งมาสบายมากไหม ข้าไม่เคยนั่งรถม้าที่หรูหราเช่นนั้นมาก่อนเลย!”

ในใจของกุ้ยตงเหมยเต็มไปด้วยความอิจฉาและกล่าวอย่างลับ ๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านว่าที่ท่านพี่ช่วยลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่หลี่ เพราะนางอยากได้รับสิ่งตอบแทนใช่หรือไม่?”

“เจ้า…หมายความว่าอย่างไร?” กุ้ยซื่อมองไปที่กุ้ยตงเหมย หัวใจของนางพลันเต้นผิดจังหวะ

“ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่คิดว่า ถ้าท่านพี่แต่งงานกับครอบครัวที่มั่งคั่งเช่นนั้นก็คงจะดี!” กุ้ยตงเหมยอิจฉาเป็นอย่างมาก “ข้าจะสามารถใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับนาง ได้นั่งรถม้าสุดหรู และกลายเป็นคนเมือง”

ก่อนที่กุ้ยซื่อจะได้ทำอะไร กุ้ยสวิ้นเหอที่เพิ่งกลับมาก็โกรธจัด

“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ?” กุ้ยสวิ้นเหอจ้องไปที่กุ้ยตงเหมยด้วยความโกรธ “เจ้าลองพูดอีกครั้งสิ!”

กุ้ยตงเหมยรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของกุ้ยสวิ้นเหอที่ราวกับว่าเขากำลังจะกินคน แต่นางก็ยังกล่าวต่อ “ตอนนี้ท่านพี่กลายเป็นผู้มีพระคุณของเถ้าแก่หลี่ และเถ้าแก่หลี่ก็จะฟังสิ่งที่ท่านพี่พูด ในเวลานั้นขอให้เถ้าแก่หลี่ให้เงินเพิ่ม หรือแนะนำครอบครัวที่ร่ำรวยให้ อนาคตของท่านพี่คงดีกว่าอยู่กับพ่อค้าคนนั้นมาก ข้าแค่คิดแทนนางก็เท่านั้น”

กุ้ยตงเหมยกล่าวอย่างจริงจัง แต่นางไม่ได้สังเกตว่าข้างหลังมีกุ้ยชุนเจียวที่กำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าซีดเผือด

“อ่า…” กุ้ยชุนเจียวเปล่งเสียงต่ำ ยกมือขึ้นและบีบวงกบประตูข้างหน้าด้วยความโกรธ นางแสดงความโกรธและความคับแค้นใจออกมา ดวงตาคู่นั้นกระหายเลือด และดูเหมือนว่าสายตาคู่นั้นมีเจตนาฆ่า

เมื่อได้ยินว่ากุ้ยตงเหมยยังคงพูดถึงเรื่องของนางอยู่ ทุกคำล้วนเหมือนปลายเข็มทิ่มเข้าไปยังส่วนที่เปราะบางที่สุดของหัวใจกุ้ยชุนเจียว

เหตุการณ์ของถูหมิ่นทำให้นางหมดเรี่ยวแรง ตอนแรกนางคิดว่าจะพักผ่อนได้เต็มที่เมื่อกลับถึงบ้าน แต่นางไม่คิดเลยว่ากุ้ยตงเหมยจะเผยรอยแผลเป็นและจุดอ่อนของนางที่ละประโยค

เมื่อคิดถึงสองสามวันที่ผ่านมา แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานและหลี่ฝานจะได้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือนาง แต่น้องสาวที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายกลับเอาแต่ทำร้ายจิตใจนาง

กุ้ยตงเหมยมองไปข้างหลังและเห็นว่ากุ้ยชุนเจียวกำลังมองตนเองด้วยความโกรธ ก่อนที่นางจะได้สติกลับมา นางก็เห็นกุ้ยชุนเจียวมายืนอยู่ข้างหน้า มือขวาของนางยกขึ้นสูงแล้วฟาดลง

เพี้ยะ!

กุ้ยตงเหมยถูกตบจนหน้าหันไปด้านข้าง นางตกตะลึงไปเล็กน้อยและรู้สึกแสบร้อนบนใบหน้า เด็กหญิงกุมใบหน้าและจ้องเขม็งไปที่กุ้ยชุนเจียว

เพียงชั่วครู่ นางกลับมารู้สึกตัวและจ้องไปที่กุ้ยชุนเจียวอย่างโกรธเกรี้ยว นางกัดฟันกรอดและกล่าวว่า “กุ้ยชุนเจียว นี่ท่านกล้าตบข้าหรือ?”

กุ้ยชุนเจียวถูกความโกรธแผดเผาในหัวใจจนไม่สามารถยับยั้งช่างใจที่จะตบกุ้ยตงเหมยได้ นางรู้สึกร้อนตัวและเศร้าเล็กน้อย แต่เมื่อกุ้ยตงเหมยกล้ากล่าวเรื่องแย่ ๆ เกี่ยวกับนาง นางจะปล่อยให้ตงเหมยทำตามใจตัวเองเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด

“ตบเจ้าแล้วทำไมล่ะ? ปากเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของเจ้านะ เจ้ามาพูดเช่นนี้กับพี่สาวได้อย่างไร? คำหนึ่งก็หนี อีกคำก็หนี เจ้ากลัวคนจะไม่ได้ยินหรืออย่างไร!” กุ้ยชุนเจียวคำรามด้วยเสียงต่ำ

กุ้ยตงเหมยโกรธเป็นอย่างมาก หากแต่ปากของนางยังคงไม่ยอมหยุด และคำพูดที่เลวร้ายก็ออกมาอีกครั้ง “ทำไมล่ะ ท่านทำเรื่องเลวร้ายลงไปเอง แล้วทำไมข้าจะพูดถึงไม่ได้เล่า ท่านไปชอบพอกับพ่อค้าที่ต่ำต้อยคนนั้นเอง ทำไมถึงไม่อนุญาตให้ข้าพูดกันล่ะ!”

“เจ้า เจ้า…” กุ้ยชุนเจียวโกรธจนแทบจะเป็นลม ในอดีต ตอนที่นางพบพ่อค้าผู้นั้นครั้งแรก กุ้ยชุนเจียวรู้ดีว่าการที่ครอบครัวที่มีลูกสาวสองคนมักจะไปหาชายหนุ่มเสมอ ๆ นั้นมันไม่ดี แต่กุ้ยตงเหมยชอบสิ่งของชิ้นเล็กเหล่านั้นมาก ทุกครั้งนางจึงติดตามตนเองไปตลอดทาง

สำหรับกุ้ยตงเหมย มันไม่เป็นไรเพราะนางยังเด็กอยู่ แต่กุ้ยชุนเจียวแตกต่างออกไป นางอายุสิบสองปีและจะถึงวัยแต่งงานในอีกไม่ช้า เด็กสาวคนหนึ่งที่มักจะอยู่กับชายหนุ่มรูปงามเสมอ ถูหมิ่นผู้นั้นก็มีวาทศิลป์เป็นอย่างมาก เขาสามารถโม้จนลิงหลับได้ ไป ๆ มา ๆ กุ้ยชุนเจียวก็ควบคุมตัวเองไม่ได้และหลงเขาทันที

แต่หลังจากหลงไปแล้ว กุ้ยตงเหมยบอกกุ้ยซื่อทันที

เดิมทีกุ้ยชุนเจียวเป็นคนที่ดื้อรั้น เมื่อเห็นกุ้ยซื่อต่อต้านนางอย่างรุนแรง ด้วยความดื้อรั้น นางจึงอยู่กับพ่อค้าผู้นั้นตคลอด ไม่เพียงแค่รู้สึกดี แต่นางชอบเขาไปแล้ว