เคธี่มักถูกฟั่นเพ่ยยั่วโมโหให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่หญิงสาวก็ทำอะไรเขาไม่ได้
สุดท้ายแล้วเคธี่ก็คิดออกวิธีหนึ่ง นั้นก็คือการทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน
ไม่ว่า ฟั่นเพ่ยจะพูดอะไรกับเธอ เคธี่ก็ทำเมินเฉย เสมือนไม่มีบุคคลนั้นอยู่รอบตัวเธอ
เธอไม่เชื่อว่า เธอทำถึงขนาดนี้แล้ว ฟั่นเพ่ยจะยังคงพูดคุยอยู่คนเดียวได้อีก
เคธี่เดินออกจากบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปและตรงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน ฟั่นเพ่ยก็เดินตามเคธี่ไปยังลานจอดเช่นกัน
ฟั่นเพ่ยคุยกับเคธี่มาตลอดทาง แต่เคธี่ทำเหมือนรอบตัวเธอไม่มีใครอื่นใดอยู่ เสมือนมีเพียงแมลงหวี่แมลงวันเท่านั้น
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นเข้า ต่างก็คิดว่าเป็นคู่รักที่กำลังทะเลาะกันอยู่
เคธี่ปลดล็อกรถของเธอจากระยะไกล หลังจากได้ยินเสียงปลดล็อกของรถ หญิงสาวก็เร่งฝีเท้า หวังจะขึ้นรถเพื่อที่จะได้ขับออกไป
เมื่อเธอเปิดประตูรถได้ ก็ขึ้นไปนั่งประจำยังที่นั่งคนขับ จังหวะนั้นเองฟั่นเพ่ยก็รวดเร็วพอกัน เมื่อเคธี่หันกลับมา ฟั่นเพ่ยก็นั่งอยู่ที่เบาะนั่งข้างคนขับเธอเรียบร้อยแล้ว
“นี่คุณจะทำอะไร!”เคธี่ก็ทนไม่ไหวในที่สุด
ฟั่นเพ่ยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเคธี่ถึงได้หงุดหงิดขึ้นมา:“ก็ไปกินมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนคุณไง คุณบอกเองนี่ กินข้าวคนเดียวมันเหงา”
“ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ”ใบหน้าเคธี่เต็มไปด้วยความสงสัย เธอพูดประโยคนั้นไปตอนไหนกัน
“ก็คุณชวนคุณชายลี่ไปกินข้าว แสดงว่าคุณต้องไปกินคนเดียว แต่คุณชายลี่เขาปฏิเสธคุณ เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องไปกินคนเดียวหากคุณไม่เหงา แล้วคุณจะชวนคุณชายลี่ไปกินข้าวกับคุณทำไม?”ฟั่นเพ่ยวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล
เคธี่กุมขมับ แล้วหายใจเข้าลึกๆ เธอยอมกับตรรกะการใช้เหตุผลอันน่าพิสดารของฟั่นเพ่ยแล้วจริงๆ
“ลงไปจากรถฉันเดี๋ยวนี้!”เคธี่ไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ในตอนนี้
“ไม่ครับ”
“ถ้านายไม่ลงไปจากรถฉันฉันจะถีบนายลงไปเอง!”เคธี่ตะโกนออกมา ใบหน้าแดงก่ำ และลำคอปรากฏเส้นเลือดอย่างชัดเจน
ฟั่นเพ่ยตกใจกับท่าทีของเคธี่เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ และร่างกายก็สั่นไหวเล็กน้อย
“ไสหัวไป!”เคธี่ไม่เคยโกรธแบบนี้มานานมากแล้ว
เมื่อฟั่นเพ่ยเห็นท่าไม่ดี คราวนี้คงยั่วโมโหแม่สาวคนนี้เข้าให้แล้วจริงๆ
ฟั่นเพ่ยเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อฟั่นเพ่ยปิดประตูรถได้ รถสปอร์ตสีแดงก็ขับผ่านหน้าชายหนุ่มออกไปทำให้ฟั่นเพ่ย ที่ยังมีอาการตกใจอยู่ถึงกับต้องเอามือลูบอกตัวเองไปมาเบาๆ
ฟั่นเพ่ยกำลังสงบสติอารมณ์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเคธี่โมโห แสดงว่าที่ผ่านมาเคธี่คงอดทนกับเขาอยู่มาก วันนี้สงสัยจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ทุกครั้งที่มีอารมณ์โมโห ก็มักเป็นเพียงเพราะเรื่องปกติทั่วไปที่เก็บสะสมมาก็เท่านั้น
ฟั่นเพ่ยคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่ หากเขายังทำแบบนี้อีก ไม่รู้ว่าความอดทนที่มีของเคธี่จะขาดผึงลงวันไหน
ฟั่นเพ่ยตัดสินใจกลับเข้าไปยังห้องทำงานของลี่จุนถิงเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในระหว่างทางกลับไปนั้นฟั่นเพ่ยก็คิดใคร่ครวญ ว่าเขาทำผิดอะไรตรงไหน
เขาคิดว่าเขาคงจะทำเกินไปจริงๆ และเคธี่เองก็คงอยากจะใกล้ชิดกับลี่จุนถิง แต่ตัวเขาก็ยังคงค่อยขัดขวางมันทุกครั้ง จึงทำให้เคธี่รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง สะสมนานวันเข้า เลยทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้ก็เป็นได้
ฟั่นเพ่ยมักได้ยินที่ซู่จี้งยี้พูดบ่อยๆเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากันระหว่างเคธี่ เคธี่ที่จ้องจะเข้าหาลี่จุนถิงอยู่ตลอดเวลา แต่ลี่จุนถิงก็มักมีข้ออ้างต่างๆเพื่อที่จะหลบเลี่ยง วันนี้ก็เป็นโอกาสของเคธี่อีกครั้ง แต่ก็กลับถูกเขาทำลายมันลงไปอีก
และเคธี่เองก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไรนัก
ฟั่นเพ่ยคิดไปต่างๆนานาจนเดินมายืนอยู่หน้าห้องทำงานของลี่จุนถิง
ลี่จุนถิงที่เพิ่งจัดการงานบนโต๊ะตัวเองเสร็จเรียบร้อย และเปิดประตูออกมาพอดี
เมื่อเห็นฟั่นเพ่ย ก็รู้สึกแปลกใจ:“นายไม่ได้ไปกินข้าวกับเคธี่หรอกเหรอ ?”
ฟั่นเพ่ยยิ้มเจื่อนๆ :“ ผมไปยั่วโมโหเธอเข้านะสิ ? ”
ลี่จุนถิงไม่ได้ใส่ใจอะไร:“ นายก็ยั่วโมโหเขาตลอดอยู่แล้วนี่ ?”
ลี่จุนถิงมองออกว่า ทุกครั้งที่ฟั่นเพ่ยปรากฏตัว สีหน้าของเคธี่ยิ่งกว่าคนไปกินรังแตนมาเสียอีก
“ไม่ คุณชายลี่ วันนี้เธอโมโหจริงๆ”สีหน้าของฟั่นเพ่ยแสดงออกถึงความขับข้องใจ
ลี่จุนถิงตงิดในใจ หรือว่าไม้กันหมานี้ของเขาจะใช้ไม่ได้ผลเสียแล้ว ?
“ไปเถอะ ฉันเลี้ยงข้าวนายแล้วกัน เราจะได้กินไปคุยไปกัน ”ลี่จุนถิงพูดพลางเดินนำหน้าไป
ฟั่นเพ่ยก็เดินตามมาติดๆ
เพื่อประหยัดเวลา ลี่จุนถิงเลือกที่จะกินข้าวในโรงอาหารของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป
แม้ว่าโรงอาหารนี้จะเป็นโรงอาหารของบริษัท แต่เชฟที่มาปรุงอาหารก็จ้างมาจากโรงแรมชื่อดัง เพราะฉะนั้นรสชาติก็ถือว่าดีใช้ได้เลย
ในโรงอาหารมีห้องส่วนตัวสำหรับประธานอย่างลี่จุนถิง
ฟั่นเพ่ยเองก็เดินตามลี่จุนถิงมายังห้องส่วนตัวของประธาน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ลี่จุนถิงจึงเอ่ยพูดว่า:“ไหนเล่ามาสิ นายไปทำอะไรถึงทำให้เคธี่โมโหได้ ”
ลี่จุนถิงเริ่มคิดกังวลแล้วว่าเคธี่คงจะขาดสติจนคลุ้มคลั่งเข้าให้แล้ว
ฟั่นเพ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากออฟฟิศกับเคธี่ แม้สิ่งที่เขาทำจะเป็นเรื่องปรกติที่เคยทำมาเป็นประจำก็ตาม แต่วันนี้คงจะกักเก็บอารมณ์เอาไว้เต็มที่แล้ว
ลี่จุนถิงฟังจบก็เงียบไป
“เพราะฉะนั้น คุณชายลี่ ผมคิดว่าเราต้องหาวิธีใหม่แล้ว ”ฟั่นเพ่ยคิดแผนใหม่ในใจ
“แผนอะไร?”ลี่จุนถิงสงสัยขึ้นมาทันที
ฟั่นเพ่ยลังเลเล็กน้อยที่จะพูด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปด้วย
“นายพูดมาเถอะ ไม่เป็นไร”เมื่อลี่จุนถิงเห็นอาการลังเลของฟั่นเพ่ย
เมื่อได้รับการพยักหน้าจากลี่จุนถิง ฟั่นเพ่ยก็เอ่ยพูดไปว่า:“ อย่างที่คุณชายลี่ได้พูดเอาไว้ ตอนนี้เคธี่อ้างเรื่องงานเพื่อเข้าหาคุณ หากเป็นเช่นนี้ งั้นเราก็หาวิธีที่ทำให้เคธี่เข้าหาคุณไม่ได้อีก ? ”
“แต่โครงการที่เธอนำเสนอมานั้นก็ค่อนข้างที่จะดีมากเลยนะ”
“แต่บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปก็ไม่ได้ต้องการมันขนาดนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”
เพื่อให้ฟั่นเพ่ย ช่วยเหลือเขา ลี่จุนถิงให้ซู่จี้งยี้บอกความลับของบริษัทที่ไม่ได้มีเนื้อหาสำคัญอะไรให้กับฟั่นเพ่ย
“ใช่ มันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรเท่าไร แต่มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ฝึกฝน”
“เพราะเหตุนี้ หากคุณให้โอกาสคุณเคธี่ไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าโอกาสต่อๆไปก็อาจจะเกิดขึ้นอีก เพราะโครงการนี้คุณเคธี่เป็นคนยื่นเสนอมาและเธอเองก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าคุณจะต้องให้ความสนใจ ”
หลังจากที่ฟังฟั่นเพ่ยพูดประโยคนี้ ลี่จุนถิงก็เข้าใจได้ในทันที
ก่อนหน้านี้เขาปวดหัวกับเรื่องของเคธี่อยู่ไม่น้อย เลยทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่าต้องเริ่มจากตรงนี้ ให้คุณเคธี่เลิกล้มความคิดที่จะร่วมงานกับคุณ หรือใช้โอกาสนี้ แต่ตอนนี้ก็เซ็นสัญญากันไปแล้ว คงจะยกเลิกกลางคันไม่ได้ แต่เราทำให้ฝั่งของคุณเคธี่ผิดสัญญามีปัญหาเองได้นี่ครับ แบบนี้เขาก็จะเอาผิดกับเราไม่ได้” ความคิดของฟั่นเพ่ยก็ค่อยๆเผยออกมา
ลี่จุนถิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สิ่งที่ฟั่นเพ่ยพูดมาก็มีเหตุผลไม่น้อย
“แล้วนายคิดจะทำยังไง?”
“ก็เล่นตุกติกนิดหน่อย ให้เธอไม่สามารถทำตามที่ระบุไว้ในสัญญาได้”