ทั้งหันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน และวังไห่ผู้บัญชาหน่วยองครักษ์จินอู๋ ต่างก็ตกตะลึงเพราะคำกล่าวของเจินซื่อเฉิงกันถ้วนหน้า
ข้อสันนิษฐานที่ว่าหยางเฟยลอบมีสัมพันธ์กับทหารองครักษ์เป็นเพียงข้อสันนิษฐานอันอุกอาจเท่านั้นรึ…
ในชั่วขณะนั้น พวกเขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเจินซื่อเฉิงถึงกล้าตั้งข้อสันนิษฐานตั้งแต่ต้น เพราะหากมีสิ่งผิดพลาดประการใด เขาก็จะขอพระราชทานอภัยจากฝ่าบาท
นี่คงเป็นแผนการเอาตัวรอดตั้งแต่แรกแล้ว
แล้วในตอนนั้นฮ่องเต้มีท่าทีตอบกลับเช่นไร
“ข้าเชื่อว่าข้อสันนิษฐานของเจินอ้ายชิงย่อมมีเหตุผลเสมอ”
ครั้นนึกถึงสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสแล้ว ทั้งสองก็อดเห็นใจฮ่องเต้ไม่ได้ ในวินาทีนั้น ทั้งคู่ได้แต่เฝ้าเตือนตัวเองว่า ต่อไปอย่าได้ข้องแวะกับจิ้งจอกอย่างเจินซื่อเฉิงอีกเป็นอันขาด
ในสถานการณ์ที่มีเมฆหมอกบดบังขมุกขมัวเช่นนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนรอได้แม้แต่เสี้ยววินาที รีบหันไปสั่งพานไห่ “ไปพาตัวหยางเฟยมาเดี๋ยวนี้!”
อย่างน้อยในตอนนั้นก็มีเรื่องให้เขาใจชื้นได้คือ คนที่รู้เรื่องมีไม่มากนัก และทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เขาไว้ใจได้ทั้งนั้น
พานไห่รีบไปตามคำสั่ง
ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก ชวนให้ผู้คนหายใจติดขัด
จิ่งหมิงฮ่องเต้เคาะนิ้วลงบนที่วางแขนโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเคาะก็ยิ่งร้อนใจ ผ่านไปหลายอึดใจก็หยุดลง เขาทิ้งตัวพิงพนักเงียบงัน
อาการนี้มิได้แสดงออกว่าเขาสงบสติลงแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม จิ่งหมิงฮ่องเต้ในขณะนี้ ไม่ต่างอะไรจะคันธนูโกงตัวเกร็งตึงด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมที่พร้อมจะปล่อยศรออกไปทุกเมื่อ ประหนึ่งว่าทันทีที่ปล่อยมือจะทำให้เมืองที่เคยสงบเงียบพลิกพลันผันเปลี่ยนในชั่วพริบตาเดียว
ทั้งหันหรานและวังไห่หวาดหวั่นจนเหงื่อชุ่มโชกไปทั่วร่าง
หากข้อสันนิษฐานถูกต้องก็เท่ากับหวางเฟยสวมเขาฮ่องเต้งั้นหรือ
หากฮ่องเต้เกิดเร้าโทสะขึ้นมาจะไม่ฆ่าปิดปากพวกเขาที่รู้เรื่องความอัปยศนี้หรือ
แม้ไม่เป็นเช่นนั้น แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้…
ไม่รู้ว่าเวลาเลื่อนผ่านไปนานเท่าใด ที่ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับพานไห่ที่เดินรี่เข้ามา
เปลือกตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกวูบ
พานไห่อยู่กับเขามาหลายปี ผ่านเหตุวิกฤติมานับร้อยนับพัน แต่เขากลับไม่เคยเห็นท่าทีเสียอาการเช่นนี้มาก่อน
หรือว่าหยางเฟยได้ทราบข่าวจึงชิงปลิดชีพตัวเองไปเสียก่อน
ครั้นนึกถึงเรื่องที่เฉินเหม่ยเหรินแขวนคอตายหนีความผิด ความคิดนี้จึงแวบเข้ามา
หันหรานและวังไห่สัมผัสถึงเค้าลางร้ายที่กำลังคืบเคลื่อนมาใกล้ ครั้นหันมาสบตากันแล้วก็ค่อยๆ ถอยหลังเข้าไปใกล้กำแพง ทำเสมือนว่าตัวเองเป็นเพียงเสาไม้ต้นหนึ่ง
พานไห่รีบถวายความเคารพจิ่งหมิงฮ่องเต้โดยมิทันได้สังเกตสองคนนั้น และเข้าไปกระซิบที่ข้างหู
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้นทันใด แต่เนื่องจากลุกเร็วเกินไป ร่างกายถึงได้โซเซจนเกือบล้ม
พานไห่เข้าประคองโดยพลันพร้อมขานเรียกเสียงสั่น “ฝ่าบาท พระองค์ต้องถนอมพระวรกายไว้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นปราม สีหน้าในยามนี้เย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขากัดฟันพลางกล่าว “ข้ายังตายไม่ได้!”
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เสียงนั้นราวกับว่าอายุของเขาสู่วัยชราในชั่วพริบตาเดียว “พาข้าไปดู”
พานไห่พยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินออกไปมิได้เกริ่นกล่าว
หันรานและวังไห่สบตากันอีกครั้ง ทั้งคู่เห็นความสงสัยและความหวาดกลัวในสายตาของกันและกัน
คาดว่าฮ่องเต้คงเตรียมรับมือเรื่องสัมพันธ์สวาทของหวางเฟยและองครักษ์ไว้แล้ว เพราะมิฉะนั้นคงไม่ตอบสนองเช่นนี้ นอกเสียจากว่ามีเรื่องที่น่าตกใจกว่านี้…
ทั้งสองไม่กล้าคิดต่อ ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินไปถึงหน้าประตูแล้วก็หันกลับมามองสองคนนั้น มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เจ้าสองคนก็มาด้วย”
ใจของทั้งคู่หล่นวูบ ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ
วัตถุประสงค์หลักของราชนิเวศน์ที่สร้างขึ้นบนภูเขาชุ่ยหลัวคือ ใช้เป็นที่พักแรมในช่วงฤดูหนาว เป็นที่พักผ่อนและที่จัดงานเลี้ยงหลังจากที่องค์จักรพรรดินำเหล่าข้าราชการไปสักการะฟ้าดิน
พระราชวังแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ที่พำนักของเหล่าสตรีจึงเป็นเพียงมุมเล็กๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินมาถึงจุดหมายในเวลาอันสั้นโดยมีพานไห่ช่วยประคอง แม้ในบริเวณนั้นดูเงียบสงบ ทว่ามีข้าหลวงเฝ้าประจำการอยู่ไม่น้อย
ครั้นเห็นจิ่งหมิงฮ่องเต้เดินตรงมา ข้าหลวงก็รี่เข้าไปเปิดประตูทันที
ฮ่องเต้ชำเลืองไปที่พานไห่แวบหนึ่ง
พานไห่พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย
มุมปากของฮ่องเต้กระชับขึ้น พร้อมสาวเท้าก้าวเข้าไปด้านใน
หันหรานและวังไห่ยืนละล้าละลังอยู่ที่หน้าประตูชั่วครู่
เนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่พำนักสำหรับเหนียงเหนียงแห่งวังหลัง แม้ธรรมเนียมอาจไม่ได้เคร่งครัดเทียบเท่าในวังหลวง แต่จากสถานะของพวกเขาทำให้ใจอดรู้สึกตะขิดตะขวงไม่ได้
ภายหลังความอึกอักลังเล ในที่สุดทั้งคู่ก็กลั้นใจก้าวเท้าตามเข้าไป
สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปตามพระเมตตาของพระราชา ฮ่องเต้ปรารถนาทำสิ่งใดก็ทรงทำสิ่งนั้น แม้หลายคนจะทราบความจริงข้อนี้ แต่ก็ยังมิวายเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก มิหนำซ้ำแม้ตัวคนผู้นั้นจะตายจากไปแล้ว ก็ไม่อาจขัดขวางหรือเปลี่ยนแปลงบัญชาของประมุขได้
ความโอ่อ่าน่าครั่นคร้ามของพื้นที่ตรงนี้แตกต่างจากตำหนักหน้าโดยสิ้นเชิง ทางเดินคับแคบนำไปยังส่วนที่เป็นห้องนอน เป็นความสงบเงียบที่แตกต่างออกไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่งสัญญาณให้หันหรานและวังไห่รออยู่ด้านนอก เขาเงยหน้าขึ้น ปล่อยให้หิมะตกพรมบนหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
ประตูปิดลง
จิงหมิ่งฮ่องเต้ภายใต้ใบหน้าถมึงทึงสาวเท้าก้าวไปทีละก้าว ผ่านม่านซ้อนชั้นแล้วชั้นเล่าก่อนจะพบหยางเฟยที่มีผ้าแพรคลุมร่างซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง และไท่จื่อที่ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นพร้อมอาภรณ์หลุดลุ่ย
จิ่งหมิงฮ่องเต้เขม้นมองภาพตรงหน้า ความเดือดพล่านปะทุจนถึงขีดสุด เขายกเท้าถีบเข้าที่ร่างของไท่จื่อ
ไท่จื่อเซล้มลงไปกองก่อนจะกระวีกระวาดลุกขึ้นครวญครางอ้อนวอน “เสด็จพ่อ ลูกเมามาก ลูกเมามากพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลงพลางบอกกับพานไห่ “จับสัตว์ร้ายตัวนี้ไปขัง อย่าปล่อยให้มันหลุดออกไปพล่ามข้างนอกเป็นอันขาด”
พานไห่รับคำสั่งแล้วจึงจัดแจงให้ข้าหลวงพาตัวไท่จื่อไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปหาหยางเฟย
หยางเฟยก้มหน้าเผยให้เห็นคอระหงของนาง
นี่คือนางสนมที่เขาเคยโปรดปราน แต่นางกลับทำเรื่องเลวร้ายเพียงนี้…
“เพราะอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยปากถาม ความโกรธแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
หยางเฟยยังคงเงียบงัน
“เจ้าเป็นคนยุให้ทหารองครักษ์ฆ่าอันจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินคำถามของจิ่งหมิงฮ่องเต้ หยางเฟยจึงยอมเงยหน้าในที่สุด นางพยักหน้าเล็กน้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้คว้าแจกันใกล้มือและปาเข้าไปใกล้หยางเฟย
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ บอกมาว่าเจ้าไปมีสัมพันธ์กับองครักษ์นายนั้นได้อย่างไร แล้วเจ้าเกลี้ยกล่อมไท่จื่อได้อย่างไร!”
จู่ๆ หยางเฟยก็หัวเราะเอาเสียดื้อๆ
เสียงหัวเราะของหญิงสาวคล้ายมีคนสั่นกระดิ่งข้างๆ หู จิ่งหมิงฮ่องเต้หดหู่เหนือคณาจนอยากจะอาเจียน
“ฝ่าบาทหมายถึงจังหู่หรือเพคะ หม่อมฉันกับเขารู้จักกันก่อนที่หม่อมฉันจะเข้าวังเสียอีกเพคะ” หยางเฟยยกนิ้วหมุนเส้นผมพลางๆ “เขาแอบหลงรักหม่อมฉันมานานแล้ว แม้หม่อมฉันจะเข้าวังมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแต่งงานกับสตรีใด ฉะนั้นหม่อมฉันมิจำเป็นต้องวางแผนสมคบคิด แค่ขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ยินดีช่วยแล้วเพคะ”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว หยางเฟยก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย “อย่างเช่นการฆ่าคน”
“เหตุใดเจ้าถึงอยากให้อันจวิ้นอ๋องตายนัก”
“ไม่ผิดหรอกเพคะ” ใบหน้าหญิงสาวที่ยิ้มแย้มแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ฝ่าบาทก็ทรงทราบดีว่าชีวิตของหม่อมฉันเหลือพี่ชายเพียงคนเดียว พี่ชายของหม่อมฉันถูกอันจวิ้นอ๋องฆ่าตาย อีกทั้งโทษที่ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินก็มิได้สาสมแก่ความเจ็บปวด พระองค์ทราบบ้างหรือไม่ว่าหม่อมฉันจะรู้สึกเช่นไร”
นางไม่อาจมีบุตรสืบสกุล หนำซ้ำคนใกล้ชิดเพียงคนเดียวยังมาตายจากไป หากนางมิได้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแล้ว นางจะมีความหมายอะไร ฉะนั้นเหตุใดนางถึงเลือกแก้แค้นไม่ได้เล่า
จิ่งหมิงฮ่องเต้หลับตาลงอย่างเหลืออด “ที่เจ้าล้างแค้นแทนพี่ชายก็นับว่ายังมีเหตุผล แต่แล้วไท่จื่อล่ะ”
หยางเฟยหลุดหัวเราะ “ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกเพคะ เหตุไฉนฝ่าบาทถึงได้ยืนกรานให้หม่อมฉันยอมรับว่าเป็นคนเกลี้ยกล่อมไท่จื่อ ทำเช่นนั้นแล้วพระองค์จะรู้สึกดีขึ้นหรือเพคะ”
ครั้นหันมองใบหน้าแฉล้มไม่เป็นสองรองใครของหญิงตรงหน้าแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกคล้ายกับมีมีดคมปักเข้ากลางอก “เจ้าจงใจ เจ้าจงใจจะทำลายไท่จื่อ!”
หยางเฟยหัวเราะเสียงดัง
ครั้นหัวเราะจนพอใจแล้ว นางก็ทำปากขมุบขมิบ “ฝ่าบาทหมายจะให้หม่อมฉันตอบว่าตนเองใช้มารยาสาไถยล่อลวงไท่จื่อ ส่วนไท่จื่อก็แค่พลาดท่าเสียทีสินะเพคะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไท่จื่อที่ลอบมีสัมพันธ์สวาทกับพระสนมจะดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างมั่นคงได้อย่างไร
การที่อันจวิ้นอ๋องตายเพียงคนเดียวจะมีความหมายอะไร นางจะใช้ชีวิตผู้สืบทอดบัลลังก์ต้าโจวเป็นเครื่องสังเวยให้พี่ชายของนาง!
คนๆ นั้นกล่าวไม่ผิดเลยจริงๆ การแก้แค้นด้วยวิธีนี้สมน้ำสมเนื้อกว่าเป็นไหนๆ