ในตอนนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้คร้านจะไว้หน้าวังไห่เต็มทนจึงบอก “ให้หันหรานไปไต่สวนแทน”
ในแง่ของการสอบสวนและลงทัณฑ์ทรมาน ดูเหมือนว่า หันหรานผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจะชำนิชำนาญมากกว่า
ทว่าในตอนนั้น เจินซื่อเฉิงกล่าวแทรก “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำถามอยากจะถามองครักษ์นายนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเป็นเจินซื่อเฉิง จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับมีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเพียงพยักศีรษะเป็นเชิงอนุญาต
เจินซื่อเฉิงเดินออกไป
ในขณะนั้น เนื้อตัวขององครักษ์นายนั้นมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่วร่าง เขาลืมตาดูเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือเจินซื่อเฉิง เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง
เจินซื่อเฉิงหยุดยืนตรงหน้าเขาเงียบงันชั่วนิรันดร์
ความเงียบปกคลุมอยู่นานจนองครักษ์นายนั้นต้องลืมตาขึ้นมาดู เขาจ้องมองไปที่เจินซื่อเฉิงด้วยสายตางุนงง
ครั้นเจินซื่อเฉิงเห็นว่าเป็นไปตามแผนจึงหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะของเขาทำให้อีกฝ่ายงงงัน
“ข้าไขคดีมานับร้อยจึงได้ข้อสรุปอยู่ข้อหนึ่ง” เจินซื่อเฉิงเริ่มกล่าวคล้ายผู้อาวุโสกำลังให้โอวาท
ชายผู้นั้นกระตุกเปลือกตาเล็กน้อยก่อนจะมองตรงมา
เจินซื่อเฉิงลูบเคราให้เข้าที่ “การจะฆ่าคน มีสาเหตุอยู่ไม่กี่อย่าง หากไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่ง เพื่ออำนาจ เพื่อเรื่องชู้สาว ก็เพื่อแก้แค้น…”
เขาไล่กล่าวทีละเหตุผลพร้อมสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าขณะที่เขาเอ่ยถึง ‘เรื่องชู้สาว’ หนังตาของชายผู้นั้นกระตุกวูบสองครั้ง
ในขณะนั้นเจินซื่อเฉิงเริ่มจับทางได้
ในสายตาคนรอบข้างอาจคิดว่า การด่วนสรุปจากพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปเพียงเล็กน้อยไม่น่าเชื่อถือ มีเพียงคนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มาอย่างยาวนานเท่านั้นที่สัมผัสเรื่องมหัศจรรย์นี้ได้
ในวินาทีนั้นคล้ายกับมีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น และจุดสำคัญของคดีนี้ก็ถูกเผยออกมา
เจินซื่อเฉิงกล่าวต่อ “เมื่อครู่ข้าไปสืบข้อมูลส่วนตัวของเจ้ามา ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นบุตรชายคนสุดท้องของชิ่งชุนปั๋ว หลังจากที่บิดามารดาเสียชีวิต จวนของเจ้าก็กระจายกันไปคนละทิศคนละทาง โดยมากแล้วเจ้ามิได้ติดต่อผู้เป็นพี่ชายที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดาเท่าใดนัก นั่นก็หมายความว่า ตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเจ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในวังหลวง ฉะนั้นข้าจึงยังสรุปไม่ได้ว่าเจ้าจะมีความแค้นใดกับอันจวิ้นอ๋อง”
คนผู้นั้นหลับตานิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
“เจ้าไม่ได้เป็นพวกผีพนัน หรือติดสุราเมรัยจนหัวราน้ำ เวลาพักผ่อนก็มิได้มากมายถมเถ ดังนั้นก็ไม่น่าใช่เหตุผลเพราะเรื่องเงิน…” เจินซื่อเฉิงจดจ้องไปที่ชายตรงหน้า พร้อมกล่าวอย่างมั่นใจ “งั้นก็คงเป็นเพราะเรื่องชู้สาวสินะ”
ชายผู้นั้นลืมตาโดยพลัน นัยน์ตาฉายแววตื่นตระหนก
ปฏิกิริยาของชายหนุ่มอยู่ในสายตาของเจินซื่อเฉิงทั้งสิ้น นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจยิ่งขึ้น เจินซื่อเฉิงลูบเครา ส่งยิ้มแน่วแน่ “ให้ข้าลองเดาสถานะของสตรีผู้นั้นสักหน่อย”
เมื่อเห็นว่าเจินซื่อเฉิงจะทำการไต่สวน จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รีบตามออกมา เขาที่ยืนแอบฟังอยู่หลังฉากได้ยินว่าสาเหตุของการฆาตกรรมเป็นเรื่องชู้สาว ความอยากรู้อยากเห็นของฮ่องเต้ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เขาเตรียมท่าเอาหูแนบเข้ากับฉาก
พานไห่รีบดึงตัวฮ่องเต้เอาไว้พร้อมชี้ไปที่ฉากกั้น
ถ้าฮ่องเต้เอาพระกรรณไปแนบ ฉากกั้นคงได้ล้มระเนระนาดเป็นแน่
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับถอยหลังพร้อมเชิดคางขึ้นอย่างสงวนท่าที
ด้านหลังฉากกั้นลม คำกล่าวของเจินซื่อเฉิงปลุกเร้าให้ใจขององครักษ์จินอู๋ผู้นั้นสั่นระรัว
รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดหวั่นใจไม่ได้ ความรู้สึกประหม่าท่วมท้นเต็มประดา
เจินซื่อเฉิงยินดีที่เห็นว่าองครักษ์นายนั้นตกอยู่ในสภาวะกดดัน
เขากล่าวต่อ “เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้วว่า ตลอดช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เจ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในวังหลวง ฉะนั้นบ้านจึงเป็นที่ที่เจ้าไปพักผ่อนเป็นครั้งคราวเท่านั้น เขาเดาว่า เป็นไปได้สูงว่าสตรีนางนั้นจะอยู่ในวังหลวง เช่นนั้นสตรีประเภทไหนกันที่เจ้าจะมีโอกาสคลุกคลีมากที่สุด นางกำนัล?”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่หลบอยู่หลังฉากเหยียดริมฝีปาก
หากองครักษ์และนางกำนัลลอบมีสัมพันธ์ ทั้งคู่จะถูกประหารชีวิต
แม้ในวังจะมีกฎว่า นางกำนัลที่มีอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์สามารถออกจากวังหลวงได้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง นอกจากไทเฮา องค์หญิง และสตรีเชื้อพระวงศ์ สตรีที่เหลือทั้งหมดถือเป็นสมบัติของฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว
แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะไม่ได้หลับนอนกับนางกำนัลเป็นชีวิตจิตใจ แต่ครั้นได้ยินเช่นนี้แล้วกลับรู้สึกไม่ชอบใจนัก
หากทหารองครักษ์ยังกล้าคบหากับนางกำนัล แล้วถ้าเป็นเหล่าสนมเล่า
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวพร้อมกับคำถามของเจินซื่อเฉิง “หรือว่าเป็นนางสนม”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตัวเซจนเกือบชนเข้ากับฉากกั้น
พานไห่ช่วยพยุงฮ่องเต้ไว้ได้ทัน พร้อมยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ
ไอ้คนนี้ กล้าพูดทุกสิ่งที่คิดเลยจริงเชียว!
ทั้งหันหรานและวังไห่ที่ยืนอยู่ข้างๆ หลับตาลงคล้ายกับว่าตนมิได้อยู่ตรงนั้น
องครักษ์จินอู๋หัวเราะเยาะ “ใต้เท้ากล้าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ ไม่กลัวฝ่าบาทลงโทษเลยหรืออย่างไร”
เสียงหัวเราะเยาะของเจินซื่อเฉิงดังยิ่งกว่า “ข้อสันนิษฐานทั้งหมดเพื่อไขคดี ฝ่าบาททรงปรีชา จะลงโทษข้าด้วยสาเหตุใด แต่หากเจ้าลอบสัมพันธ์กับผู้หญิงของฝ่าบาทจริง ข้าว่ารีบสารภาพมาตอนนี้จะดีกว่าปิดบังเอาไว้!”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่หลังฉากพยักหน้าเห็นพ้อง
แม้คำพูดของเจินซื่อเฉิงจะแสลงหูไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็มีเหตุผลยิ่งนัก
องครักษ์จินอู๋เค้นเสียงไม่ยี่หระก่อนจะเบือนหน้าหนี
เจินซื่อเฉิงหัวเราะ “แสร้งเป็นโมโหหมายจะซ่อนความกลัว ดูไปแล้ว ข้าคงเดาไม่ผิด”
“ช่างน่าขัน ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครผู้ทรงสง่าใส่ร้ายป้ายสีองครักษ์ผู้ต่ำต้อยอย่างข้า แล้วข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะโมโหงั้นรึ”
“แน่ว่าเจ้าจะพาลโมโหเป็นฟืนเป็นไฟก็ย่อมได้” เจินซื่อเฉิงกล่าวเสียงเรียบ
องครักษ์เงียบปากโดยพลัน
ยิ่งพูดดูเหมือนจะยิ่งแย่…
เจิงซื่อเฉิงเอามือไพล่หลัง และเดินออกห่างจากองครักษ์นายนั้น พร้อมกล่าววาจาคมคาย “เหยื่อในวันนี้คืออันจวิ้นอ๋อง ซึ่งก่อนหน้านี้ข้าได้สืบสวนคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับเขา ดังนั้นข้าจึงบังเอิญรู้ว่าหมู่นี้เขามีเรื่องผิดใจกับผู้ใด”
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้เคร่งขรึมขึ้นทันใด ส่วนใบหน้าขององครักษ์จินอู๋นายนั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจินซื่อเฉิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้น เขาว่าต่อ “เมื่อปีก่อน ในตอนที่ข้าเพิ่งเข้าเมืองหลวงมารับตำแหน่งใหม่ๆ คดีแรกที่ข้าทำคือ การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ สุดท้ายพอน้ำลดตอผุดปรากฏว่า ผู้ที่ลงมือฆ่าคือคนรับใช้ของอันจวิ้นอ๋อง ด้วยสาเหตุที่ว่า ‘หยางกั๋วจิ้ว’ หมายตานางโลมคนเดียวกันกับอันจวิ้นอ๋อง”
จากคำบอกเล่าของเจินซื่อเฉิง ทำให้ทุกคนในที่นั้นหวนนึกถึงคดีโด่งดังเมื่อปีก่อน
เหอะ เมื่อปีก่อนมีคดีโด่งดังตั้งมากมาย นอกจากคดีของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ แล้ว ยังมีคดีของฉังซิงโหวซื่อจื่อที่ฆาตกรรมหญิงสาวบริสุทธิ์นับสิบราย…
“แม้ว่าคดีจะถูกไขกระจ่างแจ้ง แต่เนื่องจากผู้ที่ลงมือคือคนรับใช้ของอันจวิ้นอ๋อง ฉะนั้นอันจวิ้นอ๋องจึงมิได้ต้องโทษสถานหนัก เพียงแต่ถูกปรับเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เรื่องนั้นทำให้หยางเฟยไม่พอพระทัยอย่างยิ่งยวด…”
ในตอนนั้น ใครต่างก็ทราบดีว่าคนรับใช้เป็นแพะรับบาปแทนอันจวิ้นอ๋อง เพราะบุคคลที่ต้องการกำจัด ‘หยางกั๋วจิ้ว’ แท้จริงคืออันจวิ้นอ๋อง
อันจวิ้นอ๋องเป็นลูกพี่ลูกน้องของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจการกระทำอุกอาจของเขา แต่เพราะพิจารณาผลที่ตามมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจไม่ลงโทษ
ด้วยเหตุนี้ หยางเฟยถึงได้โกรธเคืองจิ่งหมิงฮ่องเต้ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา
เจินซื่อเฉิงจ้องมองไปที่องครักษ์จินอู๋นายนั้นพลางเอ่ยช้าๆ ชัดๆ “คนที่ยุให้เจ้าสังหารอันจวิ้นอ๋องก็คือหยางเฟย!”
ครั้นประโยคนั้นหลุดออกมา ฉากกั้นก็ล้ม ตึง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ฝ่าบาท…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่สนใจเสียงเรียกรอบข้าง เขาสาวเท้าก้าวเข้าไปหาเจินซื่อเฉิง พร้อมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เจินอ้ายชิง ที่เจ้าพูดเป็นความจริงงั้นหรือ”
เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นคารวะฮ่องเต้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ “นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานอันอุกอาจของกระหม่อมเท่านั้น ความจริงเป็นเช่นไร ฝ่าบาทไม่ลองถามจากหยางเฟยดูล่ะพ่ะย่ะค่ะ”