บทที่ 420 ไม่ใช่คนดี

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เยี่ยมไปเลย” ป้าส้มปรบมือหนึ่งครั้ง ดีใจอย่างสุดขีด

เธอเองก็รู้ว่าความเข้าใจผิดระหว่างคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงได้คลี่คลายลง และอยากให้ทั้งสองคนคืนดีกันตั้งนานแล้ว

ตอนนี้เห็นทั้งสองคนมีความเป็นไปได้ว่าจะคืนดีกัน ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา

“งั้นคุณผู้หญิงคะ เดี๋ยวดิฉันจะไปเตรียมอาหารเย็นที่ห้องครัวนะคะ” ป้าส้มกล่าว

วารุณีพยักหน้า “ค่ะ”

หลังจากที่ป้าส้มจากไป เธอก็เอาเค้กไปแช่ไว้ในตู้เย็น จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหานัทธี

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอโทรหาเขา หลังจากที่ได้เมินเฉยต่อเขามาเป็นเวลานาน

ในตอนที่นัทธีรับโทรศัพท์ ยังรู้สึกเบิกบานใจอยู่ไม่น้อย

“ฮัลโหล” เสียงทุ้มต่ำเสนาะหูของนัทธีลอยออกมา

วารุณีไอเบา ๆ หนึ่งครั้ง “สุขสันต์วันเกิด”

นัทธีชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มพลางอืมตอบรับหนึ่งครั้ง

วารุณีเงียบไปสองวินาที ถึงได้ถามขึ้นมา “ตอนเย็นจะกลับมาตอนไหน? ป้าส้มทำอาหารเย็นรอคุณกลับมา”

“แล้วคุณล่ะ คุณไม่รอผมเหรอ?” นัทธีไม่ตอบแต่ถามกลับ

วารุณีหน้าแดงเล็กน้อยและก้มหน้าลง “ฉันไม่รอคุณหรอก คุณจะกลับมาหรือไม่ก็แล้วแต่”

พูดจบ เธอก็ตัดสายไปทันที

นัทธีมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เด้งกลับไปหน้าเมนูหลัก และยิ้มออกมาเบา ๆ จากนั้นก็วางโทรศัพท์ลง และเรียกมารุตเข้ามา

“ท่านประธานครับ” มารุตยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา

นัทธียื่นเอกสารปึกหนึ่งบนโต๊ะออกไป “พวกนี้นายไปจัดการ ตอนบ่ายฉันจะต้องรีบกลับไปเร็วหน่อย”

มารุตมุมปากกระตุกเล็กน้อย “ครับ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านประธานทิ้งหน้าที่รับผิดชอบ โยนงานให้กับเขา

เมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิดหรือวันปีใหม่ ท่านประธานต่างก็ทำเหมือนกับไม่รู้ไม่ชี้

ตอนนี้แต่งงานแล้ว มีคนจัดงานวันเกิดให้ มันต่างกันจริง ๆ

มารุตก้มหน้ามองเอกสารปึกใหญ่ที่อยู่ในอ้อมแขน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มครุ่นคิดพิจารณา ตัวเองก็ควรจะหาแฟนแล้วหรือเปล่า

อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่วารุณีได้คุยโทรศัพท์เสร็จ ก็วางโทรศัพท์ลง

ทันใดนั้น เสียงของนวิยาก็ได้ดังลงมาจากด้านบน “คุณวารุณี เธอจะจัดงานวันเกิดให้นัทธีเหรอ?”

วารุณีขมวดคิ้วเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้น แล้วสบตากับหล่อนอย่างสงบ “ฉันเป็นภรรยาของเขา ฉันไม่จัดงานวันเกิดให้เขา ใครจะเป็นคนจัดล่ะ?”

ดวงตาของนวิยาหม่นหมองลงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “คุณวารุณี ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันก็แค่กำลังคิดว่าเธอเตรียมที่จะหย่ากับนัทธีแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไม……”

“ฉันไม่หย่าแล้วได้ไหมล่ะ?” วารุณีหมุนแขน และมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “อีกอย่างฉันอยากจะหย่าก็หย่า ฉันไม่อยากจะหย่าก็ไม่หย่าง เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ไม่จำเป็นต้องให้เธอมายุ่งหรอก อ๋อ ฉันรู้แล้ว เธออยากจะให้ฉันหย่ากับเขา จากนั้นก็ถือโอกาสขึ้นครองตำแหน่งสินะ?”

นวิยาเหมือนกับได้รับบาดเจ็บหนัก เธอกัดริมฝีปาก “คุณวารุณี เธอคิดกับฉันแบบนี้ มันจะมากเกินไปหรือเปล่า?”

“เป็นฉันที่คิดแบบนี้ แต่ไม่ใช่ในใจเธอเองก็คิดแบบนี้หรอกเหรอ?” วารุณีชี้ไปที่หน้าอกของเธอ “ที่นี่มีแค่พวกเราสองคน พวกเราพูดกันตรง ๆ เลยดีกว่า ทำไมเธอถึงคบกับพิชิต ฉันเองก็รู้ ก็เพื่อให้ฉันและนัทธีระมัดระวังเธอน้อยลงแค่นั้นเอง เธอสามารถซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ จากนั้นก็หาโอกาสทิ้งพิชิตไปและขึ้นครองตำแหน่งสินะ?”

รูม่านตาของนวิยาหดตัวเล็กน้อย ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาโดยสัญชาตญาณและมองวารุณีอย่างไม่อยากจะเชื่อ

เธอ คิดไม่ถึงว่าเธอจะคาดเดาได้แม่นยำขนาดนี้

วารุณีเห็นปฏิกิริยาของนวิยา ก็รู้ทันทีว่าตัวเองนั้นพูดถูก เลยยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน “เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ถ้าไม่อยากให้มีใครรู้ เว้นแต่เธอจะไม่ทำ ต่อให้เธอปิดบังดีขนาดไหน สิ่งที่ควรจะรู้ คนอื่นก็ต้องรู้เหมือนเดิม เธออยากจะขึ้นของตำแหน่ง ฉันจะบอกเธอให้นะ ไม่มีทาง อีกอย่าง!”

เธอยิ้มลึกขึ้นมากว่าเดิม “เธออยากจะให้ฉันกลับนัทธีหย่ากัน ฉันก็จะไม่หย่า ต่อให้ฉันตายก็จะต้องนั่งอยู่บนตำแหน่งที่เธออยากจะนั่งนี้ ให้เธอทำได้แค่มอง แต่เอามันมาไม่ได้ แค่คิดถึงความรู้สึกแบบนั้น คงจะสะใจไม่เบา”

พูดจบ วารุณีก็ปิดปากหัวเราะขึ้นมา

เธอพลันรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ของตัวเอง ให้ความรู้สึกของตัวร้ายอย่างเต็มเปี่ยม

แต่ว่าสำหรับคนที่หน้าด้าน และมีใจคิดร้ายอย่างนวิยาแล้ว ก็ไม่สามารถอ่อนข้ออย่างเมื่อก่อนได้

ควรจะตอบโต้ยังไง ก็ตอบโต้อย่างนั้น

นวิยาได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของวารุณี ก็โมโหจนตัวสั่น ใบหน้าบิดเบี้ยว

เธอคิดไม่ถึงวารุณีในตอนนี้ เหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคน จัดการได้ยากแบบนี้

หรือว่าการเมินเฉยของนัทธีในระยะที่ผ่านมา ทำให้นิสัยของวารุณีเปลี่ยนไป

คิดไป นวิยาก็หรี่ตาลง “คุณวารุณี คำพูดบางอย่างอย่ามั่นใจให้มาก และอย่าพูดเร็วจนเกินไป เรื่องราวบนโลกไม่แน่นอน ใครจะไปรู้ล่ะว่าวินาทีต่อมาจะเกิดเรื่องอะไร”

ไม่หย่า ก็เป็นหม้ายได้เหมือนกันนี่

ขอเพียงตำแหน่งภรรยาของนัทธีว่างออกมา

เธอก็มีโอกาส

วารุณีฟังออกว่าในคำพูดของนวิยาแฝงความหมายเอาไว้ เธอเม้มริมฝีปากแดง ๆ “คุณนวิยา เธอพูดแบบนี้ คิดจะทำอะไร คิดจะฆ่าฉันเหรอ?”

นัยน์ตาของนวิยากะพริบเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่ “คุณวารุณีพูดตลกแล้ว เรื่องแบบนี้ ฉันจะกล้าทำได้ยังไง”

“ไม่ ฉันคิดว่าเธอกล้า ยิ่งไปกว่านั้น ฉันคิดว่าเธอเคยทำมาแล้ว” วารุณีจ้องมองเธอ

หัวใจของนวิยากระตุกอย่างแรง

วารุณีหมายความว่ายังไง

หรือว่าวารุณีรู้แล้าว่าสองครั้งนั้นเป็นฝีมือของเธอ?

หรือว่า วารุณีจะรู้ว่า คุณพ่อคุณแม่ของนัทธี……

มือที่วางอยู่ข้างตัวของนวิยากำแน่น รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน ก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

ดูเหมือนว่า จะเอาวารุณีไว้ไม่ได้แล้วจริง ๆ

ไม่อย่างนั้นละก็ ทันทีที่เรื่องที่เธอทำถูกเปิดโปงออกมา เธอคงต้องจบเห่แล้วจริง ๆ นัทธีจะต้องไม่เอาเธอไว้แน่ เกรงว่าแม้แต่ตระกูลผดุงธรรมก็จะไม่ปล่อยเอาไว้

นวิยาหน้าซีดเผือดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามยิ้มออกมา “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณวารุณีกำลังพูดอะไรอยู่”

“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่เธอเพียงต้องจำไว้ว่า ฉันจะต้องสืบให้ชัดเจนอย่างแน่นอน”

พูดจบ วารุณีก็ลุกขึ้น และเดินไปที่ประตูทางเข้า

จนกระทั่งเงาร่างของเธอหายไป ทั่วทั้งร่างกายของนวิยาถึงได้อ่อนฮวบลง และนั่งก้นจ้ำบ้ำลงไปที่ทางเดิน แผ่นหลังเปียกเต็มไปด้วยเหงื่อ ทำให้เสื้อติดอยู่ที่แผ่นหลังของเธอ หนาวจนเธอสั่นสะบั้น

วารุณีไม่รู้ว่าหลังจากที่ตัวเองจากไป นวิยามีปฏิกิริยายังไง

วารุณีมาที่เรือนจำมี เพื่อพบกับทารีนาอีกครั้ง

ครั้งที่แล้ว เธอลืมถามทารีนาไปว่ายังจำเสียงของนวิยาได้หรือไม่

วันเยี่ยมญาติในครั้งนี้ เธอจะต้องถามให้ได้

เธอจะต้องยืนยันโดยเร็วที่สุดว่า แท้จริงแล้วนวิยาใช่ฆาตกรที่คิดจะฆ่าเธอหรือเปล่า มีเพียงแบบนี้ ถึงจะสามารถจับตานวิยาได้ดีขึ้นกว่าเดิม

“คุณวารุณี” ทารีนามองวารุณีด้วยความตื่นเต้นดีใจ

วารุณีเองก็พิจารณาดูเธอ

เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ใบหน้าของทารีนามีน้ำมีนวลขึ้นมาเล็กน้อย สายตาก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความหดหู่อีกต่อไป แต่มีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง

บางทีอาจจะเป็นเพราะรู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะออกมาได้

“คุณวารุณี แม่ของฉันสบายดีไหมคะ?” มือของทารีนากุมโทรศัพท์ตั้งโต๊ะไว้แน่นพลางเอ่ยถาม

วารุณีพยักหน้า “วางใจเถอะ พวกเขาสบายดี คุณแม่ของเธอขายเครื่องประดับหยกที่เป็นมรดกตกทอดให้กับฉัน และใช้หนี้จนหมดแล้ว คุณแม่ของเธอกำลังพิจารณาว่าจะให้น้องชายเธอย้ายโรงเรียน ต่อไปก็จะไม่มีใครรังแกน้องชายของเธออีก”

“งั้นเหรอคะ? ดีมากเลย” ทารีนาน้ำตาตก “ขอบคุณมากนะคะคุณวารุณี”

“ไม่เป็นไร” วารุณีโบกมือ จากนั้นก็มีท่าทางจริงจังขึ้นมา “ที่ฉันมาในครั้งนี้ ก็เพื่ออยากจะถามคำถามหนึ่งกับเธอ”

“คุณวารุณีถามมาได้เลยค่ะ ถ้าฉันรู้ฉันจะต้องบอกแน่” ทารีนารีบเช็ดน้ำตา

วารุณีเม้มริมฝีปาก สายตาจับจ้องไปที่เธอ “เธอสนิทกับนวิยาไหม?”

“นวิยา?” ทารีนาชะงักไป “คุณวารุณีหมายถึง คุณหนูตระกูลแก้วสุทธิที่ล้มละลายไปเมื่อสิบปีก่อนใช่ไหมคะ?”

“ถูกต้อง”

ทารีนาส่ายหัว “ไม่สนิทหรอกค่ะ แต่ว่าเพราะอยู่ในสังคมเดียวกัน เละพอจะมีความสัมพันธ์อยู่บ้าง”

“งั้นเธอคิดว่าหล่อนเป็นคนยังไง?” วารุณีถามอีก

ทารีนาครุ่นคิดอยู่สักพัก “เมื่อสิบปีก่อน พวกเรายังเด็กอยู่ พึ่งอายุสิบกว่าปี แต่ฉันรู้สึกว่าหล่อนไม่ใช่คนที่จะคบหาได้ง่ายสักเท่าไหร่ อืม……ควรจะพูดว่า หล่อนไม่ใช่คนดี เพื่อนคนอื่น ๆ ของพวกเรา ต่างก็ไม่อยากจะคบหากับหล่อน”

“ทำไมเหรอ?” วารุณีหรี่ตาลง