ตอนที่ 481 หวังหรงเรียกร้องค่าชดเชย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 481 หวังหรงเรียกร้องค่าชดเชย

เสี่ยวยาคาบอมยิ้มอันเล็ก ๆ ไว้ในปาก ดูดกินมันอย่างเอร็ดอร่อย

พอหันไปเห็นทังชุ่นอิง เด็กหญิงตัวน้อยก็เรียกแม่ของเธอด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา แล้วซอยเท้าเล็ก ๆ ไปหาผู้เป็นแม่ทันที

ทังชุ่นอิงกระวนกระวายมาก ปัดอมยิ้มออกจากปากของลูกสาว แล้วตะคอกด้วยความโกรธว่า “ใครสั่งใครสอนให้ลูกกินขนมของคนอื่น!”

เสี่ยวยาตกใจมากจนน้ำตาร่วงเผาะ

ชายคนนั้นเดินตรงเข้าไปหาทังชุ่นอิงอย่างไม่รีบร้อน พูดอย่างมีความหมาย

“ถ้าเมื่อกี้นี้ฉันมาไม่ทัน ลูกสาวเธอคงตกอยู่ในวงล้อมของหมาป่าไปนานแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็ดูแลลูกสาวตัวเองให้ดีหน่อย อย่าปล่อยให้เธอประสบเหตุร้ายเชียว”

หลังจากพูดจบแล้วชายคนนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้ทังชุ่นอิงยังคงตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก

หล่อนรู้ดี ผู้ชายคนนี้ต้องถูกกวนหย่งหัวส่งมาแน่ ๆ

สาเหตุที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อเตือนหล่อนว่าอย่าได้เล่นตุกติก และระวังลูกสาวเอาไว้ให้ดี ๆ

ทังชุ่นอิงกลัวมากจนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความขมขื่น เด็กหญิงตัวน้อยตกใจมาก กอดหล่อนไว้พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย พูดว่า “หนูจะไม่กินขนมที่คนอื่นให้อีกแล้ว แม่จ๋า อย่าร้องไห้เลยนะคะ”

ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอเห็นว่าสองแม่ลูกคู่นี้กำลังกอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา หลายคนต่างก็วางเหรียญไว้ข้างตัวพวกเธอ

ทังชุ่นอิงเหลือบมองไปยังเหรียญพวกนั้น ทันใดนั้นความไม่พอใจที่มีต่อหลินม่ายก็ยิ่งฝังรากลึกลงในใจ

พอรู้ว่าหล่อนยักยอกเงินกองกลางเพื่อเอาไปรักษาอาการป่วยของลูกชาย แทนที่เธอจะปล่อยผ่าน แต่หลินม่ายกลับปฏิเสธที่จะทำแบบนั้น ทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้

คนแปลกหน้าเหล่านี้ยังมีน้ำใจมากกว่าคนอย่างหลินม่ายเสียอีก

แค่เห็นว่าหล่อนกับลูกน่าสงสารแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

ต่างจากหลินม่ายที่ต้องการฆ่าหล่อนให้ตายทั้งเป็น

หลังจากร้องไห้ต่อไปอีกพักหนึ่ง ทังชุ่นอิงก็ปาดน้ำตา หยิบเหรียญมากมายที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ไว้ในกระเป๋า จากนั้นก็พาเสี่ยวยากลับไปที่บ้านด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วง

ถึงช่วงนี้คนงานส่วนใหญ่จะเต็มใจทำงานล่วงเวลา แต่โรงงานก็ยังมีสวัสดิการอาหารจีนซึ่งเป็นอาหารมื้อเย็นให้ฟรี

แต่สวัสดิการนี้มีไว้สำหรับคนงานฝ่ายผลิตและเจ้าหน้าที่ส่วนอื่น ๆ ที่ทำงานล่วงเวลาเท่านั้น

พนักงานฝ่ายบัญชีหรือฝ่ายบุคคลไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา ดังนั้นจึงไม่ได้รับอาหารมื้อเย็นฟรีเหมือนคนอื่น ๆ

ไช่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวเดินกลับบ้านทางเดียวกันเพื่อกลับไปกินอาหารมื้อเย็นที่บ้าน

ในขณะที่ทั้งสองคนเดิน ๆ อยู่นั้น ก็บังเอิญเจอกับทังชุ่นอิงและลูกสาวของหล่อนระหว่างทาง

ถึงแม้การกระทำบางอย่างของทังชุ่นอิงจะทำให้พวกหล่อนรู้สึกรังเกียจหล่อน ถึงอย่างนั้นก็อดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกต่างตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง

ทั้งสองเข้าไปถามไถ่ทังชุ่นอิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่าหล่อนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ลองระบายให้พวกหล่อนฟังได้ เผื่อว่าพวกหล่อนจะช่วยอะไรได้บ้าง

ทังชุ่นอิงมองไปทางไช่เจาตี้กับจินชุนเปี่ยวทันทีด้วยดวงตาที่ลุกโชน ถามว่า “พวกเธอให้ฉันยืมเงินสักสองพันหยวนได้ไหม?”

ขอแค่มีเงินสองพันหยวน หล่อนจะเอาเงินส่วนนี้ไปจ่ายคืนให้กับกวนหย่งหัวซะ จะได้กำจัดเขาไปให้พ้นทางเสียที

ไข่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวหันมองหน้ากัน

พวกหล่อนคาดไม่ถึงว่าทังชุ่นอิงจะขอยืมเงินทันทีที่อ้าปาก แถมจำนวนเงินที่ว่ายังมากขนาดนี้

อย่าว่าแต่พวกหล่อนไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นเลย ต่อให้มี พวกหล่อนก็ไม่เต็มใจจะให้หล่อนยืมเหมือนกัน

นั่นก็เพราะคนอย่างทังชุ่นอิงคงหวังจะขอยืมเงินแล้วเชิดไม่จ่ายในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย

ในครอบครัวของทังชุ่นอิง มีแค่สามีของหล่อนที่มีงานประจำทำ

เท่าที่รู้เกี่ยวกับสภาพทางการเงินของครอบครัวหล่อน ต่อให้หล่อนไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม ก็สามารถประหยัดเงินไปได้แค่สามร้อยหยวนเท่านั้น

ปัญหาหลักคือสมาชิกในครอบครัวต้องกินต้องใช้จ่าย แถมยังมีเด็กป่วยที่ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ

เมื่อเงินเดือนของทางฝั่งสามีไม่เหลือพอจะเก็บไว้เป็นเงินส่วนเกิน แล้วหล่อนจะหาเงินจากไหนมาจ่ายคืนกันล่ะ?

รู้ทั้งรู้ว่าสภาพการเงินของตัวเองไม่คล่อง ยังมีหน้ามาขอยืมเงินจากพวกหล่อนอีก หล่อนจะเอาปัญญาจากไหนมาจ่ายคืนได้?

สองสาวต่างก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองลำบากพออยู่แล้ว ทำไมต้องสนใจชีวิตของคนอื่นด้วย?

ไช่เจาตี้ยิ้มแห้งอย่างจนปัญญา “เราสองคนจะไปหาเงินสองพันหยวนมาจากไหน?”

จินชุนเปี่ยวพยักหน้า “ถูกต้อง ถึงพวกเราจะทำงานขายวิญญาณแค่ไหน ยังไม่ได้เงินมากขนาดนั้นเลย”

ทังชุ่นอิงพูดตะกุกตะกัก “ถ้าอย่างนั้น พวกเธอช่วยไปขอยืมจากคุณหลินให้หน่อยได้หรือเปล่า?”

ไช่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายชักจะฝันเฟื่องเกินไปแล้ว

ในเมื่อหล่อนอยากยืมเงินจากผู้จัดการหลิน ทำไมถึงไม่แบกหน้าไปขอด้วยตัวเองล่ะ มาขอให้พวกหล่อนช่วยทำไม

สมมุติทังชุ่นอิงไม่ยอมหาเงินมาจ่าย คนที่ต้องหาเงินมาจ่ายแทนก็ไม่ใช่พวกหล่อนหรอกหรือ? นี่เป็นการขุดหลุมให้พวกหล่อนกระโดดลงไปชัด ๆ

ทั้งไช่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวเริ่มชักสีหน้า

จินชุนเปี่ยวสะบัดเสียงใส่ “ทำไมเธอไม่ไปขอยืมเงินจากผู้จัดการหลินด้วยตัวเองล่ะ?”

ทังชุ่นอิงตอบด้วยความลำบากใจ “ฉัน… ฉันไม่กล้าไปขอยืมเงินคุณหลินหรอก”

ไช่เจาตี้กับจินชุนเปี่ยวผายมือออกพร้อมกัน “พวกเราก็ไม่กล้าไปขอยืมเงินจากผู้จัดการหลินเหมือนกันนั่นแหละ” ว่าแล้วพวกหล่อนก็เดินจากไป

เมื่อมองตามแผ่นหลังของพวกหล่อนไป ทังชุ่นอิงก็โกรธมากจนเกือบร้องไห้ออกมาอีกครั้ง พูดให้ร้ายอีกฝ่ายอยู่ในใจ “ทำเป็นออกตัวว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอก แต่พอฉันต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ พวกเธอก็วิ่งหนีฉัน!”

หล่อนพาเสี่ยวยากลับบ้าน ด่าทอไช่เจาตี้กับจินชุนเปี่ยวไปตลอดทาง พร้อมกันนั้นก็สาปแช่งหลินม่ายด้วยความโกรธไม่หยุดหย่อน ทำราวกับผู้คนทั้งโลกหันหลังให้กับตัวเอง ในสมองไม่ฉุกใจคิดเลยด้วยซ้ำ ว่าตัวหล่อนเองเคยทำอะไรที่ผิดศีลธรรมต่อผู้อื่นบ้าง

สำหรับหล่อนแล้ว หล่อนมองเห็นแค่ความใจดำของคนอื่นเท่านั้น ตราบใดที่คนคนนั้นไม่ยอมให้อภัยหรือช่วยเหลือตัวเอง หล่อนก็จะแช่งชักให้อีกฝ่ายโดนฟ้าผ่า

ทันทีที่สามีและแม่สามีเห็นว่าทังชุ่นอิงพาเสี่ยวยากลับมาแล้ว หัวใจที่เคยจุกตื้นขึ้นมาก็ถูกกลืนกลับลงช่องท้องไปอีกครั้ง ถามว่าหล่อนไปเจอเสี่ยวยาที่ไหน

ทังชุ่นอิงตอบไปตามความจริง

แม่สามีของหล่อนตกใจมาก “คนแซ่กวนนั่นไม่ยอมปล่อยเราไปจริง ๆ ด้วย งั้นเราควรทำยังไงดี?”

ทังชุ่นอิงโบกมือ “ฉันคิดวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเอาไว้แล้วค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวล ถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันจะไปเรียกเงินรางวัลจากคนแซ่กวนอีกหลายพันหยวนเลยล่ะ”

พอแม่สามีได้ยินแบบนี้ ดวงตาของหล่อนก็เปล่งประกายด้วยความละโมบ “วิธีอะไรกัน?”

ถึงเสี่ยวยาจะยังเด็กมาก อายุแค่สามถึงสี่ขวบเท่านั้น แต่ก็เก่งมากในการจดจำคำพูด

ทังชุ่นอิงกลัวว่าหล่อนอาจแพร่งพรายคำพูดที่ตัวเองได้ยินออกไป ดังนั้นจึงหยิบเหรียญออกมาจากกระเป๋า แล้วบอกให้หล่อนออกไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อลูกอมผลไม้สองเม็ด

หลังจากนั้นก็ลดระดับเสียงลงแล้วพูดกับแม่สามี “ฉันจะเผาโกดังของโรงงาน Unique ซะ!”

ทังชุ่นอิงผุดความคิดนี้ขึ้นมา เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่กวนหย่งหัวเรียกหล่อนเข้าไปที่ออฟฟิศเพื่อสอบสวน หล่อนเห็นหญิงสาวหน้าตาสวยมากคนหนึ่งนั่งอิงแอบคลอเคลียร่างของกวนหย่งหัวไม่ห่าง ราวกับว่าหล่อนไม่มีกระดูกอย่างไรอย่างนั้น

สาวสวยคนนั้นพูดอย่างฉุนเฉียว “นังสารเลวนั่นแค่ซื้อผ้ามาในราคาถูก ราคาเสื้อผ้าแบบขายส่งก็เลยถูกกว่าร้านเรา เราน่าจะวางเพลิงเผาโกดังมันทิ้งซะ ผ้าราคาถูกพวกนั้นจะได้เสียหายไปทั้งหมด คราวนี้ลองดูซิว่ามันจะยังขายถูกได้อยู่ไหม!”

พอเห็นว่าหล่อนเดินเข้ามา อีกฝ่ายก็เดินออกจากออฟฟิศไป

ทังชุ่นอิงรู้ดีว่าใครคือ ‘นังสารเลว’ ที่สาวสวยคนนั้นพูดถึง

ตอนนั้นหล่อนเองก็คิดเหมือนกัน ว่าการวางเพลิงเผาโกดังของหลินม่าย อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้แค้นอีกฝ่าย

ไม่เพียงทำให้เธอประสบความสูญเสียทางการเงินครั้งใหญ่เท่านั้น แต่ยังทำให้เสื้อผ้าของเธอสูญเสียความได้เปรียบด้านราคาอีกด้วย

…ที่ราคาขายส่งเสื้อผ้าของเธอถูกกว่าเสื้อผ้าของซีม่าน นั่นไม่ใช่เพราะผ้าที่เธอซื้อตุนไว้ก่อนหน้านี้ในราคาที่ถูกกว่าปัจจุบันหรอกเหรอ?

ทั้งหมดเป็นความผิดของหลินม่าย ที่ทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้

โกดังของเธอถูกเผาวอด ก็ถือเป็นผลกรรมที่เธอสมควรได้รับแล้ว!

นอกจากนี้ ถ้าหล่อนเผาโกดังของอีกฝ่ายสำเร็จ หล่อนยังสามารถเข้าหาคนแซ่กวนเพื่อขอรับรางวัลได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เหตุผลอะไรที่หล่อนจะไม่ทำ?

แม่สามีและสามีของหล่อนต่างตกตะลึง “แต่ถ้าเธอถูกจับได้ขึ้นมาล่ะ? ไม่ใช่แค่ติดคุกอย่างเดียว พวกเรายังต้องเสียเงินค่าปรับมหาศาล ครอบครัวของเราจะไปหาเงินจากไหนมาจ่าย…”

ทังชุ่นอิงพูดอย่างมั่นใจ “ฉันไม่โดนจับได้แน่! ต่อให้ถูกจับเข้าจริง ๆ ฉันก็จะซัดทอดไปที่กวนหย่งหัว ถ้าเขาไม่ยอมจ่ายเงินหมื่นหนึ่งให้ฉันเป็นค่าปิดปาก ฉันจะแฉความเลวของเขาให้หมด!”

หล่อนแค่นเสียงเยาะเย้ย “อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าแว้งกัดเขาแค่เพราะว่าฉันยอมทำงานให้เขาเชียว!”

สาวสวยที่ทังชุ่นอิงเห็นในออฟฟิศส่วนตัวของกวนหย่งหัว ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังหรง

พ่อรู้ว่าพ่อแม่และย่าของตัวเองโดนจับ หล่อนก็รู้สึกวิตกกังวลมาก

แต่ความวิตกกังวลก็ไม่ได้ทำให้หล่อนถึงกับกินไม่ลงหรือนอนหลับไม่เต็มอิ่ม

หวังหรงนอนหลับเป็นตายจนถึงสิบโมงถึงตื่นขึ้นมา

ขณะเดินออกไปหาซื้ออาหารนอกบ้าน เพื่อนบ้านต่างก็คุยกับหล่อนด้วยความหวังดีประสงค์ร้าย

บอกว่าหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บทความเรื่องที่พ่อแม่และย่าของหล่อนพิมพ์บัตรกำนัลปลอมและว่าจ้างคนอื่นให้ไปสร้างความวุ่นวายกับร้านค้า

หวังหรงซึ่งไม่เคยชอบการอ่านหนังสือพิมพ์เลยถึงกับยอมจ่ายเงินซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่าน ทันใดนั้นสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หล่อนตรงไปที่เกสต์เฮ้าส์ของกวนหย่งหัว ร้องห่มร้องไห้บอกว่าพ่อแม่และย่าของหล่อนยอมเสียสละเพื่อเขาอย่างไรบ้าง

ความหมายแฝง ก็คือให้เขาจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวของเธอนั่นเอง

เพื่อชดเชยให้กับครอบครัวของหวังหรง กวนหย่งหัวไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะยอมสละเงินจำนวนเล็กน้อย

แต่เขาอ้างว่าตอนนี้ยังไม่สามารถจ่ายค่าชดเชยให้พวกเขาได้ เนื่องจากกวนหย่งหัวยังกลัวว่าทางตำรวจอาจพุ่งเป้ามาทางเขา

เขาให้สัญญาว่าหลังจากนี้อีกไม่กี่เดือน รอให้คดีความของพวกเขาถูกตัดสินและถูกลบเลือนจากกระแสสังคมไปก่อน เขาจะชดเชยให้พ่อแม่หล่อนเป็นเงินหลายหมื่นหยวน

ได้ยินแบบนั้นหวังหรงก็ยิ้มทั้งน้ำตา

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คิดเหรอว่าประธานอย่างกวนหย่งหัวจะไม่รู้ทันความคิดของพวกเธอ?

ไหหม่า(海馬)