บทที่ 426 เพื่อให้ได้กินเนื้อ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 426 เพื่อให้ได้กินเนื้อ

บทที่ 426 เพื่อให้ได้กินเนื้อ

ในขณะที่ฟ่านชูฟางคุยกับเด็ก ๆ อาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะของห้องหลักแล้ว

มีโต๊ะซึ่งทำจากไม้สนตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ดูลักษณะเหมือนจะเป็นของเก่าหลายสิบปี แต่ยังแข็งแรงอยู่เลย

โต๊ะตัวนี้เจ้าของคนเก่าทิ้งเอาไว้ คุณย่าซูเห็นแล้วชอบเลยไม่ได้เปลี่ยนออก แต่ทำความสะอาดอย่างระมัดระวังแล้วใช้เป็นโต๊ะอาหารแทน

ตอนที่บ้านซูกินข้าว โต๊ะตัวนี้นั่งกันสิบกว่าคนก็เต็มแล้ว

วันนี้มีสองสามีภรรยาต่งและบอดีการ์ดอีกหนึ่งคน รวมแล้วเป็นสิบเอ็ดคนพอดี โต๊ะตัวนี้จึงดูสมบูรณ์แบบกว่าเดิม

อาหารจานเย็นสี่จาน อาหารจานร้อนแปดจาน ทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะ หน้าตาดูน่ากินมาก

เมื่อมองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยสีสัน กลิ่นหอม และรสชาติโอชะ แม้แต่ต่งหยวนจงยังตกใจเลย

ที่ตกใจกว่าคือ โต๊ะตัวนี้มีเพิ่มชั้นเข้าไปด้วย

“พี่ครับ ทำไมโต๊ะตัวนี้ถึงมีอีกชั้นล่ะ?”

ไม่รู้ก็แค่ถาม เขาคิดว่ามันไม่แปลกถ้าจะถามออกไป

เพื่อความสะดวกในการกิน เสี่ยวเถียนเพิ่มอีกชั้นเข้าไปตามแบบคนรุ่นหลัง

เวลาวางจานอาหารไว้บนนั้น เราสามารถหมุนจานเลื่อนได้ตลอด สะดวกกับทุกคนด้วย มีโต๊ะแบบนี้ในร้านเราด้วยนะ แต่ต่งหยวนจงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“คุณปู่ต่งค่ะ พอเราวางอาหารไว้แบบนี้ ถ้าอยากกินก็แค่หมุนจานเลื่อนค่ะ!”

เสี่ยวเถียนแสดงให้ดู

“บ้านเรามีหลายคน เวลากินข้าวเลยไม่ค่อยสะดวกจึงคิดวิธีนี้ออกมาค่ะ!”

เดี๋ยวในยุคหลัง ๆ มันจะเป็นที่นิยมมาก แต่ในยุคนี้ยังไม่แพร่หลายเท่าไร

ต่งหยวนจงเอ่ยชม “ยังเป็นเด็กที่ฉลาดเหมือนเดิมเลยนะ ดีมาก ๆ!”

คุณปู่ซูให้อีกฝ่ายนั่งเก้าอี้ตัวหลัก แต่ต่งหยวนจงไม่เห็นด้วย

สุดท้ายคุณปู่ก็ยังนั่งที่เดิม ส่วนต่งหยวนจงนั่งตรงซ้ายมือของคุณปู่ และฟ่านชูฟางนั่งถัดจากเขาต่อไปทางซ้าย

คุณย่าซูนั่งตรงขวามือของคุณปู่ ตามด้วยเหลียงซิ่วและเสี่ยวเถียน

งานเลี้ยงวันนี้จัดเตรียมโดยคุณย่าซูและเสี่ยวเถียน เหลียงซิ่วไม่ได้ทำอะไรเลย เธอจึงหันไปทำของขวัญเตรียมไว้ให้แขกแทน

รอถึงเวลากินข้าวค่อยเอาออกมา

เด็ก ๆ บ้านซูกับบอดีการ์ดนั่งกันตามสบาย เพราะอายุไล่เลี่ยกันเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก

บอดีการ์ดมองอาหารรสเลิศบนโต๊ะ เหมือนเข้าสู่สังเวียน อันที่จริงเขาอยากเกลี้ยกล่อมไม่ให้อีกฝ่ายออกมากินข้าวข้างนอกตามใจอยาก

เพราะเขาเป็นนาย หากมีคนมีแรงจูงใจซ่อนเร้นขึ้นมาจะทำยังไง?

อีกอย่างถ้าคุณหมออู๋รู้เข้าคงไม่วายโดนเทศแน่นอน เขากลัวเหลือเกิน!

ทว่าเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร ชายหนุ่มทนไม่ไหวจนต้องยอมแพ้แล้วนั่งรอกินด้วย

เขาปลอบใจตัวเอง เจ้านายนิสัยยังไงเขารู้ดี เกลี้ยกล่อมไม่ได้หรอก

อีกอย่างคือ อีกฝ่ายบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าจะมากินข้าวที่บ้านซู

ถ้าเขาเกลี้ยกล่อมตอนนี้จะทำให้เจ้าตัวไม่สบายใจไม่ใช่หรือ?

ท่านผู้นำไม่มีความสุข แล้วเขาที่เป็นบอดีการ์ดจะไปมีความสุขเหมือนกันได้ยังไง?

พอเห็นบอดีการ์ดของตนไม่เกลี้ยกล่อม ต่งหยวนจึงได้แต่ยิ้มกว้าง

เด็กคนนี้มีแววตาที่ดี อีกสองปีจะส่งเข้ากองทัพ อนาคตรุ่งแน่นอน ส่วนตัวบอดีการ์ดไม่รู้เลยว่าเจ้านายได้วางแผนอนาคตของเขาไว้ให้แล้ว

เพราะตอนนี้สองตาของตนกำลังจ้องเขม็งไปที่อาหาร

เป็นเพราะติดตามท่านผู้นำอยู่บ่อยครั้งจึงเคยเห็นมาบ้าง แต่ทำไมรู้สึกว่าอาหารพวกนั้นไม่ดีเท่าอาหารตรงหน้านี้เลยล่ะ?

คุณย่าซูมีความสามารถในการทำอาหารจริง ๆ

ถึงฐานะทางบ้านจะไม่ค่อยดี ต้องกัดก้อนเกลือกิน แต่แกก็ยังทำอาหารด้วยใจเสมอ

และตอนนั้นนั่นล่ะที่ทักษะได้รับการขัดเกลา

ผักกาดขาว หัวไชเท้า และมันฝรั่ง เมื่ออยู่ในมือคุณย่าซูกลับฝานออกมาได้อย่างงดงาม

ส่วนบะหมี่และซาลาเปาไส้ผักธรรมดา คุณย่ากลับทำให้สมบูรณ์แบบได้!

ฝีมือที่บ่มเพาะมานานหลายปี ตอนนี้ได้สำแดงเดชแล้ว

ทักษะการใช้มีดดีถึงขนาดที่อาหารที่ผ่านมีดเล่มนั้นออกมาดูงดงามจนพูดไม่ออก

ที่จริงมันง่ายมากนะ เพราะคุณย่าซูมีพรสวรรค์ทั้งยังชำนาญการ ฝีมือแม่นยำจนน่ากลัวมาก

แถมยังปรุงรสชาติได้ดีอีกด้วย ไม่เยอะหรือไม่น้อยจนเกินไป

เมื่อหลอมรวมสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกัน ผลลัพธ์จึงเปลี่ยนไปพอสมควร

อาหารในวันนี้เน้นวัตถุดิบเป็นพิเศษ และเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ ถ้าให้เสี่ยวเถียนพูด เธอบอกได้ว่าในเมืองหลวงไม่มีทางหาของดี ๆ แบบนี้ได้หรอก

ทั้งหัวหอมทั้งกระเทียมต่างก็ซื้อมาจากระบบร้านค้าทั้งนั้น ของดีคุณภาพสูง จะไม่ดีได้ยังไง?

หลังจากที่แสดงความถ่อมตัว ต่งหยวนจงเป็นคนแรกที่ขยับตะเกียบ

อาหารอย่างแรกที่คีบมาคือหมูตุ๋นชิ้นหนึ่ง

ตอนกัดคำแรก กลิ่มหอมคลุ้งปาก ซึ้งใจเหลือเกิน

ไม่แปลกใจที่บ้านซูเปิดร้านอาหารในเมืองหลวงได้ ได้ยินว่ากิจการดีมาก

มีทักษะแบบนี้ก็ตั้งหลักในเมืองได้อยู่แล้ว การจะมีชื่อเสียงก็ไม่ใช่ปัญหา!

“พี่สะใภ้ทำอาหารเก่งจริง ๆ เลยครับ เหมาะที่จะได้รับชื่อเสียงว่าเป็นเชฟอันดับหนึ่งในเมืองหลวงเลยนะ!”

แม้จะเป็นคำชม แต่มันจริงใจมาก เพราะในใจเขาคิดว่าคนบ้านซูก็เหมือนคนของตน

คุณย่าซูรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชมจากท่านผู้นำ จึงเอ่ยตอบกลับไปอย่างงุ่มง่าม “ท่านจะสุภาพเกินไปแล้ว อาหารบ้าน ๆ ธรรมดาแค่นี้เอง ไม่ควรได้รับคำชมหรอก!”

บอดีการ์ดมองอาหารบ้าน ๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลย นี่เรียกว่าอาหารบ้าน ๆ ได้หรือ?

“อาหารบ้าน ๆ ที่ไหนมีทั้งปลา กุ้ง ปูล่ะ แค่นี้ก็ว่ามากพอแล้วนะ แต่ยังมีซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน หมูตู๋นน้ำแดงอีก ไม่ต้องใช้เงินใช้ตั๋วซื้อเลยหรือไง?”

อาหารบนโต๊ะมีแต่ของเลิศรส แม้จะเป็นจานผัก แต่บอดีการ์ดก็ยังคิดว่าค่อนข้างเลี่ยน

ครอบครัวท่านผู้นำไม่กินอาหารบ้าน ๆ แบบนี้หรอก!

ต้องบอกว่าชายหนุ่มคิดถูก

ตอนเสี่ยวเถียนคิดเรื่องอาหาร เธอก็คิดถึงเรื่องความเลี่ยนด้วย

เพราะงั้นจึงเตรียมอาหารจานเย็นสองจาน และอาหารจานร้อนสองจานไงล่ะ

“นี่ไม่นับว่าเป็นอาหารบ้าน ๆ หรอกนะ พี่สะใภ้ ปกติฉันกินของพวกนี้ไม่ได้หรอก สามวันได้กินหมูตุ๋นสักมื้อถือว่าดีถมถืดแล้ว”

ต่งหยวนจงเป็นผู้นำ เรื่องของกินของดื่มมีข้อกำหนดด้วยนะ ไม่สามารถกินตามใจอยากได้ ทุก ๆ วันจะมีอาหารจานเนื้อหนึ่งจาน บางครั้งก็เป็นไก่ บางครั้งก็ปลา หรือหมูตุ๋น

ต่งหยวนจงไม่สนใจไก่หรือปลาอะไรพวกนั้นหรอก เพราะเขาชอบกินหมูตุ๋นที่น้ำแดงมันเป็นประกายมากกว่า

“งั้นวันนี้คุณก็กินให้พอเลยค่ะ!” ฟ่านชูฟางยิ้ม

ต่งหยวนจงมีความุสขเหมือนเด็ก ๆ

ผู้เป็นภรรยาเอ่ยว่า “หมอบอกว่าเขาอายุเยอะแล้ว กินดื่มต้องใส่ใจหน่อย อย่ากินไขมันมากไป แต่เขาตะกละเหลือเกินค่ะ!”

ต่งหยวนจงถอนหายใจ ก่อนจะยิ้ม “ตอนยังเด็ก บ้านฉันจนนี่นา เลยไม่เคยได้กินเนื้อในช่วงปีใหม่เลย เห็นลูกชายซื่อบื้อเจ้าของบ้านถือถ้วยเนื้อมันชิ้นโต ๆ ก็คิดแต่ว่าจะต้องตั้งใจทำงานให้ดี จะได้กินเนื้อมันแบบนั้นได้บ้าง”

ระหว่างพูด เสี่ยวเถียนเหมือนจะเห็นอีกฝ่ายน้ำลายไหล

รู้เลยว่าเนื้อมันชิ้นโตในตอนนั้นต้องตราตรึงใจในความทรงจำมากขนาดไหน