บทที่ 421 สาเหตุที่ตระกูลแก้วสุทธิล้มละลาย

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ไม่ใช่คนดี การประเมินแบบนี้เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่า นวิยาคุณหนูที่อยู่ในแวดวงตระกูลเศรษฐีก่อนหน้านี้ มีอุปนิสัยที่ไม่ค่อยดี

ทารีนาเหมือนนึกอะไรที่น่ากลัวขึ้นได้ และใบหน้าค่อนข้างตกใจกลัวเล็กน้อย “นั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ฉันจำได้ว่ามีงานเลี้ยงกุศลงานหนึ่ง ฉันได้ดื่มน้ำผลไม้เยอะมาก จากนั้นจึงไปเข้าห้องน้ำด้านนอก ระหว่างทางที่เดินผ่านสวนดอกไม้ ก็เห็นวิยาที่ใบหน้านดุร้ายกำลังทำทารุณกรรมแมวน้อยตัวหนึ่ง”

“อะไรนะ” วารุณีก็ตกใจเช่นกัน

ทารีนาตัวสั่นเทา “แมวตัวนั้นส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน บนตัวมีเลือดไหลออกมา แต่ว่าตอนนั้นฉันตกใจมาก ไม่กล้าเข้าไปช่วยแมวตัวนั้น บวกกับท่าทางที่น่ากลัวของนวิยา ฉันกลัวว่าหากฉันถูกเธอมองเห็น เธอจะทรมานฉันเหมือนกับที่ทรมานแมวตัวนั้น ดังนั้นฉันก็เลยรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว จากนั้น……”

“จากนั้นอะไร”

ทารีนาสูดลมหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า:“จากนั้นแมวตัวนั้นก็ตาย แมวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณหญิงจิตตาเจ้าของงานเลี้ยง เมื่อคุณหญิงจิตตารู้ว่าแมวตัวนั้นตายแล้ว จึงเสียใจอย่างมาก และก็ให้คนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

“สืบได้เรื่องไหม” วารุณีมองเธอ

ทารีนายิ้มเศร้า “จะสืบเจอได้ยังไง ตระกูลแก้วสุทธิไม่ต้องการให้คุณหญิงจิตตาสืบเจอว่าเป็นฝีมือนวิยา จึงได้ใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือคุณหนูตระกูลราชเสภา จากนั้นคุณหนูตระกูลราชเสภาจึงถูกไล่ออกจากงานเลี้ยง ตอนนั้นฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดออกมาในสิ่งที่ตัวเองเห็น เมื่อเรื่องผ่านไปฉันถึงได้เล่าให้คุณหนูตระกูลราชเสภาฟัง”

“ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมตระกูลแก้วสุทธิล้มละลาย?” วารุณีคาดเดา

ทารีนาพยักหน้า “ใช่ ตระกูลราชเสภาร่วมมือกับศัตรูของตระกูลแก้วสุทธิ เพื่อต่อกรกับตระกูลแก้วสุทธิ ตระกูลแก้วสุทธิจึงได้ล้มละลาย เรื่องที่นวิยาทำทารุณกรรมแมว จึงได้แพร่กระจายไปในแวดวงใน”

“ในเมื่อแพร่กระจายแล้ว ทำไมนัทธีถึงไม่รู้เรื่องล่ะ” วารุณีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ถ้านัทธีรู้ว่านวิยามีนิสัยการชอบทารุณสัตว์น้อย ก็คงจะไม่เอ็นดูนวิยามากขนาดนนี้

“ประธานนัทธีตอนนั้นไม่ได้อยู่ที่จังหวัดจันทร์ กำลังศึกษาต่ออยู่ที่ต่างประเทศ และได้กลับมาตอนที่นวิยาหายตัวไป ตอนนั้นตระกูลแก้วสุทธิไม่เหลือแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่นวิยาทำไว้ก่อนหน้านี้ ประธานนัทธีไม่รู้ก็เป็นเรื่องที่ปกติ” ทารีนากล่าวอธิบาย

วารุณีกล่าวขึ้นทันที “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

“คุณหญิงวารุณี ทำไมคุณจู่ ๆ ถึงได้ถามเรื่องของนวิยากับฉันล่ะ เธอหายตัวไปแล้วไม่ใช่เหรอ มีคนบอกว่าเธอนั้นเสียชีวิตไปแล้ว” ทารีนามองเธอด้วยความสงสัย

วารุณียกมุมปากด้วยความเย็นชา “ไม่หรอก เธอยังไม่เสียชีวิต และเธอก็ไม่ได้หายตัวไป เธอแค่นอนป่วยเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ที่โรงพยาบาลมาสิบปี เพียงแต่แค่ข่าวนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้นคนนอกจึงไม่รู้กัน และตอนนี้เธอก็ได้ฟื้นแล้ว ที่ฉันมาหาเธอก็เพื่ออยากจะถามว่า เสียงคนที่ให้เธอรับโทษแทนนั้นใช่นวิยาไหม”

ทารีนาตกใจชะงักเมื่อถูกถามแบบนี้ จากนั้นก็หวนคิดเรื่องราวอย่างจริงจัง

ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็เปิดปากด้วยความตกใจ “คุณหญิงวารุณีการเตือนความจำของคุณนี้ ดูเหมือนจะใช่เสียงเธอจริง ๆ ถึงแม้จะสิบปีแล้วที่ฉันไม่ได้เจอเธอ และก็ไม่ได้ยินเสียงของเธอ แต่ว่าเมื่อหวนคิดถึงเสียงของนวิยา ก็ยังคงจำได้เสมอ ถึงแม้ว่าเสียงที่ฉันได้คุยสายด้วยนั้นจะแตกต่างกับเสียงของนวิยาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก”

“เพียงพอแล้ว มีคำพูดประโยคนี้ของเธอ เพียงพอที่ฉันจะมั่นใจได้แล้ว ว่าคนร้ายตัวจริงที่ต้องการจะฆ่าฉัน ก็คือนวิยา” วารุณีกำฝ่ามือไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ใช่แล้ว ตอนแรกคนที่สืบได้ว่าคนร้ายคือทารีนา ก็คือนายท่านบุญชัยที่นัทธีเป็นคนหามา

เพราะว่านายท่านบุญชัยเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุแล้ว และยังเป็นตำแหน่งที่ใหญ่โต ดังนั้นเธอกับนัทธีจึงไม่เคยสงสัยคลางแคลงใจในผลที่นายท่านบุญชัยตรวจสอบมา

แต่ว่าเธอกับนัทธีได้มองข้ามประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากไป นั่นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านบุญชัยกับนวิยา

ถึงแม้ว่านัทธีจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านายท่านบุญชัยคือทวดของนวิยา แต่ว่าเวลานั้นนัทธีคิดว่านวิยาเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยไร้เดียงสา จึงไม่เคยคิดว่านวิยาอาจจะเป็นคนร้าย ดังนั้นก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่คิดว่านายท่านบุญชัยจะให้การปกป้องนวิยา

ส่วนเธอคิดไม่ถึงเลย เพราะว่าตอนนั้นเธอยังไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านบุญชัยกับนวิยา เพิ่งจะมารู้ทีหลัง เพียงแต่ว่าตอนนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าทารีนานั้นเป็นคนรับโทษแทน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดเรื่องที่นายท่านบุญชัยหาจะคนมารับโทษแทนนวิยา

จนกระทั่งตอนนี้ เธอถึงได้เข้าใจเรื่องราวนี้ซับซ้อนเพียงใด

โดยเฉพาะนายท่านบุญชัยผู้เกษียณด้วยตำแหน่งข้าราชการเก่าแก่ กลับปกป้องคนร้ายแบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่ารังเกียจจริง ๆ

เธอที่อุตส่าห์ซาบซึ้งใจขอบคุณเขาก่อนหน้านี้ และยังเห็นแก่หน้าเขา ไม่เอาเรื่องที่นวิยาผลักเธอตกจากตึก

“คุณหญิงวารุณี คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เห็นใบหน้าของวารุณีที่โกรธและเจ็บปวดมาก ทารีนาจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

วารุณีส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร ฉันแค่คิดเข้าใจถึงบางอย่างที่ฉันไม่เคยเข้าใจก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง”

“เหรอคะ” ทารีนาพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

วารุณีสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มระงับความโกรธที่อยู่ในใจไว้ แล้วยกมุมปากขึ้น “เอาล่ะ ฉันต้องวางแล้ว ครั้งต่อไปฉันจะพาแม่ของคุณมาเยี่ยมคุณด้วย”

“ค่ะ คุณหญิงวารุณีค่อย ๆ ไปนะคะ” ทารีนากล่าวขอบคุณ

วารุณีวางสายโทรศัพท์บ้านลงแล้วหันหลังจากไป

หลังจากที่ออกจากเรือนจำ เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วทำการบันทึกเสียงที่เธอสนทนากับทารีนาเมื่อสักครู่ จากนั้นถึงได้ขึ้นรถแล้วไปรับเด็ก ๆ สองคนที่โรงเรียนอนุบาล

เมื่อรับเด็ก ๆ แล้ว วารุณีก็โทรศัพท์หานัทธี ถามเขาว่าเลิกงานเมื่อไร

นัทธีมองดูเอกสารเร่งด่วนที่กองอยู่ตรงหน้า แล้วสีหน้าก็ดำขึ้นราวกับน้ำหมึก “คงน่าจะดึก”

เดิมทีเขาได้ปัดงานมากมายไปให้มารุตแล้ว และสามารถที่จะกลับบ้านเช้าได้

แต่ใครจะไปรู้ว่าทางต่างประเทศได้ส่งเอกสารเร่งด่วนมาให้ และจะต้องเร่งจัดการในทันที

ดังนั้นแผนที่ว่าเขาจะเลิกงานก่อนเวลานั้นต้องจบลง และต้องมานั่งทำงานอย่างตัวเป็นเกลียว

วารุณีฟังออกถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงของชายหนุ่ม จึงอดไม่ได้ที่จะยกริมฝีปากยิ้มขึ้น “ไม่เป็นไร ดึกก็ดึก”

“อืม เลิกงานแล้วจะโทรหานะ” นัทธีเก็บสีหน้าที่ดำคร่ำเครียด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

วารุณีพยักหน้า “ค่ะ”

จากนั้น เธอก็เก็บโทรศัพท์แล้วสตาร์ทรถ

ห้องสำนักงานของประธานบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ป นัทธีมองรูปถ่ายสามแม่ลูกที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อย จากนั้นก็ปิดโทรศัพทลงและเริ่มทำงานต่อ

เวลานี้ห้องทำงานมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

นัทธีขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัดเจนว่าไม่พอใจที่ถูกคนรบกวน แต่ว่าริมฝีปากที่บางเบาก็ยังเปล่งเสียงเย็นชาออกมาสองคำ “เข้ามา”

ประตูห้องทำงานถูกผลักออก นวิยาเดินเข้ามาจากด้านนอก “นัทธี”

“อยู่ที่นี่โปรดเรียกผมว่าท่านประธาน” นัทธีกล่าวเบา ๆ

ก่อนหน้านี้ที่เธอเรียกชื่อของเขา วางของที่ห้องของเขา เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและไม่ได้ว่าอะไร

แต่หลังจากที่วารุณีได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเธอ เขาจึงคิดว่าให้ทำตามกฎระเบียบจะดีกว่า

นวิยาได้ยินนัทธีบอกให้เรียกเขาว่าท่านประทาน สีหน้าจึงอึ้งไปครู่หนึ่ง และกำฝ่ามือแน่น

แต่เพียงครู่เดียวเธอก็แกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คลายฝ่ามือออก ยิ้มแล้วเดินมุ่งตรงมาที่ด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขา “ได้ค่ะท่านประธาน”

“คุณมีเรื่องอะไร เมื่อวานคุณบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย วันนี้อยากจะลางานพักผ่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ ๆ ถึงมาที่บริษัทล่ะ” นัทธีวางปากกาลง นิ้วมือสอดเข้าหากันแล้ววางอยู่บนหัวเข่าที่กำลังไขว่ห้าง

นวิยาลูบจับวิกผม “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ อยู่บ้านก็เบื่อ ก็เลยมาทำงานเสียเลย อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนร่วมงานที่คอยคุยเป็นเพื่อน แต่ว่าเมื่อสักครู่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณ นัทธีคะ ค่ำนี้เราไปทานอาหารด้วยกันนะ เรียกพิชิตไปด้วย พวกเราไปฉลองให้คุณด้วยกันดีไหม”

สายตาของเธอมองเขาอย่างมีความหวัง