บทที่ 443 กุลสตรีงามพร้อมมักเป็นที่ต้องการ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 443 กุลสตรีงามพร้อมมักเป็นที่ต้องการ

บทที่ 443 กุลสตรีงามพร้อมมักเป็นที่ต้องการ

ฉินเย่จือกล่าวถูกต้อง ถ้านางไม่ชอบ เขาก็ไม่สามารถชอบได้ ใครจะไปรู้ว่านางจะชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ

เช่นนั้นมีเพียงกู้เสี่ยวหวานเท่านั้นที่มาปิดกั้นเรื่องนี้ก่อน

หากแต่มันแปลกประหลาด คนอื่นชอบเขานั่นก็เป็นเรื่องของเขา ทำไมนางต้องยืนขวางหน้าเพื่อกั้นเขาออกจากดอกท้อเน่า ๆ เหล่านี้ด้วย?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานพลันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่งนัก และพูดอย่างไม่มีความสุขว่า “ถ้าแม่นางเหล่านี้มาหาเจ้าในอนาคต เจ้าก็ไล่พวกนางไปเอง ข้าไม่จะไม่ช่วยเจ้าแล้ว”

“เป็นไปได้อย่างไร!” ฉินเย่จือกระวนกระวาย “หากเจ้าไม่ชอบ ข้าก็ไม่ชอบ หากเจ้าไม่แสดงออกมา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าชอบหรือไม่ชอบ?”

“เจ้า เจ้า…” กู้เสี่ยวหวานถูกฉินเย่จือทำให้อึกอักอีกครั้ง และสามารถพูดได้เพียงเจ้า เจ้า เจ้า

กู้หนิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ และเมื่อเขาเห็นอาจารย์และพี่สาวของตนเองทะเลาะกัน เขาก็ปิดปากและคลี่ยิ้ม

อาจารย์ผู้นี้มักจะเย็นชาต่อหน้าบุคคลอื่น แต่ต่อหน้าพี่สาวของเขา อาจารย์มักจะอ่อนโยนอยู่เสมอ

ใบหน้าหล่อเหลาที่รับกับคิ้วที่โค้งมน และมีรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ไม่ต้องพูดถึงว่างดงามเพียงใด

แต่คนอื่นมองว่านี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ

เมื่อฉินเย่จือเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานพูดไม่ออก ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ และหัวใจของเขาก็เบ่งบานด้วยความปีติยินดี

อย่างก็ตาม ไม่ว่าใครจะเข้ามาหาเขาในอนาคต ก็จะมีแมวป่าตัวน้อยตัวนี้คอยขัดขวาง นางสามารถช่วยให้ตนเองไม่ต้องสัมผัสกับดอกท้อเน่าหล่านี้ นี่มันช่างเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวเสียจริง

นางไม่เพียงแต่หยุดดอกท้อเน่าเหล่านี้ได้เท่านั้น แต่เขายังรู้ด้วยว่ากู้เสี่ยวหวานใส่ใจเขามากจริง ๆ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่านางใส่ใจแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นความรักในครอบครัวหรืออย่างอื่น แต่ฉินเย่จือก็พอใจกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่แล้ว

แมวป่าตัวน้อยตัวนี้ยังเด็กอยู่ ไม่ต้องรีบเร่ง ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไป

รอยยิ้มที่มีความหมายปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉินเย่จือ และจอบในมือของเขาก็เหวี่ยงลงขุดดินอีกครั้ง

ท่าทางเช่นนั้นดูคึกคัก ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความสุขแค่ไหน

กู้เสี่ยวหวานมุ่ยปาก และในชั่วพริบตา ฉินเย่จือได้ขุดหน่อไม้ออกมาหลายหน่อแล้ว

“เสี่ยวหวาน เจ้าคิดอะไรอยู่ รีบมาเก็บหน่อไม้ไปสิ” ฉินเย่จือกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคือง

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว

ฉินเย่จือขุดหน่อไม้ออกมาหลายหน่อ กู้เสี่ยวหวานอุทานด้วยความประหลาดใจ “โอ้ เจ้าขุดหน่อไม้ออกมาเยอะมาก เจ้าช่างน่าทึ่งจริง ๆ!” ประโยคครึ่งแรกเป็นความจริง แต่ครึ่งหลังนางเลียนเสียงที่อ่อนโยนของกู้ซินเถา

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อฉินเย่จือ แต่หลังจากที่ฉินเย่จือมองดู เขารู้สึกว่ามีการล้อเลียนในดวงตาของนาง

ฉินเย่จือไม่ได้คิดมาก ดังนั้นเขาจึงถือว่าเป็นคำชมที่จริงใจจากกู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าของเขาไม่แดง หัวใจของเขาไม่เต้นแรง เขาเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานระงับความภาคภูมิใจ และพูดเบา ๆ ว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ ข้าน่าทึ่งถึงเพียงนี้ แต่เจ้ากลับไม่เคยชมข้าด้วยซ้ำ!” ประโยคครึ่งแรกเป็นคำพูดปกติ แต่ครึ่งหลังของประโยคกลับมีความแดกดันสุดจะพรรณนา

ชายผู้นี้ฟังทุกคำพูดของกู้ซินเถาทุกคำ แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นว่าไม่สนใจอะไร!

กู้เสี่ยวหวานกลอกตาด้วยท่าทางไม่พอใจ และเพิกเฉยต่อคำพูดของฉินเย่จือในช่วงครึ่งหลัง จากนั้นถือตะกร้าเดินไปหากู้หนิงผิงเพื่อเก็บหน่อไม้

ฉินเย่จือถือจอบในมือและมองไปที่แผ่นหลังของกู้เสี่ยวหวาน มุมปากบาง ๆ ของเขายกยิ้มเล็กน้อย ในดวงตาเรียวยาวที่ดำสนิทของเขาสว่างราวกับดวงดาวในยามรุ่งสาง

ความอ่อนหวานและความอบอุ่นเช่นนี้ ในชีวิตที่เรียบง่ายมีความอบอุ่นและความหวานที่บรรยายไม่ถูก มันเป็นความสุขของฉินเย่จือในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมา

วันนี้ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ทำให้ป่าไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ

ดวงตาของฉินเย่จือหรี่ลงเล็กน้อย ร่างที่มีเสน่ห์ของนางกลายเป็นเพียงภาพเดียวในสายตาของฉินเย่จือ

กู้เสี่ยวหวานจงใจเพิกเฉยต่อสิ่งที่ฉินเย่จือเพิ่งกล่าว และทิ้งสิ่งเหล่านั้นไว้ข้างหลัง ลืมมันซะ ขัดขวางก็ขัดขวาง อย่างไรก็ตามนางได้บอกไปแล้วว่าให้หาภรรยาที่ตนเองชอบ แม้ว่าคนที่พุ่งเข้าสู่การต่อสู้ก็คือนางเอง แต่ใครกันที่ให้ตนไปบอกเงื่อนไขเช่นนั้นล่ะ ช่างมันเสียเถอะ

ความรำคาญใจของกู้เสี่ยวหวานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที และนางก็ไปเก็บหน่อไม้อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม

กลุ่มคนสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างครึกครื้น ทำงานจึงรู้สึกไม่เหนื่อยมากนัก พวกเขาเก็บหน่อไม้ใส่ไว้เต็มตะกร้า

ฉินเย่จือแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง มือหนึ่งถือตะกร้าและอีกมือถือจอบ กู้หนิงผิงก็แบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลังของเขาและถือจอบอยู่ในมือเช่นกัน แต่มีเพียงกู้เสี่ยวหวานเท่านั้นที่เดินมือเปล่า

ครั้นเห็นว่าฉินเย่จือถือหลายสิ่งหลายอย่าง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกอายเล็กน้อยและรีบคว้าจอบไว้ หากแต่ฉินเย่จือหลีกเลี่ยงการแย่งชิงของกู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้ม

เขากล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องถือ! เพราะข้าถือมันไว้แล้ว”

แมวป่าน้อยตัวนี้ยังเด็กนัก ฉินเย่จือกลัวว่านางจะเหนื่อย แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็ไม่ปล่อยให้นางทำแม้แต่น้อย

กู้เสี่ยวหวานเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นสูง

เฮ้อ เมื่อนึกถึงอดีตและนึกถึงปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงว่าสบายแค่ไหน

กู้เสี่ยวหวานยิ้มอย่างมีความสุข และมองย้อนกลับไปที่ฉินเย่จือ ดวงตาของฉินเย่จือไม่เคยละไปจากกู้เสี่ยวหวานเลย เมื่อเห็นนางยิ้มกลับมา ใบหน้าของฉินเย่จือก็ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ

ทั้งสองยิ้มให้กัน

ใบหน้าที่หล่อเหลาของฉินเย่จือราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิและพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความหลงใหล

หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะ กู้เสี่ยวหวานรีบหันกลับมาอย่างรวดเร็วเพราะรู้สึกได้ว่าใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง

ท้ายที่สุด นางมีจิตวิญญาณที่อายุสามสิบปี

เจอหนุ่มหล่อขนาดนี้ ใครกันจะไม่หลงกันเล่า!

เพียงแค่จะถูกคนวิจารณ์ว่าเป็นโคแก่ที่กินหญ้าอ่อนหรือไม่!

กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว ก่อนจะผ่อนคลายลงอีกครั้ง

ตนเองจะกังวลไปทำไม ตอนนี้ตนเองอายุเพียงสิบเอ็ดขวบเท่านั้น

นางอายุน้อยกว่าฉินเย่จือถึงเจ็ดปี

แต่อายุสิบเอ็ดขวบจะมีความรู้สึกหลงใหลได้หรือไม่?

กู้เสี่ยวหวานอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ แต่มันกลับไม่มีน้ำตาสักหยด

นี่อาจจะเร็วไปหน่อยหรือเปล่า?

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเศร้าหมองในใจ ทั้งหมดนี้ต้องโทษฉินเย่จือที่ดูดีเกินไป

กุลสตรีที่งามพร้อมเป็นที่หมายปองของวิญญูชน!*[1]

*[1] อธิบายถึงชายหนุ่มและหญิงสาวที่กระตือรือร้นที่จะไล่ตามความรัก