เจินซื่อเฉิงละสายตากลับมาโดยไม่ได้ส่อพิรุธใด พร้อมหันไปพูดกับองครักษ์จินอู๋ที่กำลังยืนเรียงแถวในขณะนั้นว่า “ขอให้ทุกคนย้อนนึกดูและบอกออกมาว่า ขณะที่ตำหนักตกอยู่ในความมืด มีสิ่งใดต่างไปหรือไม่ ต้นแถวจะเป็นคนเริ่มพูดก่อน จำไว้ว่า ขอเพียงแค่รู้ว่าสิ่งนั้นแปลกไปจากเดิมก็บอกออกมาได้เลย ต่อให้ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสริม “วังไห่ สั่งทุกคนให้ทำตามที่ใต้เท้าเจินบอก”
เมื่อได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้แล้ว องครักษ์จินอู๋คนแรกของแถวก็เริ่มค้นความทรงจำว่ามีส่วนใดที่เขารู้สึกแปลกไป
เจินซื่อเฉิงตั้งใจฟัง แต่ทว่ายังไม่ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบคดี
ไม่นานก็ถึงคราวของเจียงจั้น
เจียงจั้นยกมือขึ้นคารวะ “ใต้เท้า ผู้น้อยประจำการอยู่ที่บริเวณประตูตำหนัก ขณะที่ตำหนักมืดมิดยากแก่การมองเห็น ฉะนั้นสิ่งที่ผู้น้อยรับรู้อาจคลาดเคลื่อน…”
จากคุณสมบัติของเจียงจั้น เขายังไม่สามารถเข้าไปประจำอยู่ในตำหนัก ทว่าวังไห่ทราบดีว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้โปรดปรานคนหน้าตาดี โดยเฉพาะในโอกาสพิเศษเช่นนี้ การเห็นลูกแตงบิดเบี้ยวหรือเม็ดพุทราแตกไม่สมบูรณ์อาจทำให้ฮ่องเต้รู้สึกขัดหูขัดตา ดังนั้นเขาจึงจับเจียงจั้นสลับตำแหน่งกับองครักษ์อีกนายหนึ่ง
“ว่ามาเถอะ ไม่ถือเป็นความผิด” เจินซื่อเฉิงกล่าวเสียงเรียบ พลางคิดในใจ ตั้งเวทีรอเป็นชาติแล้วยังจะลีลาอยู่อีก
สีหน้าของเจียงจั้นติดจะลังเล “ในขณะที่ตำหนักตกอยู่ในความมืด เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย ผู้น้อยรู้สึกว่าสหายนายทหารที่อยู่ใกล้กันมิได้ยืนประจำอยู่กับที่…”
เจินซื่อเฉิงเอ่ยแทรก “ในเมื่อเจ้าบอกว่ามองไม่เห็น เหตุใดเจ้าถึงยืนยันว่าสหายนายทหารที่อยู่ใกล้กันหายตัวไปช่วงหนึ่ง”
เสียงหนึ่งเอ่ยแผ่วเบา “ว่ากันว่า เหล่านักรับสามารถรับรู้ลมหายใจของคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าองครักษ์จินอู๋จะฝีมือร้ายกาจเพียงนี้”
เจียงอันเฉิงลูบคางเพียรคิด บุตรชายของเขามิน่าเก่งกาจปานนั้น
เจียงจั้นแถลงไขอย่างไม่รอช้า “เนื่องจากผู้น้อยเข้ามาประจำการในตำหนักเป็นครั้งแรก ยังไม่มีประสบการณ์ พอทั้งตำหนักมืดมิดจึงร้องเรียกชื่อสหายนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ ทว่าไร้เสียงตอบรับ ผู้น้อยเลยคิดว่าเขาน่าจะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะมิฉะนั้นคงขานรับไปแล้ว”
ทุกคน “…” มีเหตุผลมากแม๊
“สหายนายทหารผู้นั้นคือใครกัน” เจินซื่อเฉิงถาม
เจียงจั้นหันไปหาองครักษ์จินอู๋ที่สวมเครื่องแบบของปีก่อน
เจินซื่อเฉิงหันตามพลางถาม “เขารึ”
เจียงจั้นพยักหน้ารับ
“บอกมาซิว่า ตอนนั้นเจ้าหายไปไหน”
องครักษ์นายนั้นเผยสีหน้าใสซื่อ “ผู้น้อยยืนอยู่ที่เดิม มิได้เดินไปไหนขอรับ”
เจินซื่อเฉิงชี้นิ้วไปที่เจียงจั้น “ในเมื่อเจ้าบอกเช่นนี้ แล้วตอนที่เขาเรียกเจ้า เหตุไฉนเจ้าถึงไม่ขานรับ”
องครักษ์จินอู๋กล่าวตอบด้วยท่าทีเคารพอย่างสุดซึ้ง “ผู้น้อยเพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด หากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน องครักษ์จินอู๋วิ่งพล่านไปมาจะรักษาความปลอดภัยของเหล่าพระองค์ท่านได้อย่างไร ผู้น้อยเกรงว่าคนร้ายอาจอาศัยจังหวะที่สถานการณ์ชุลมุนก่อเหตุร้าย ดังนั้นผู้น้อยจึงไม่กล้าแม้แต่จะว่อกแว่กเลยสักวินาทีเดียว อีกอย่างผู้น้อยไม่อาจบอกให้ผู้ใดทราบได้ว่า ผู้น้อยยืนอยู่ในตำแหน่งใด จะได้สะดวกต่อการสังเกตสิ่งผิดปกติ”
เจินซื่อเฉิงดึงมุมปาก
องครักษ์จินอู๋นายนี้วาจาคมคายเสียเหลือเกิน
เขาพิศมององครักษ์นายนั้น องครักษ์มองกลับมาที่เขา ทั้งคู่สบตากันแวบหนึ่ง
ชุดเมื่อปีก่อน และการคาดคะเนของสหายนายทหารอีกคน ยังไม่อาจเรียกว่าหลักฐาน
ในขณะนั้นเจียงจั้นเอ่ยขึ้น “ที่แท้เจ้าไม่ขานรับเป็นเพราะสาเหตุนี้?”
องครักษ์นายนั้นพยักหน้า “เจียงเอ้อร์เจ้ายังใหม่ ไม่ทราบเรื่องนี้คงไม่แปลก”
เจียงจั้นเลิกคิ้วพลางบอก “จริงอยู่ที่ข้ายังใหม่ เพียงแต่เมื่อกี้ข้ายังพูดไม่จบ”
องครักษ์มองเจียงจั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ใต้เท้าเจิน เนื่องจากไร้เสียงขานรับ ผู้น้อยจึงค่อยๆ ขยับตัวไปยังทิศที่สหายนายนี้ยืนอยู่ แต่หลังจากนั้นผู้น้อยสัมผัสได้ว่ามีวัตถุบางอย่างแฉลบเข้าที่ขากางเกง และไม่นานตำหนักก็สว่างขึ้น”
“เหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นอย่างไร”
“หากเขายืนอยู่ที่เดิมจริงๆ เขาจะยืนห่างออกไปเพียงสองก้าว สิ่งที่ทำให้ผู้น้อยรู้สึกแปลกใจคือ วัตถุที่แฉลบมาถูกขากางเกง…” เจียงจั้นชายตามองสหายผู้นั้นพร้อมคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย “มันเป็นก้อนกลมๆ นุ่มๆ… ใต้เท้า ผู้น้อยขอไปตรวจสอบดูที่ประตูได้หรือไม่ขอรับ”
เจินซื่อเฉิงผงกศีรษะแล้ว เจียงจั้นถึงจะเดินไป
ทุกสายตาเคลื่อนตาม
ในขณะนั้นประตูตำหนักถูกปิดเอาไว้ ทั้งสองด้านมีม่านห้อยลงมาเป็นชั้นๆ และมีองครักษ์เฝ้าอยู่ที่นั่นอีกจำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันคนเข้าออก
เจียงจั้นเดินไปแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เขาเอื้อมมือไปที่ม่านที่ทิ้งตัวลงถึงพื้น
ลูบๆ คลำๆ ชั่วครู่ ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นพร้อมวัตถุบางอย่างในมือ
เมื่อทั้งหมดเห็นสิ่งของในมือเจียนจั้นแล้ว สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันคือชุดที่ถูกม้วนเป็นก้อนอย่างลวกๆ มีสีน้ำเงินดำเป็นหลัก และลายสีทองแซมบางจุด
เจียงจั้นถือก้อนผ้านั้นเดินไปหาเจินซื่อเฉิง
“นี่คือเครื่องแบบของหน่วยองครักษ์จินอู๋ใช่หรือไม่” เจินซื่อเฉิงหันไปถามวังไห่
ในตอนนั้นวังไห่ไม่สนใจว่าผู้ร้ายจะเป็นหนึ่งในหน่วยองครักษ์จินอู๋หรือไม่ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาตัวฆาตกร
เขาพยักหน้าโดยพลัน “นี่คือเครื่องแบบของหน่วยองครักษ์จินอู๋”
“นี่ก็หมายความว่า มีคนใช้จังหวะที่ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดนำชุดนี้ไปซ่อน…” เจินซื่อเฉิงแก้ม้วนผ้า ตรวจตราอย่างถี่ถ้วน และพบว่ามีรอยเลือดเปื้อนอยู่เล็กน้อย
เนื่องจากชุดเป็นสีน้ำเงินดำ แม้มีรอยเลือดก็มิได้ดูสะดุดตา แต่เพราะเจินซื่อเฉิงสืบคดีฆาตกรรมมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงสังเกตเห็นได้ในทันที
เจินซื่อเฉิงชูชุดนั้นขึ้นพลางกล่าว “ฆาตกรช่างรอบคอบยิ่งนัก แม้รู้ว่าการยืนในตำแหน่งด้านข้างจะสามารถหลบเลือดที่กระเซ็นมาจากร่างของอันจวิ้นอ๋องได้ แต่ถึงกระนั้นก็กังวลว่าอาจมีเลือดบางส่วนกระเด็นมาถูกตัว เขาจึงสวมชุดที่เหมือนกันสองตัว ครั้นลงมือฆาตกรรมเสร็จแล้วก็ถอดชุดแรกและนำไปซ่อน เท่านี้การฆาตกรรมก็สมบูรณ์แบบ”
เจินซื่อเฉิงหันไปหาองครักษ์จินอู๋นายนั้นพลางส่ายหน้า “ทว่าน่าเสียดาย เพราะโลกนี้ไม่มีคดีฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบ หากลงมือแล้วย่อมทิ้งร่องรอยเอาไว้…”
ใบหน้าขององครักษ์ย่ำแย่เข้าขั้น เขาพุ่งปราดไปหาเจินซื่อเฉิง แต่จู่ๆ เท้าของเขาก็ลอยขึ้นกลางอากาศ และถูกลากตัวกลับไป
เจียงจั้นนั่งคร่อมอยู่บนร่างขององครักษ์นายนั้น พร้อมต่อยเขาอย่างแรงอีกสองหนพลางกล่าวอย่างเดือดดาล “ฆ่าคนจนติดเป็นนิสัยแล้วรึ ถึงได้กล้าลงมือกับใต้เท้าเจิน!”
แม้ว่าความสามารถของเจียงจั้นไม่อาจสู้องครักษ์นายนั้น แต่อาศัยจังหวะชิงลงมือก่อน หมัดหนักเล่นเอาองครักษ์นายนั้นเบลอไปชั่วขณะ
กลุ่มองครักษ์จินอู๋เข้าล้อมวงเตรียมโจมตี คมดาบนับไม่ถ้วนตรึงแขนขาองครักษ์นายนั้นเอาไว้
“ช้าก่อน!” เจินซื่อเฉิงตะโกนสุดเสียงจนกลบเสียงร้องโอดครวญ
กลุ่มองครักษ์หันไปมองวังไห่ผู้บังคับบัญชา ส่วนวังไห่ก็หันไปมองจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่เจียงจั้นชั่วอึดใจก่อนจะกล่าว “พาตัวไปสอบสวนเสียก่อน”
กว่าจะจับตัวได้ช่างยากเย็น จะฆ่าตายเสียเดี๋ยวนี้คงไม่เกิดประโยชน์อันใด จิ่งหมิงฮ่องเต้สัมผัสประสบการณ์นี้มาโดยตรง
วังไห่เดินไปและสั่งให้นำตัวองครักษ์นายนั้นขึ้นมา
“พาตัวไปสอบที่ตำหนักหลัง เจินอ้ายชิง ผู้บังคับบัญชาวังไห่ ผู้บัญชาการหันหราน...ตามข้ามา ส่วนคนอื่นๆ ให้อยู่ในตำหนักนี้ไปก่อน” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวเสร็จแล้วก็เดินไปด้านหลัง
คนที่ถูกเรียกชื่อเดินตามไป ทิ้งให้คนที่เหลือยืนอ้าปากค้าง
พวกเขาก็อยากรู้เหตุผลว่าทำไมอันจวิ้นอ๋องถึงถูกฆ่า ฝ่าบาทนี่ช่างใจร้ายจริงๆ!
ครั้นมาถึงตำหนักหลัง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ส่งสัญญาณให้วังไห่เริ่มไต่สวนได้ ส่วนตัวเขาก็เข้าไปที่ห้องด้านใน
เสียงการทรมานดังขึ้นเป็นระยะ จิ่งหมิงฮ่องเต้หมวดคิ้วมุ่นรอคำตอบ
ผ่านไปกว่าสองชั่วยาม วังไห่เข้ามารายงานด้วยสีหน้าละอายใจ “ฝ่าบาท นายคนนี้ปากแข็งยิ่งนัก เกรงว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ…”