ตอนที่ 482 แจกขนมไหว้พระจันทร์

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 482 แจกขนมไหว้พระจันทร์

ประมาณบ่ายสองโมง หลินม่ายแวะไปที่สำนักงานจัดการที่ดิน

ด้วยเอกสารที่ได้รับจากทางผอ.เขตโอวหยาง ทำให้เธอประสบความสำเร็จในการซื้อที่ดินบริเวณหมู่บ้านซั่งเฉวียน จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปที่ทำงานของเฉินเฟิง

เฉินเฟิงเพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนตรวจสอบไซต์งานก่อสร้าง กำลังยกโถเคลือบใบใหญ่เพื่อรินน้ำต้มสุกใส่แก้ว

หลินม่ายถาม “ที่นี่ไม่มีน้ำอัดลมเหรอ?”

เฉินเฟิงวางโถเคลือบลงพลางพูดว่า “น้ำอัดลมน่ะมี แต่น้ำเย็นดับกระหายได้ดีกว่า”

เขาถามกลับ “เธออยากดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำเย็น?”

หลินม่ายเห็นว่าภายในห้องไม่มีแก้วใบอื่นนอกเหนือจากแก้วใบที่เฉินเฟิงใช้รินน้ำเย็นจากโถเคลือบเมื่อกี้นี้

เธอไม่อยากดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับเขา

ไม่ใช่เพราะกลัวโรคติดต่อ แต่คนที่สามารถใช้แก้วน้ำร่วมกันได้จะต้องเป็นคนใกล้ชิดเท่านั้น

หลินม่ายโบกมือ “ฉันยังไม่กระหายน้ำ”

จากนั้นเธอก็หยิบโฉนดที่ดินของหมู่บ้านซั่งเฉวียนที่ตัวเองเพิ่งซื้อออกมาจากกระเป๋าตัวเอง แล้วยื่นให้เฉินเฟิงดู

เฉินเฟิงประหลาดใจ “เธอซื้อที่ดินไว้ผืนหนึ่งแล้วนี่ ทำไมยังซื้อเพิ่มอีก?”

“เอาไว้เปิดตลาดค้าส่งเสื้อผ้าโดยเฉพาะ”

เฉินเฟิงกวาดสายตาดูรายละเอียดในโฉนด “ถึงจะบอกว่าอยากสร้างตลาดค้าส่งเสื้อผ้าก็เถอะ แต่เธอไม่เห็นต้องใช้ที่ดินมากถึงแปดสิบหมู่ (ประมาณ 33.33 ไร่) เลยนี่ ร้าน Unique ของเธอมีเสื้อผ้ามากมายขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

หลินม่ายอธิบาย “ฉันไม่ได้จะสร้างแค่ตลาดค้าส่งเสื้อผ้าของตัวเองอย่างเดียว แต่ยังคิดจะสร้างอาคารห้าชั้น แล้วซอยย่อยออกเป็นหลาย ๆ คูหา จากนั้นก็ปล่อยให้เช่า”

เฉินเฟิงเดาะลิ้น “อาคารห้าชั้นที่ว่าต้องมีขนาดใหญ่มากแน่ อย่างน้อยก็แบ่งได้ตั้งหลายคูหา ส่วนเธอก็แค่อยู่เฉย ๆ รอเก็บค่าเช่าทุกสิ้นเดือน”

หลินม่ายยิ้ม “เพราะฉะนั้นฉันถึงจะใช้วิธีเดิม ฝากนายช่วยเอาแผนผังที่ดินไปให้คุณเจิ้ง แล้วขอให้เขาช่วยออกแบบตลาดค้าส่งเสื้อผ้าให้หน่อย”

เฉินเฟิงว่าโฉนดในมือลง เงยหน้าขึ้นแล้วถามเธอ “เธอจริงจังกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดนี้เชียวเหรอ?”

หลินม่ายเหลือบมองเขา “คิดว่าฉันล้อเล่นกับเรื่องพวกนี้หรือไง?”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอแนะนำให้เธอไปจ้างวิศวกรคนอื่นดีกว่า”

“ทำไมล่ะ?” หลินม่ายงุนงง “โครงการสร้างสะพานยกระดับของเราเพิ่งจะเดินหน้าไปไม่เท่าไหร่เอง โครงการในมือก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น จะจ้างวิศวกรสองคนให้สิ้นเปลืองไปทำไม?”

เฉินเฟิงถามกลับ “เธอเคยได้ยินคำว่าคนเราเก่งไม่เหมือนกันไหม?”

หลินม่ายพยักหน้า “ทำไมจะไม่เคยได้ยินล่ะ?”

ชาติที่แล้วเธอได้รับการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี ใช้เวลาสี่ปีอยู่ในมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยดอกอิงเถาซึ่งเบ่งบานทุกฤดูใบไม้ผลิ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมีความรู้น้อยนิดจนไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งคำว่า ‘คนเราเก่งไม่เหมือนกัน’

เฉินเฟิงพูดต่อ “ถึงคุณเจิ้งเขาจะมีความสามารถรอบด้านก็จริง แต่เขาชำนาญด้านการออกแบบสะพานต่างระดับเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นทุกคนจะเรียกเขาว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการสร้างสะพานเหรอ เธอขอให้เขาออกแบบสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ อย่างเช่นโรงงานหรือบ้านเพื่ออยู่อาศัยธรรมดา ๆ เขาแทบไม่มีปัญหาเลย แต่ถ้าเธออยากให้เขาออกแบบอาคารพาณิชย์ จะเป็นการสร้างความลำบากใจให้เขาซะเปล่า เพราะข้อกำหนดในการสร้างอาคารพาณิชย์ละเอียดกว่ากันมาก ก็เหมือนกับพ่อครัวทั่วไปที่รสมือการทำอาหารดีมาก ถ้าเธอขอให้เขาไปทำอาหารในโรงแรมห้าดาว จะรู้ทันทีว่าฝีมือของเขายังห่างไกลมาก”

หลินม่ายตกตะลึง “ฉันสร้างความลำบากใจให้เขาตรงไหน? เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาออกแบบโรงงานใหม่กับสำนักงานใหญ่ให้ฉันออกมาดีมาก โดยเฉพาะอาคารสำนักงานใหญ่ ถ้าสร้างเสร็จ ตัวอาคารจะกลายเป็นแลนมาร์กในย่านนี้แน่นอน ด้วยความสามารถระดับนี้ นายจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับพ่อครัวทั่วไปไม่ได้ จากที่ฉันเห็น คุณเจิ้งเขาเป็นเชฟของโรงแรมห้าดาวอยู่แล้ว”

เฉินเฟิงหรี่ตามองเธอ “เธอคิดว่าแปลนพวกนั้นคุณเจิ้งเป็นคนออกแบบด้วยตัวเองสินะ?”

หลินม่ายถามกลับด้วยความสงสัย “แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ! คุณเจิ้งกลัวว่าตัวเองอาจออกแบบแปลนอาคารสำนักงานใหญ่และโรงงานใหม่ของเธอได้ไม่สมบูรณ์แบบพอ ดังนั้นเขาเลยไปเชิญอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่งมาออกแบบแปลนด้วยกัน แถมยังแบ่งเงินในซองแดงให้เพื่อนเก่าของเขาไปครึ่งหนึ่งด้วย”

หลินม่ายรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น

ในซองแดงนั้นมีเงินทั้งหมดห้าร้อยหยวน หมายความว่าพวกเขาสองคนแบ่งกันคนละสองร้อยห้าสิบหยวน นี่เป็นเรตราคาที่กดฝีมือกันชัด ๆ

ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเธอคงใส่เงินในซองแดงสักหกร้อยหยวน

เฉินเฟิงเปิดลิ้นชักโต๊ะ หยิบกระดาษที่มีร่องรอยขีดเขียนร่างแบบออกมา

“นี่คือพิมพ์เขียวของอาคารชุดที่เธอขอให้คุณเจิ้งช่วยออกแบบ ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ฝีมือของเขาแค่คนเดียว แต่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเขากับอดีตเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง”

หลินม่ายหยิบพิมพ์เขียวที่ว่าขึ้นมาดู

หลินม่ายพึงพอใจกับผลการออกแบบนี้มาก ไม่จำเป็นต้องดูภาพรวมหรือเค้าโครงของอาคารเป็นพิเศษ

ถึงห้องชุดจะมีขนาดเล็กไปสักหน่อย แต่พอเวลาผ่านไปหลาย ๆ ทศวรรษก็ยังไม่นับว่าล้าสมัย แถมยังใช้งานได้จริง ที่สำคัญคือพื้นที่ส่วนกลางมีขนาดเล็ก

ถึงแม้ว่าชาติที่แล้วหลินม่ายจะไม่ใช่แฟนตัวยงเรื่องบ้านและที่ดิน แต่เธอก็ไม่ค่อยชอบการแบ่งปันพื้นที่ส่วนกลางสักเท่าใด

ในปี 1998 เธอซื้อห้องชุดห้องแรกเป็นของตัวเอง พื้นที่ใช้ทั้งหมดประมาณ 148 ตารางวา แบ่งเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย 110 ตารางเมตร ส่วนที่เหลือจัดเป็นพื้นที่ส่วนกลาง

ปี 2008 เธอซื้อห้องชุดอีกหลังหนึ่งที่มีขนาดใกล้เคียงกัน รอบนี้พื้นที่สำหรับอยู่อาศัยมีขนาดไม่กี่ร้อยตารางเมตรเท่านั้น หดหายไปจากเดิมเกือบสิบตารางเมตร

ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ อย่างน้อยห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร หรือห้องนอนก็ไม่ได้เล็กจนเกินไป

ก่อนที่เธอจะได้มาเกิดใหม่ เวลาก็ผ่านไปถึงปี 2020 แล้ว พื้นที่ส่วนกลางยิ่งรุกล้ำยิ่งกว่าเดิมซะอีก

ห้องชุดขนาด 150 ตารางเมตร มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร และห้องน้ำ… แต่พื้นที่ใช้สอยกลับกว้างขวางไม่เท่าห้องชุดขนาดต่ำกว่า 150 ตารางเมตรที่เธอเคยซื้อไว้ก่อนหน้านี้

โดยเฉพาะห้องนอนกับห้องนั่งเล่น แค่เธอวางเตียงกับโต๊ะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กไว้พื้นที่ก็เต็มแล้ว

เธอไม่รู้ว่าเจ้าของโครงการคำนวณพื้นที่ส่วนกลางให้ใหญ่ขนาดนี้ไปเพื่ออะไร นอกจากตั้งใจโกง

หลินม่ายกวาดสายตาดูแบบแปลนทั้งหมด จากนั้นก็ถามเฉินเฟิงว่า “อดีตเพื่อนร่วมงานของคุณเจิ้งชื่ออะไร ฉันจะไปเชิญเขามาออกแบบให้”

เฉินเฟิงเอามือถูจมูก “เหล่าเจิ้งไม่ได้พูดถึง เขาบอกฉันแค่ว่าพิมพ์เขียวพวกนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ก็เพราะเขากับอดีตเพื่อนร่วมงานที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบบ้านช่วยกันระดมความคิด”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปที่สถาบันออกแบบจงหนานอีกครั้งเพื่อว่าจ้างวิศวกรเกษียณที่ชำนาญด้านการออกแบบอาคารพาณิชย์”

ขณะที่หลินม่ายกำลังสะพายกระเป๋าและจะเดินออกไป พนักงานฝ่ายบุคคลก็เดินเข้ามาในห้อง สวนกันกับหลินม่ายพอดี

พนักงานฝ่ายบุคคลเป็นฝ่ายทักทายก่อน “สวัสดีค่ะคุณหลิน”

จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับเฉินเฟิง “รองประธานเฉินคะ ทางบริษัทได้เตรียมกล่องขนมไหว้พระจันทร์ไว้สำหรับแจกจ่ายให้พนักงานทุกคนในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เราเอาขนมไหว้พระจันทร์ในส่วนของไซต์งานสะพานต่างระดับมาส่งแล้ว โปรดเซ็นชื่อรับให้หน่อยค่ะ”

เฉินเฟิงเดินไปที่ประตูสำนักงาน ตะโกนเรียกไปทางห้องทำงานอีกสองห้องที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน “พวกนาย ออกมาจากรังตัวเองกันได้แล้ว!”

สหายน้องชายหลายคนของเขารีบวิ่งออกมาจากห้องทำงานทั้งสองทันที “พี่เฉิน มีอะไรจะเรียกใช้ครับ?”

เฉินเฟิงชี้ไปทางพนักงานฝ่ายบุคคล “พวกเธอเอาขนมไหว้พระจันทร์มาส่ง นายคนหนึ่งเซ็นชื่อรับ จากนั้นก็ช่วยกันแจกจ่ายขนมไหว้พระจันทร์ให้ทุกคนในไซต์งานก่อสร้าง ห้ามละเว้นใครเด็ดขาด”

สหายน้องชายตอบรับ จากนั้นก็ปลีกตัวไปนับขนมไหว้พระจันทร์

ถึงขนมไหว้พระจันทร์จะมีเป็นร้อยกล่อง แต่เพราะพวกเขามีกันหลายคน ทำให้การนับเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงห้านาที

พอตรวจสอบแล้วว่าจำนวนถูกต้อง สหายน้องชายคนหนึ่งก็เซ็นชื่อ ส่วนสหายน้องชายอีกคนคว้าหม้อออกไปเคาะเรียกทุกคนที่กำลังทำงานอยู่สองสามครั้ง “ทางบริษัทแจกขนมไหว้พระจันทร์ ทุกคนมาต่อแถวรับขนมเร็ว!”

แรงงานข้ามถิ่นหลายคนได้ยินเสียงตะโกนเรียก พวกเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

ทุกคนเขียนประโยคคำเดียวกันไว้บนใบหน้า ‘สวัสดิการของบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา!’

พอสหายน้องชายทั้งสองเห็นว่าเหล่าแรงงานข้ามชาติไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ตะโกนต่อไปอีกว่า “พวกนายคงรวยมากสินะ ถึงไม่อยากได้ขนมไหว้พระจันทร์?”

ทุกคนไม่เชื่อ หันไปถามพวกเขา “แรงงานก่อสร้างอย่างพวกเราก็ได้ด้วยเหรอ?”

แรงงานข้ามถิ่นที่มาทำงานในไซต์งานก่อสร้างได้รับค่าจ้างจากการทำงานเป็นรายวัน

สวัสดิการเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาได้รับจากไซต์งานคืออาหารสามมื้อต่อวัน รวมถึงเพิงพักที่พวกเขาจัดสรรไว้ให้

นอกเหนือจากนั้น สวัสดิการใด ๆ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสิ้น

สหายน้องชายทั้งสองตอบกลับ “พี่เฉินบอกให้เราแจกจ่ายขนมให้กับทุกคน แม้แต่แรงงานก่อสร้างรายวันก็เหมือนกัน”

พอทุกคนได้ยินแบบนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าใดต่างก็ส่งเสียงโห่ร้อง หยุดทำงาน แล้ววิ่งไปที่หน้าประตูห้องทำงานของเฉินเฟิงเพื่อรับขนมไหว้พระจันทร์ทันที

กล่องหนึ่งมีขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นใหญ่ทั้งหมดแปดชิ้น ทำให้ทุกคนมีความสุขมาก

สำหรับยุคสมัยนี้ที่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือแม้แต่วัตถุดิบบางอย่างขาดแคลน การได้กินขนมไหว้พระจันทร์ถือเป็นเรื่องที่ดี

ไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามถิ่นหรือแรงงานทั่วไปที่เข้าแถวรอรับขนมไหว้พระจันทร์ พวกเขาต่างก็หันไปกล่าวขอบคุณหลินม่ายและเฉินเฟิง

บางคนในกลุ่มพวกเขาเคยทำงานอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างแห่งอื่น ไซต์งานก่อสร้างพวกนั้นดำเนินการโดยรัฐ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยเห็นนายจ้างคนไหนมอบอาหารหรือสิ่งของเครื่องใช้ให้กับแรงงานข้ามถิ่นในช่วงเทศกาลมาก่อน

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าหลินม่ายที่เป็นนายจ้างใหม่อุตส่าห์คิดถึงพวกเขา แถมยังแจกขนมไหว้พระจันทร์ให้พวกเขาอีก จะไม่ให้ทุกคนรู้สึกประทับใจได้อย่างไร

เฉินเฟิงโบกมือ “พวกนายไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ไปขอบคุณหัวหน้าหลินเถอะ เธอวางแผนจัดเตรียมขนมไหว้พระจันทร์กันเอง ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ”

หลินม่ายรีบพูดว่า “พวกคุณไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ทุกคนต่างก็มีส่วนทำให้โครงการของเราขับเคลื่อนไปได้ เราถึงตั้งใจตอบแทนพวกคุณด้วยขนมไหว้พระจันทร์พวกนี้”

ทุกคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกประทับใจมากขึ้นไปอีก

หลินม่ายมองว่าทุกคนเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานในองค์กร จึงให้ความเคารพทุกคนอย่างเท่าเทียม

หลินม่ายยังบอกเฉินเฟิงด้วยว่า วันไหว้พระจันทร์ที่จะถึงนี้ ควรมีอาหารพิเศษแจกให้กับคนงานทุกคนด้วย

เฉินเฟิงยิ้มกว้าง ถามทุกคนว่าวันไหว้พระจันทร์อยากกินของอร่อยอะไรเป็นพิเศษ

หลายคนตอบพร้อมกัน “พวกเราอยากกินหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง!”

แรงงานข้ามถิ่นวัยรุ่นแทรกตัวไปอยู่ข้างหน้า แล้วตะโกนพร้อมกัน “ไม่เอาหมูสับชิ้นเท่าเมล็ดข้าวนะ ขอหมูสามชั้นขนาดเท่าฝ่ามือเด็กเลย แบ่งให้อย่างน้อยคนละสองชิ้นก็ได้ พวกเราจะกินให้หนำใจเลย!”

สำหรับผู้ที่ใช้แรงงาน อาหารโปรดของพวกเขาคือหมูสามชั้นแบบมันเยิ้ม ๆ

ถึงแม้แรงงานข้ามถิ่นที่มีอายุมากกว่าหนุ่ม ๆ เหล่านี้จะไม่กล้าร้องขอ แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงหมูสามชั้นขนาดเท่าฝ่ามือเด็ก

เฉินเฟิงมองไปยังกลุ่มแรงงานข้ามถิ่นวัยรุ่นเหล่านั้น แกล้งดุพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ฉันเคยแจกกับข้าวที่เป็นหมูสับขนาดเท่าเมล็ดข้าวให้พวกนายตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่างน้อยเนื้อสัตว์ก็หั่นชิ้นเท่าถั่วปากอ้าเชียวนะโว้ย พวกนายคิดจะแฉฉันต่อหน้าหัวหน้าหลินหรือไง”

ทุกคนหัวเราะกันยกใหญ่

เฉินเฟิงพูดพลางเคาะขมับข้างหนึ่ง “เอาอย่างนี้ ในวันไหว้พระจันทร์ พวกนายจะได้รับปลาทอดคนละครึ่งชั่งสำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็น หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงขนาดเท่าฝ่ามือเด็กคนละสามชิ้น กับซาลาเปาไส้เนื้อสำหรับมื้อเช้า มีใครคัดค้านเมนูอาหารพวกนี้ไหม?”

ทุกคนตอบรับอย่างมีความสุข “ไม่มีครับ!”

ใบหน้าของเฉินเฟิงกลับมาเคร่งขรึม “งั้นก็กลับไปทำงานกันได้แล้ว!”

แรงงานข้ามถิ่นเหล่านั้นรีบเอาขนมไหว้พระจันทร์ไปเก็บไว้ในเพิงพักที่พวกเขาอาศัยอยู่ จากนั้นก็กลับไปทำงานต่อ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เป็นที่แรกเลยมั้งที่แจกขนมไหว้พระจันทร์ บริษัทอื่นมีแบบนี้ที่ไหน

ไหหม่า(海馬)