ฝ่ายเจินซื่อเฉิงยังคงยืนรออยู่ในตำหนักด้วยความประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฮ่องเต้ประสงค์เรียกหยางเฟยมาถามหาความผิด แต่เหตุใดพานไห่ถึงได้กลับมารายงานด้วยท่าทีเสียอาการเช่นนั้น อีกทั้งฝ่าบาทที่ได้ฟังจากพานไห่ก็รี่ออกไปทันที อีกทั้งยังพาผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินและผู้บัญชาหน่วยองครักษ์จินอู๋ติดสอยห้อยตามไปด้วย
ทั้งหันหราน วังไห่ และสายตรวจลับในหน่วยงานบูรพาอย่างพานไห่ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญที่ทำหน้าที่ดูแลควบคุมเรื่องในและนอกวัง
ต้องมีเรื่องร้ายแรงกว่านี้เกิดขึ้นเป็นแน่ เรื่องที่คอขาดบาดตายกว่าการที่พระสนมลอบมีสัมพันธ์กับทหารองครักษ์
สมองของเจินซื่อเฉิงเพียรครุ่นคิดหาคำตอบที่พอจะเป็นไปได้
แต่แล้วก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ระหว่างที่งานเลี้ยงดำเนินไปได้เพียงครึ่งเดียว ไท่จื่อขอตัวออกไปก่อนเพราะรู้สึกไม่ค่อยดี...
ความคิดนี้ฉายซ้ำอยู่ในหัว แล้วเนื้อตัวก็สั่นสะท้านเมื่อเขานึกถึงความน่าจะเป็นอันน่าพรั่นพรึง
ในขณะที่เจินซื่อเฉิงวิเคราะห์กระจ่างแจ้ง ฝ่ายหันหรานและวังไห่ได้แต่ยืนอึ้งเป็นไก่ตาแตก
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองไปที่ทั้งคู่พร้อมกล่าวเสียงขรึม “ไปที่ตำหนักหน้าก่อนก็แล้วกัน พานไห่ เจ้าจัดการที่นี่ให้เรียบร้อย”
ไม่ช้าไม่นานเจินซื่อเฉิงก็ได้รับรายงานว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังเสด็จกลับมา
“ฝ่าบาท…” เจินซื่อเฉินร้องทักเนิบนาบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลงด้วยใบหน้าขมึงทึง หันหรานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินรีบนำชามาถวาย
เดิมทีนี่เป็นหน้าที่ของพานไห่ ทว่าเขามิได้อยู่ที่นี่ หันหรานจึงถือวิสาสะจัดการเสียเอง
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยิบถ้วยชาก่อนจะปาลงพื้น
ถ้วยชาราคาสูงลิ่วแตกละเอียดในชั่วพริบตา น้ำชาร้อนจัดราดรดบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ
ทั้งผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินและผู้บังคับบัญชาหน่วยองครักษ์จินอู๋เงียบกริบไม่ส่งเสียง
เจินซื่อเฉิงถามอย่างใคร่รู้ “ฝ่าบาท?”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จดจ้องไปที่เจินซื่อเฉิงก่อนจะตอบ “ไท่จื่อและหยางเฟยลอบมีสัมพันธ์กัน…”
ตลอดทางที่เดินกลับมา จิ่งหมิงฮ่องเต้ใคร่ครวญว่าควรบอกเรื่องนี้แก่เจินซื่อเฉิงหรือไม่ และสุดท้ายก็ได้คำตอบ
แม้ว่าเกียรติจะสำคัญ ทว่าการจัดการเรื่องตรงหน้าสำคัญยิ่งกว่า
เจินซื่อเฉิงรู้เรื่องเพิ่มมาอีกคนจะเป็นไรไป เพราะสุดท้ายหากเก็บกวาดไม่ดี เรื่องนี้ก็อาจเล็ดลอดออกไปได้เช่นกัน ถึงตอนนั้นเขาคงกลายเป็นขี้ปากให้คนทั่วแผ่นดินหัวเราะเยาะ ซ้ำร้ายไท่จื่อคงถูกตรึงอยู่บนเสาแห่งความอัปยศ พร้อมทั้งจารึกชื่อเสียงอันป่นปี้ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์เป็นแน่
ผลลัพธ์เช่นนั้น เขาไม่อาจทำใจรับได้ลง
ครั้นได้ยินคำตอบจากฮ่องเต้แล้ว เจินซื่อเฉิงก็ค้อมตัวอย่างนอบน้อม “ขอฝ่าบาทเย็นพระทัยลงก่อน ขอทรงถนอมพระวรกายไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หันหรานและวังไห่นับถือความสามารถในการรับมือของเจินซื่อเฉิงยิ่งนัก
ในตอนที่พวกเขาทราบเรื่องไท่จื่อและหยางเฟย พวกเขาตกใจแทบจะปัสสาวะราด ทว่าใต้เท้าเจินกลับพยายามโน้มน้าวให้ฝ่าบาทลดโทสะลง ช่างเป็นคนใจเย็นเสียเหลือเกิน
ภายในห้องโล่งโจ้ง นอกจากจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้ว มีเจินซื่อเฉิง หันหรานและวังไห่เท่านั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปล่อยให้ความเดือดพล่านเมื่อครู่จางหายไป เขากวาดสายตาผ่านใบหน้าของแต่ละคน พลางเอ่ยเน้น “ข้าจะปลดไท่จื่อ!”
ทั้งสามคุกเข่าลงถึงพื้นพร้อมกล่าวโน้มน้าวไม่หยุดปาก
แต่จะโน้มน้าวอย่างไร ในเมื่อไท่จื่อกล้าแม้แต่หลับนอนกับพระสนมของจักรพรรดิ หากลูกชายของพวกเขาเกิดนึกครึ้มถือมีดจะมาแทง พวกเขายังต้องโน้มน้าวอยู่อีกหรือ
แน่นอนว่า ถ้อยคำทั้งหมดทั้งมวลไม่อาจฉุดรั้งความคิดของฮ่องเต้ไว้ได้
ตอนนี้คงทำได้เพียงรอคำสั่งจากฮ่องเต้ แต่หากฮ่องเต้เกิดเปลี่ยนใจเอาเสียดื้อล่ะ
ภายในห้อง ความเงียบคั่นกลางหลายอึดใจ
การที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ มิได้เป็นการขอความเห็นจากคนทั้งสาม
เขารู้แจ้งแก่ใจตัวเองว่า ทั้งหันหรานและวังไห่ต่างก็เป็นหน่วยองครักษ์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ทั้งคู่จะปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีการประนีประนอม นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ได้ ไม่เหมือนกับการหารือกับเหล่าขุนนางทั้งหลายที่เอาแต่หาเหตุผลมางัดง้าง
ส่วนเจินซื่อเฉิง คนประเภทนี้เรียบง่ายอย่างน่าอัศจรรย์ เขาแทบจะไม่ต่างอะไรจากขุนนางที่รู้จักแต่กล่าวโจมตีโดยไม่สนใจว่าจะต้องได้รับความโปรดปรานจากผู้ปกครอง
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นว่าทั้งสามยังคงเงียบงันไม่โต้ตอบ จึงกล่าวต่อ “แต่ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดทราบว่าไท่จื่อมีสัมพันธ์กับหยางเฟย”
ดูเหมือนตรงนี้จะยากเข้าขั้น
ไท่จื่อเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ เป็นรากฐานของอาณาจักร มิควรหวาดหวั่นสั่นคลอนโดยง่าย หากฝ่าบาทประสงค์จะปลดไท่จื่อ ก็ควรมีเหตุผลที่เหมาะสม มิฉะนั้นแล้วคงต้องไปสู้รบตบมือกับเหล่าขุนนางจนยืดเยื้อ
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้คิดถึงไท่จื่อ ไฟโกรธก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เขาไม่อาจทนดูการยื้อยุดเช่นนั้นได้แน่
จากสถานการณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในขณะนี้อาจสรุปได้ว่า หากเขาคิดจะปลดไท่จื่อแล้ว ใครอื่นคิดจะพล่ามวาจาไร้สาระ เขาจะบั่นคอคนผู้นั้นให้รู้แล้วรู้รอด
“พวกเจ้ามีความเห็นอันใดหรือไม่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สอดส่ายสายตาไปหยุดที่เจินซื่อเฉิง เจินซื่อเฉิงหลุบตาคล้ายกับว่าไม่ได้ยินเสียงนั้น
เขาเป็นเพียงขุนนางที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ นอกจากเรื่องไขคดีแล้ว เรื่องอื่นมิจำเป็นต้องถามความเห็นจากเขา
หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปลดไท่จื่อ เกรงว่าจะถูกภรรยาจอมโหดที่บ้านคิดบัญชีไปด้วยอีกคน
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้แปลกใจในท่าทีของเจินซื่อเฉิง เขากวาดสายตาไปทางหันหรานและวังไห่
เมื่อถูกคาดคั้นเช่นนั้น หันหรานจึงยอมปริปาก “ฝ่าบาท กระหม่อมมีวิธีพ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดบางอย่าง มิใช่ว่าฮ่องเต้คิดเองไม่ได้ เพียงแต่ไม่อาจเสนอออกไปเองโต้งๆ ดังนั้นจึงต้องรอให้ผู้อื่นกล่าวแทน
ในการทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาและเป็นกรงเล็บของฝ่าบาท ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็จะสวมบทบาทอย่างสุดความสามารถ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วจะถูกตามคิดบัญชี หรือแม้ว่าชื่อเสียงตนเองต้องป่นปี้ไปชั่วกาลก็ตาม
“ว่ามา” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าว
“ถ้าบอกว่าคนที่ยุยงให้องครักษ์จินอู๋สังหารอันจวิ้นอ๋องคือไท่จื่อล่ะพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมองหันหรานแวบหนึ่งก่อนจะเงียบไป
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเมื่อขณะนี้กำลังสอบสวนคดีของอันจวิ้นอ๋อง และขุนนางทุกหมู่เหล่ากำลังเฝ้ารอคำตอบอยู่ที่ตำหนักหน้า ก็ไม่น่ามีใครรู้สึกติดขัดกับบทสรุปนี้
ความจริงเรื่องที่หยางเฟยมีสัมพันธ์กับองครักษ์นำไปสู่เรื่องสัมพันธ์สวาทกับไท่จื่อ
ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสองเรื่องนี้หลุดออกไป เขาก็เสื่อมเสียเกียรติด้วยกันทั้งนั้น
แต่หากปล่อยให้การเสียชีวิตของอันจวิ้นอ๋องตกอยู่ที่บ่าของไท่จื่อ ก็นับว่าเป็นสาเหตุการปลดองค์รัชทายาทที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องหยางเฟยก็ยังคงเป็นความลับต่อไป
นี่เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
จิ่งหมิงฮ่องเต่ใคร่ครวญก่อนจะสถบกับตัวเอง
ได้สองตัวพระแสงอะไรล่ะ ใต้หล้านี้ไม่มีจักรพรรดิคนใดที่น่าเวทนาเท่าเขาอีกแล้ว
ฮองเฮาองค์ก่อนเหลือพระราชโอรสไว้ให้เพียงพระองค์เดียว ไท่จื่อจึงถือเป็นความหวังเดียวของเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเรื่องผิดศีลธรรมจรรยาเช่นนี้
ไท่จื่อนี่ช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจยาวพลางหันไปตรัสกับเจินซื่อเฉิง “เจินอ้ายชิง คดีอันจวิ้นอ๋องเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าฝากเจ้าด้วย”
นี่เป็นการขอให้เจินซื่อเฉิงตัดสินคดีเท็จ
“ฝ่าบาทวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบดีว่าควรจัดการเช่นไร” เจินซื่อเฉิงรู้ว่าต้องวางตัวอย่างไร ต่อให้เขาจะกระตือรือร้นในการไขคดีเพียงใด แต่ก็ไม่ได้ความคิดจะทำให้ฮ่องเต้กริ้วโกรธเพียงเพราะต้องการแถลงความจริงให้โลกทราบ
แม้แต่ไท่จื่อที่ไร้ประโยชน์ ฮ่องเต้ยังปลดได้ลง…
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืดหลังขึ้นพลางกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ตามนี้แล้วกัน หิมะหยุดตกเมื่อไหร่ ข้าจะกลับวังหลวงทันที ระหว่างนี้หันหรานและวังไห่ พวกเจ้ารับหน้าที่ดูแลความสงบทั้งหมด”
ทั้งสองยกมือคารวะโดยพลัน “ฝ่าบาทวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจินซื่อเฉิงหักห้ามใจแล้วทว่าไม่เป็นผล “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจินอ้ายชิงสงสัยเรื่องใดงั้นหรือ”
“หยางเฟยยุให้จังหู่ผู้เป็นทหารองครักษ์จินอู๋สังหารอันจวิ้นอ๋อง ทว่าพวกเขาทราบได้อย่างไรว่าวันนี้จะมีพายุหิมะครั้งใหญ่ และทั้งตำหนักจะตกอยู่ในความมืด”