ตอนที่ 479 การรายงานความผิด
หลินม่ายมุ่งไปที่โรงงานเสื้อผ้าด้วยความร้อนใจ ลุงยามเฝ้าประตูเปิดประตูให้เธอพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“หัวหน้าโรงงานหลิน คุณรีบไปที่โรงงานหมายเลขสองเถอะ สหายเจ้าหน้าที่พวกนั้นยืนกรานบอกว่าจักรเย็บผ้าของเราเป็นของที่ยักยอกมา และกำลังจะขนไปแล้วครับ”
หลินม่ายขมวดคิ้วแน่น เธอขี่รถจักรยานมาถึงโรงงานหมายเลขสอง จากนั้นจึงลงจากรถอย่างรวดเร็ว เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในโรงงานหมายเลขสองทันที
ภายในโรงงานหมายเลขสองไม่เพียงมีเจ้าหน้าที่สันติบาลห้าหกคนเท่านั้น ยังมีนักข่าวอีกกลุ่มใหญ่ หนิวลี่ลี่ก็โผล่อยู่ในนั้นด้วย
เมื่อหลินม่ายปรากฏตัว นักข่าวคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “หัวหน้าโรงงานหลินมาแล้ว!”
นักข่าวทั้งกลุ่มพากันกรูล้อมเข้ามา และเริ่มสัมภาษณ์หลินม่าย
“ขอถามหน่อยครับหัวหน้าโรงงานหลิน ของโจรพวกนั้นที่โรงงานของคุณเป็นของที่ขโมยมาจากโรงงานตัดเสื้อหงฉีเหรอครับ? ขโมยจักรเย็บผ้าจำนวนมากขนาดนั้นมาได้ยังไงเหรอครับ?”
“คงจะมีสายภายในถึงได้ขโมยจักรเย็บผ้าพวกนั้นออกมาได้สินะคะ สายที่อยู่ในโรงงานตัดเสื้อหงฉีของคุณคือใครกันคะ?”
……
หลินม่ายได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกตะลึงในทันที ทว่าเหมือนเธอจะเคยได้ยินชื่อโรงงานตัดเสื้อหงฉีจากที่ไหนมาก่อน
เธอถามด้วยสีหน้าเย็นชา “โรงงานตัดเสื้อหงฉีอะไรกันคะ? ของโจรอะไร? ขโมยอะไร? สายภายในอะไร? พวกคุณอย่าพูดจามั่วซั่ว การพูดส่งเดชจะต้องรับโทษทางกฎหมายนะคะ”
นักข่าวคนหนึ่งพูดขึ้น “แต่พวกเราไม่ได้เป็นคนบอกนะ เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนบอกต่างหาก”
ในตอนนั้น เจ้าหน้าที่สันติบาลหลายคนก็เดินเข้ามา แล้วกันนักข่าวกลุ่มนั้นไปอยู่อีกด้านหนึ่ง
หนึ่งในเจ้าหน้าที่แสดงหมายค้นแล้วพูดกับหลินม่าย “สหายหลิน สวัสดีครับ พวกเราได้รับรายงานมาว่า จักรเย็บผ้าที่โรงงานของพวกคุณเป็นจักรเย็บผ้าที่หายไปเมื่อไม่นานมานี้ของโรงงานตัดเสื้อหงฉี พวกเราจึงมาตรวจค้นครับ”
เมื่อนั้นเองหลินม่ายถึงจำได้ว่าตอนที่ไปรับจักรเย็บผ้าที่ซื้อมาจากด่านศุลกากรที่สถานีขนส่งทางไฟ เฉินเฟิงเคยพูดขึ้นมาว่า จักรเย็บผ้านำเข้าล็อตนี้ที่เธอซื้อมาคล้ายคลึงกับจักรเย็บผ้าที่ถูกขโมยไปของโรงงานตัดเสื้อหงฉีมาก
ด้วยเหตุนี้ ฟางจั๋วหรานจึงให้สุนัขทหารปลดประจำการสองตัวมาเฝ้าจักรเย็บผ้าพวกนี้ด้วย
เพราะกลัวว่าจะซ้ำรอยเดิมกับโรงงานตัดเสื้อหงฉี โดนกลุ่มพวกโจรมาขโมยจักรเย็บผ้าของเธอไปด้วย
เธอถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผลการตรวจค้นล่ะคะ?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นจี้ไปที่เถาจืออวิ๋น “หัวหน้าเถาของพวกคุณบอกว่า คุณซื้อจักรเย็บผ้าทั้งหมดกลับมาจากด่านศุลกากร ไม่ใช่ของโจรอย่างแน่นอน กรุณาแสดงหลักฐานของคุณ เพื่อพิสูจน์ว่าซื้อจักรเย็บผ้าพวกนี้มาจากศุลกากรด้วยครับ พวกเราเองก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาประเมิน ว่าจักรเย็บผ้าเหล่านี้มีร่องรอยการประทับตรานูนหรือไม่”
หลินม่ายถามอย่างสงสับ “ตรานูน? ตรานูนอะไรเหรอคะ?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นอธิบาย “จักรเย็บผ้าเหล่านั้นของโรงงานตัดเสื้อหงฉีล้วนทำการประทับตรานูนทั้งหมดหลังจากที่ซื้อมา ในกรณีที่ถูกขโมย ก็จะสามารถตามกลับมาได้ง่ายผ่านตรานูน แม้ว่าจักรเย็บผ้าเหล่านี้ของพวกคุณจะไม่ได้ปรากฏตรานูน แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าไม่มีปัญหา เป็นไปได้ว่าอาจลบตรานูนไปแล้วก็ได้ ดังนั้นเราจึงต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบว่ามีร่องรอยของการลบตรานูนออกไปหรือไม่ครับ”
หลินม่ายพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ พวกคุณไปเชิญผู้เชี่ยวชาญมา ฉันจะกลับไปเอาเอกสารเบิกของมาเดี๋ยวนี้”
เธอพูดอย่างดีใจ “โชคดีที่ฉันยังไม่ได้ทิ้งเอกสารเบิกของไป ไม่อย่างนั้นถึงกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็คงล้างไม่หมด”
หลินม่ายขี่จักรยานกลับไปเอาเอกสารเบิกของกลับมาอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารเบิกของพวกนั้นอย่างละเอียดยิบ
มีเอกสารการซื้อสินค้าจากศุลกากร มีเอกสารการดำเนินการขนส่งทางรถไฟ หลักฐานครบครัน
แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจักรเย็บผ้าในโรงงานของเธอจะไม่ใช่ของโจร
เพราะเธอสามารถขายจักรเย็บผ้าที่ซื้อมาจากศุลกากรทิ้ง แต่จักรเย็บผ้าที่ใช้ในโรงงานกลับเป็นของที่ขโมยมาก็ได้
โชคดีที่หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเสร็จแล้ว ยืนยันว่าจักรเย็บผ้าทั้งหมดไม่เคยมีการประทับตรานูนมาก่อน และยังไม่มีร่องรอยการลบเลือนตรานูนออกไปเลยด้วย สุดท้ายก็คืนความบริสุทธิ์ให้กับหลินม่าย
เหล่าเจ้าหน้าที่สันติบาลขออภัยต่อหลินม่ายด้วยท่าทางจริงจัง
หลินม่ายก็ไม่ได้ติดใจอะไร “พวกคุณได้รับรายงานความผิดจึงมาตรวจสอบ มีความผิดที่ไหนกัน ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ แต่ว่ารายงานความผิดนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นรายงานเท็จ ฉันขอทราบได้ไหมคะว่าใครเป็นคนรายงานใส่ร้ายฉัน?”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ”
จากนั้นจึงอธิบายว่า “แม้ว่ารายงานความผิดนี้จะดูเหมือนว่าเป็นการรายงานเท็จ แต่ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่ได้รายงานด้วยเจตนาร้าย แต่อาจเป็นความผิดพลาดก็ได้ครับ ตราบใดที่ไม่ได้การรายงานเท็จ แต่เป็นการรายงานผิดพลาด พวกเราก็ต้องคุ้มครองผู้รายงานความผิด ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้แม้แต่น้อย”
หลินม่ายแสดงออกว่าเธอเข้าใจ แล้วส่งเจ้าหน้าที่สันติบาลและนักข่าวออกไปอย่างสุภาพ
หนิวลี่ลี่เป็นนักข่าวที่ออกไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนจากไปเธอพูดกับหลินม่ายพลางหัวเราะฮี่ๆ “ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ของร้านเธออร่อยจริงๆ ฉันขอเพิ่มอีกสักกล่องได้ไหม?”
หลินม่ายตอบตกลงอย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ให้หล่อนไปรับที่รองผู้จัดการร้านได้เลย
รอจนหนิวลี่ลี่เองก็ออกไปแล้ว หลินม่ายจึงเปิดการประชุมด่วน กำชับเถาจืออวิ๋นและโฮ่วซินอี้ ว่าหลังจากนี้หากเจอเรื่องแบบนี้อีก ถ้าเจ้าหน้าที่ต้องทำตามหน้าที่ ก็ต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ห้ามขัดขวางเหมือนกับในวันนี้อีก
บางทีสหายเจ้าหน้าที่อาจจะตั้งข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการกับพวกเขาก็ได้ อย่างต่ำพวกเขาก็คงต้องถูกคุมตัวสองสามวันที่สถานกักขัง
ติงไห่เฟิงพูดขึ้นอีกด้าน “ผมเกลี้ยกล่อมพวกเขาอยู่ข้างๆ แล้ว แต่พวกเขาไม่ฟังผมกันเลยครับ”
เถาจืออวิ๋นพูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ในโรงงานนี้คนอื่นไม่รู้ว่าจักรเย็บผ้าของเราเอามาจากไหน แต่ฉันรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง พอเห็นสหายเจ้าหน้าที่มาแล้วบอกว่าจักรเย็บผ้าของพวกเราเป็นของที่ขโมยมา ฉันกลัวว่าเจ้าหน้าที่จะไม่แยกผิดถูกแล้วขนเอาจักรเย็บผ้าของเราได้โดยพลการ แล้วพวกเราจะผลิตสินค้ายังไง? ด้วยความร้อนใจ ก็เลย……”
หลินม่ายเอ่ยปลอบหล่อน “ฉันรู้ว่าพี่ทำไปเพื่อฉัน เพื่อโรงงาน ฉันไม่ได้ตำหนิพี่ ฉันแค่หวังอยากให้พี่รู้จักปกป้องตัวเองด้วย”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็มองไปยังโฮ่วซินอี้และคนอื่นๆ รอบหนึ่ง “พวกคุณเองก็เหมือนกันนะคะ ถึงเจ้าหน้าที่จะทำคดีผิดพลาด ภายหลังฉันก็สามารถหาวิธีแก้ไขได้ แต่ถ้าพวกคุณถูกตั้งข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ จะมีผลกระทบต่อพวกคุณอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้การปราบปรามยังไม่สิ้นสุดเลยนะคะ”
เถาจืออวิ๋นและคนอื่นๆ พากันพยักหน้า
หลินม่ายพูดต่อ “กับฉันที่นี่ เน้นที่บุคคล ไม่ได้ใช้คำขวัญที่ว่าโรงงานอยู่ฉันอยู่ โรงงานสิ้นฉันก็สิ้นอย่างโรงงานรัฐพวกนั้น อย่าว่าแต่เจอเจ้าหน้าที่สันติบาลมาตรวจค้นถึงที่ และจะยึดจักรเย็บผ้าพวกนั้นไปเลย ต่อให้วันไหนโรงงานเกิดไฟไหม้ขึ้นมา อย่างแรกคือพวกคุณต้องหนี ไม่ใช่ดับไฟ จำได้ไหมคะ? โรงงานไหม้ไปแล้ว เรายังสามารถสร้างใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีคน ก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้แล้ว ถ่ายทอดคำพูดนี้ให้กับพนักงานทุกคนด้วยนะคะ ว่าพวกคุณมาทำงาน ไม่ได้มาถวายชีวิต ขอเพียงแค่ทำงานอย่างจริงจังก็พอแล้ว”
เถาจืออวิ๋นและผู้รับผิดชอบฝ่ายงานคนอื่นๆ ถ่ายทอดคำพูดของหลินม่ายลงไปอย่างรวดเร็ว
พนักงานทั้งหมดต่างก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ และทำงานอย่างทุ่มเทยิ่งขึ้นไปอีก นี่คือคำบอกเล่าในภายหลัง
เถาจืออวิ๋นถามหลินม่าย “เราถูกคนอื่นรายงานความผิดเท็จ เรื่องนี้จะจัดการยังไงล่ะ?”
หลินมายครุ่นคิดพลางเอ่ย “ฉันเดาว่าคนที่รายงานความผิดเท็จนี้ เป็นไปได้มากว่าคือทังชุ่นอิง ในโรงงานไม่มีใครไม่รู้ว่าจักรเย็บผ้าของพวกเราเป็นของที่ซื้อกลับมาจากด่านศุลกากร ใครจะได้ประโยชน์จากการรายงานความเท็จพวกเรากันล่ะ นอกจากทังชุ่นอิงที่โกรธแค้นฉัน”
“ในเมื่อหล่อนไร้คุณธรรม งั้นเราก็ไม่ต้องมีจรรยา แจ้งความหล่อนเรื่องการยักยอกเงินส่วนกลางกับสถานีตำรวจ ให้หล่อนไปกินข้าวแดงในนั้นซะเลย!” โฮ่วซินอี้พูดอย่างโกรธเกรี้ยว
เขารู้สึกรังเกียจขยะแขยงทังชุ่นอิงจริงๆ
ประธานหลินปล่อยหล่อนไปอย่างผ่อนปรนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หล่อนกลับไม่ยอมกลับใจ เอาแต่คิดจะแก้แค้นประธานหลิน บนโลกนี้มีคนที่ไม่รู้ดีชั่วถึงขนาดนี้ด้วยเหรอ!
หลินม่ายส่ายหน้า “ทังชุ่นอิงชดใช้เงินที่ยักยอกไปแล้ว ถึงเราจะส่งหล่อนไปสถานีตำรวจ ก็ยากที่จะทำให้หล่อนติดคุกได้”
โฮ่วซินอี้พูดอย่างอารมณ์เสีย “รู้แต่แรกก็คงไม่ให้หล่อนชดใช้เงินที่ยักยอกไป แล้วส่งหล่อนเข้าตารางไปเลย”
หลิยม่ายยิ้มอย่างมีแผนในใจ “ทังชุ่นอิงก็ยังมีโอกาสเข้าคุกอยู่นะ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสขนานใหญ่เลยด้วย”
เถาจืออวิ๋นถามอย่างงุนงง “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
หลินม่ายพูด “ในตอนที่ทังชุ่นอิงคืนเงินที่ยักยอกก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว ว่ากันตามเหตุผล ในระยะเวลาสั้นๆ หล่อนไม่กล้าจะทำอะไรฉัน เพราะตราบใดที่หล่อนลอบกัดฉัน ฉันจะสงสัยไปถึงตัวหล่อนได้อย่างง่ายดาย แต่หล่อนกลับก่อเหตุสวนทางกับเหตุผล เรื่องนี้บ่งบอกถึงอะไรล่ะ?”
ติงไห่เฟิงรีบชิงตอบ “บ่งบอกว่ามีคนบังคับให้หล่อนจำเป็นต้องทำแบบนี้ คนที่จะบีบบังคับหล่อนก็มีแค่กวนหย่งหัวเท่านั้น ใครใช้ให้หล่อนไปรับเงินคนอื่นเขามา แต่กลับไม่ทำงานให้เขากันล่ะ?”
หลินม่ายพยักหน้า “คุณวิเคราะห์ได้ถูกต้องเลยค่ะ ครั้งนี้ทังชุ่นอิงก็ลอบกัดฉันไม่สำเร็จอีกครั้ง กวนหย่งหัวจะต้องบังคับให้หล่อนลงมือทำบางอย่างอีกแน่ คุณจับตามองหล่อนให้ดี รอจนหล่อนโผล่หางเราก็จับหล่อน แล้วส่งหล่อนเข้าโรงพักเสียเลย ถึงตอนนั้นขอเพียงหล่อนรับสารภาพถึงกวนหย่งหัว เราก็สามารถรวบหัวรวบหางพวกเขาได้เลย จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครลอบกัดอีกต่อไปแล้ว”
ที่เธอปล่อยทังชุ่นอิงไปครั้งแล้วครั้งเล่า จุดประสงค์ก็คือเพื่อจะตกเจ้าปลาตัวใหญ่กวนหย่งหัวนี่แหละ
หวังว่าจะสามารถตกมันขึ้นมาได้ อย่าเป็นเหมือนกับสองครั้งก่อน ที่ปล่อยให้เขาหลุดรอดไปได้เด็ดขาด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีที่เก็บหลักฐานไว้พร้อม ฝ่ายนั้นเลยทำอะไรไม่ได้
ไหหม่า(海馬)