ฆาตกรมีประสบการณ์โชกโชนอย่างนั้นหรือ
เมื่อเจินซื่อเฉิงเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว ทั้งหมดก็ตกอยู่ในความหวาดผวา
เว้นก็แต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่กลับรู้สึกโมโหเสียอย่างนั้น ที่แท้ก็พวกทำผิดซ้ำซาก!
“แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้”
สายตาที่เจินซื่อเฉิงไล่มองไปยังฝูงชนคล้ายแสงแดดลามเลียไปทีละนิด เขากล่าวต่อ “คนผู้นี้น่าจะมีทักษะในการต่อสู้ เพราะรู้ว่าจะต้องโจมตีที่อวัยวะใด หากตอนที่เกิดเรื่องเขามิได้ยืนอยู่ใกล้อันจวิ้นอ๋อง ก็หมายความว่าต้องเป็นผู้ที่เคยฝึกเคลื่อนไหวในที่มืดมาอย่างช่ำชอง…”
ผู้คนจินตนาการภาพตามอรรถาธิบายของเจินซื่อเฉิง แม้ว่าภาพที่ได้จะยังคลุมเครือ คล้ายมีม่านกระดาษบังอยู่ แต่ถึงกระนั้น หากได้แสงสว่างอีกหน่อย ภาพทั้งหมดก็จะปรากฏชัดแจ่มแจ้ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีดเค้นสมองสุดฤทธิ์ ที่เจินซื่อเฉิงกล่าวมาจะเป็นผู้ใดไปได้
แต่ทว่าในหัวยังคงขาวโพลนไร้คำตอบ สุดท้ายจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจินซื่อเฉิงตามเดิม
เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นในท่าคารวะ “กระหม่อมเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือพลางบอก “ไม่ว่าเจินอ้ายชิงจะว่าอย่างไร ข้าก็เชื่อว่าข้อสันนิษฐานของเจ้าย่อมมีเหตุผลมารองรับเสมอ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ต่างก็สะดุ้งโหยงกันถ้วนหน้า
ฝ่าบาทมิสมควรตรัสเช่นนี้ หากเจินซื่อเฉิงใช้อำนาจหน้าที่มาแก้แค้นจะทำอย่างไร
ในสมองแต่ละคนเริ่มค้นหาความทรงจำว่า ในอดีตเคยทำผิดต่อเจินซื่อเฉิงมาก่อนหรือไม่
แต่แล้วกลับมีความเงียบแปลกประหลาดเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง
จิ่งหมิงฮ่องเต้พระพักตร์เคร่งเครียด ทำให้ฝูงชนในห้องต่างหลุบตามองต่ำ ทว่ามุมปากยังคงไว้ซึ่งความเย้ยหยัน
การลงมือฆาตกรรมต่อหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดว่าเขาจะใจดีปล่อยไปงั้นหรือ
คราวนี้ไม่มีทางรอดตัวไปได้เป็นอันขาด!
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิด ข้าก็โกรธเป็นเหมือนกัน วันนี้จะสำแดงให้คนชั่วพวกนั้นได้ชมเป็นขวัญตา
เมื่อมีแรงสนับสนุนจากฮ่องเต้ เคราของเจินซื่อเฉิงก็กระตุกวูบก่อนจะชี้นิ้วออกไป “กระหม่อมคิดว่า ฆาตกรจะต้องเป็นหนึ่งในหน่วยองครักษ์อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
คำกล่าวนั้นทำให้ผู้คนตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ได้ยินก็แทบกระเด้งตัวออกจากที่ประทับ
เพราะรอบๆ ตัวเขามีองครักษ์ล้อมอยู่ หรือว่าฆาตกรจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มนี้
นอกจากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้ฮ่องเต้แล้ว ยังทำหน้าที่เป็นกองทหารรักษาพระองค์ยามเสด็จประพาสตามที่ต่างๆ ซึ่งหน่วยองครักษ์จินอู๋ส่วนหนึ่งจะทำหน้าที่คุ้มกันฮ่องเต้ยามเสด็จออกนอกวังด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ในขณะนี้ ณ ที่เกิดเหตุจึงมีทั้งหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน และหน่วยองครักษ์จินอู๋ เมื่อเจินซื่อเฉิงเอื้อนเอ่ยวาจาเช่นนั้นก็เท่ากับว่ากำลังผลักคนทั้งสองกลุ่มไปที่ปากเหว
ส่วนคนที่หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ถึงกระนั้นจำต้องนับถือความใจกล้าของเจินซื่อเฉิง
ขนาดไม่มีหลักฐานชี้ชัดยังกล้ากล่าวหาผู้บังคับบัญชาหน่วยองครักษ์จินอู๋และผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน กล้าหาญสมเป็นเจินซื่อเฉิง
“กระหม่อมสังเกตเห็นว่า ขณะที่ตำหนักสว่างขึ้น ข้างกายของอันจวิ้นอ๋องไม่มีองครักษ์ใดอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ดังนั้นกระหม่อมต้องขออนุญาตตรวจสอบองครักษ์ทุกผู้ทุกนายที่อยู่ภายในตำหนักนี้ เพราะการพบรอยเลือดตามตัวจะเป็นหลักฐานชี้ว่า รอยเลือดนั้นกระเด็นมาถูกขณะที่ลงมือฆาตกรรมอันจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เจินซื่อเฉิงไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะกระทบใครบ้าง ยังคงกล่าวขออนุญาตไปตามจริง
ความหมายของถ้อยคำนั้นชัดเจนในตัวเอง ในเมื่อตอนที่อันจวิ้นอ๋องเสียชีวิต ไม่มีองครักษ์อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเลยสักคน นั่นก็แสดงว่าองครักษ์ที่มีรอยเลือดเปื้อนอยู่คือฆาตกรอย่างไม่ต้องสงสัย
“แล้วถ้าองครักษ์ทั้งหมดไม่มีใครมีรอยเลือดบนตัวเล่า” วังไห่ ผู้บังคับบัญชาหน่วยองครักษ์จินอู๋ถามขึ้น
“ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจตัดข้อสันนิษฐานที่ว่าฆาตกรเป็นหนึ่งในองครักษ์ไปได้อยู่ดี” เจินซื่อเฉิงลูบเคราพลางคิดว่า การที่วังไห่กล่าวถามเช่นนั้นช่างโง่เขลา “เพราะหากองครักษ์หลุดจากข้อกล่าวหาไปแล้ว นั่นหมายความว่าจะต้องกลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ฉะนั้นตอนนี้ จำเป็นต้องเริ่มจากจุดที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด”
วังไห่มิได้กล่าวต่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตาไปหาหันหรานแวบหนึ่ง
หันหรานรีบออกคำสั่งให้ทหารองครักษ์จิ่นหลินตั้งแถวเรียงหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจินซื่อเฉิง
เจินซื่อเฉิงค่อยๆ เดินผ่านองครักษ์หนุ่มร่างสูงชะลูดที่มีสีหน้าเคร่งขรึมไปทีละนาย และกลับมาเริ่มสำรวจอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นแถวอีกครั้ง
ในขณะนั้นเขาแอบคิดว่า หากพระชายาเยี่ยนอ๋องอยู่ด้วยก็คงดี เพราะนางคงได้กลิ่นคาวเลือดจากตัวนายทหารเป็นแน่ หรือต่อให้เป็นเยี่ยนอ๋องก็คงดี แม้จะดูทึ่มทื่อไปเสียหน่อย แต่กระนั้นก็เป็นคนเอาจริงเอาจังไม่น้อย…
ครั้นขาดลูกมือเช่นนี้ เจินซื่อเฉิงก็ได้แต่ถอนหายใจเพียงลำพัง และพยายามรวบรวมสติตั้งใจสืบหาเบาะแสต่อไป
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ เจินซื่อเฉิงตรวจสอบมาจนถึงองครักษ์จิ่นหลินคนสุดท้ายก่อนจะกล่าวว่า “ขณะนี้ยังไม่พบเบาะแสใดๆ”
หันหราน ผู้บังคับบัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงคราวลุ้นระทึกของวังไห่ ผู้บังคับบัญชาหน่วยองครักษ์จินอู๋
องครักษ์จินอู๋เข้ามายืนเรียงแถวเพื่อรอการตรวจค้น
เจินซื่อเฉิงเดินตรงมา สายตาหันไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าอ่อนเยาว์
เจียงจั้นดึงมุมปากเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจนละสายตากลับไปที่ต้นแถว
เขาตรวจค้นองครักษ์ทีละนาย แต่แล้วก็ชะงักฝีเท้าอยู่ที่หน้าเจียงจั้น
เจียงอันเฉิงแทบกระเด้งตัวออกจากที่นั่ง
ผู้เป็นบิดาหวั่นวิตกเหนือคณา แม้เขาจะเชื่อสุดใจว่าบุตรชายไม่มีทางฆ่าคน แต่ในวินาทีนั้นก็ไม่อาจเก็บซ่อนความหวั่นกลัวไว้ได้
แม้เขาจะเชื่อว่าลูกชายไม่มีทางเป็นฆาตกร แต่ก็ใช่ว่าไอ้ลูกชายหาเรื่องมาให้เขาแค่ครั้งสองครั้งที่ไหนกัน
เจินซื่อเฉิงก้าวเท้าถอย และกล่าวแก่องครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าเจียงจั้น “ก้าวออกมาซิ”
หัวใจที่เต้นโครมครามของเจียงอันเฉิงพลันสงบลง เขาแอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
พี่เจินก็เล่นเอาจนเขาตกใจแทบแย่ คอยดูกลับไปจะลงโทษให้ดื่มให้เข็ด
เจินซื่อเฉิงเดินวนรอบๆ องครักษ์จินอู๋นายนั้น พลางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เหตุใดเครื่องแบบของเจ้า ถึงไม่เหมือนคนอื่นๆ”
องครักษ์ที่ถูกถามก้มหน้าลงมองเครื่องแบบประจำกายสีน้ำเงินดำบนตัว พร้อมถามด้วยสีหน้างุนงง “ผู้น้อยมิทราบว่าชุดของตัวเองต่างจากผู้อื่นอย่างไร…”
เจินซื่อเฉิงคว้าหมับเข้าที่ข้อมือขององครักษ์นายนั้น พลางกล่าวฉาดฉาน “สีบนแถบแขนเสื้อของเจ้าแตกต่างจากคนอื่นๆ”
เสื้อผ้าของคนปกติจะค่อนข้างกว้างและมีแขนเสื้อขนาดใหญ่ ทว่าเครื่องแต่งกายขององครักษ์จะเป็นชุดพอดีตัวและมีแขนเสื้อแคบเพื่อให้สะดวกแก่การเคลื่อนไหว
เครื่องแต่งกายของหน่วยองครักษ์จินอู๋โดยหลักจะประกอบไปด้วยสีน้ำเงินและสีดำ แต่จะมีบริเวณแถบบนแขนเสื้อเท่านั้นที่เป็นสีน้ำเงินขนอีกา
จริงอยู่ที่แถบบนแขนเสื้อขององครักษ์ผู้นั้นจะเป็นสีน้ำเงินขนอีกา แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นว่าสีของมันอ่อนกว่าปกติเล็กน้อย
การยืนกรานถึงความต่างของใต้เท้าเจิน ทำให้ผู้คนตกอยู่ในสภาวะสับสนงงงวย
สายตาของเจินซื่อเฉิงฉายแววคมปลาบ เขาปล่อยมือจากข้อมือนั้น พลางหันไปถามององครักษ์จินอู๋อีกนายที่มีสีหน้าแตกต่างออกไป “เจ้ามีอะไรจะพูดงั้นหรือ”
องครักษ์ผู้นั้นเอาแต่บื้อใบ้
“ใต้เท้าเจินถามเจ้า เจ้าก็ตอบสิ” วังไห่คาดคั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
องครักษ์นายนั้นลังเลชั่วอึดใจก่อนจะกล่าว “สีของแถบแขนเสื้อเหมือนกับเครื่องแบบเมื่อปีที่แล้ว…”
เหมือนกับวังไห่จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพุ่งตัวไปหาองครักษ์นายนั้นแล้วพลิกชายเสื้อของเขาขึ้นดู
ด้านในชายเสื้อมีตัวเลข “18” ปักอยู่
“ชุดนี้ถูกทำขึ้นเมื่อปีกลาย” วังไห่ใบหน้าคร่ำเคร่ง
เจินซื่อเฉิงเหลือบไปหาองครักษ์นายนั้นพลางลูบเครา “ไหนบอกมาซิว่า ในพิธีสักการะฟ้าดินเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเลือกใส่ชุดเก่ากาล”
“เพราะขณะที่กำลังจะออกมา ผู้น้อยบังเอิญทำชุดเปื้อน จึงรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดนี้ขอรับ” องครักษ์กล่าวตอบฉะฉาน
ฝูงชนลอบส่ายศีรษะ
ดูเหมือนเจินซื่อเฉิงจะคิดมากไปเอง สวมชุดเก่าจะกลายเป็นปัญหาได้อย่างไรกัน
ในขณะนั้น เจินซื่อเฉิงสังเกตเห็นว่าเจียงจั้นกำลังส่งสายตาให้เขา