ตอนนี้สถานการณ์ของลี่จีถองไม่เอื้ออำนวยนัก เดิมทีก็ไม่คิดจะทำเรื่องโง่ๆอะไรแบบนี้ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว เกรงว่านี่คงเป็นเพียงแผนการเดียวที่มี ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่เธอวางแผนเอาไว้คงจะไม่สำเร็จเป็นแน่
และแผนของเธอก็คือการลักพาตัวถวนจื่อ
ตอนนี้เจียงหยุนเอ๋อได้รับการปกป้องดูแลอย่างดีจากลี่จุนถิง และลี่จุนถิงก็คงจะไม่ยอมให้ถูกหลอกง่ายๆอีกเป็นแน่ เพราะเหตุนี้เองลงมือกับถวนจื่อก็น่าจะง่ายที่สุด อีกอย่างเด็กตัวเล็กๆแบบนี้ คงจะพูดรู้เรื่อง และง่ายกับการควบคุมมากกว่า
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มุมปากของลี่จีถองก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย “ลี่จุนถิง แกบังคับฉันเองนะ! หากทำอะไรแกไม่ได้ งั้นฉันก็คงต้องมาจัดการกับลูกชายแกแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นอย่ามานึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ! ฉันจะให้แกได้ลิ้มรสชาติที่ลูกชายต้องมาถูกควบคุมเสียบ้าง !”
และเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ ถวนจื่อมีคนคอยรับคอยส่งทุกวัน แล้วไม่เข้าหาใครง่ายๆ พอกลับถึงบ้านก็ถูกรายล้อมไปด้วยคนดูแลมากมาย ไม่มีจังหวะที่จะลงมือได้เลย
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้ลี่จีถองหมดความสนุก หากต้องยอมแพ้ไปง่ายๆแบบนี้ เธอก็ไม่เต็มใจนัก คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากเฉินฉี
บางทีลำพังเธอคนเดียวคงไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์นั้นได้
ลี่จีถองหยิบเสื้อคลุมขึ้นมา แล้วเดินออกจากประตูไป เธอต้องปรึกษาหารือกับเฉินฉีให้รอบคอบ เพราะถวนจื่อมีบอดี้การ์ดคอยรับส่งอยู่ทุกวัน หากต้องการที่จะทำมันให้สำเร็จ ก็ต้องมองการณ์ไกล หากผิดพลาดขึ้นมามีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
……
ณ ห้องส่วนตัว
เมื่อได้ฟังความคิดของลี่จีถอง คิ้วของเฉินฉีก็ขมวดขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำให้ลี่จีถองเกิดความกังวล เธอกระตุกเสื้อของเฉินฉี“เฉินฉี นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเราแล้วนะ!เด็กคนนั้นเป็นจุดอ่อนของลี่จุนถิง ลักพาตัวเด็กไป เราก็จะสามารถควบคุมลี่จุนถิงไว้ได้ ไม่ใช่เหรอ? ”
เฉินฉีเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพ่นหายใจออกมา แล้วเอ่ยด้วยอาการนิ่งเรียบไปว่า “ฉันคิดว่าลี่จุนถิงต้องดูแลปกป้องลูกชายของเขาเป็นอย่างดี แล้วเราจะทำยังไง ? และเราเองก็ไม่มีแผนการที่รัดกุม ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ หรือคุณคิดว่ายังไง ? ”
“ฉันรู้คุณหมายถึงอะไร แล้วเราต้องทำยังไงกันละ ฉันมีความคิดนี้แล้ว หรือเอาแบบนี้ได้ไหม คอยตามสอดส่องดูกิจวัตรประจำวันของถวนจื่อไปก่อน จากนั้นก็หาจังหวะที่เขาเผลอ แล้วเราค่อยลงมือ เด็กน้อยนั่นก็อยู่ในกำมือเราแล้ว?” พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของลี่จีถองก็เปร่งประกายไปด้วยความสุข
เมื่อได้ยินที่เธอพูด เฉินฉีก็พยักหน้าเล็กน้อย:“ที่คุณพูดมามันก็มีเหตุผล แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรับประกัน คือแผนการนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น หากโดนจับได้ เกรงว่าต้องมีการนองเลือดเป็นแน่ เพราะฉะนั้นต้องละเอียดรอบคอบและระมัดระวังตัวให้ดี !”
“สบายใจได้ เรื่องนี้ฉันจะลงมือจัดการเอง ฉันจะลงพื้นที่สอดส่องด้วยตัวเอง สังเกตว่าเวลาไหนที่โรงเรียนหละหลวมกับเด็กนักเรียนมากที่สุด ฉันก็จะอาศัยจังหวะนั้นแสร้งเป็นผู้ปกครองเข้าไป แล้วลงมือทันที คุณคิดว่าแผนนี้เป็นยังไง?เมื่อได้รับความเห็นชอบจากเฉินฉี ลี่จีถองก็รู้สึกว่าแผนของเธอสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินฉีก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยพูดไปว่า “ ได้ยินคุณพูดมาแบบนี้ผมก็วางใจ จำไว้ว่าต้องระมัดระวังตัวให้ดี หากพบเห็นสิ่งผิดปกติก็รีบหลบออกมาทันที อย่าให้เขาจับพิรุธได้ เข้าใจไหม ? ”
“เข้าใจแล้วค่ะเข้าใจแล้ว ฉันจะระวังตัวให้มาก!”
ใบหน้าของลี่จีถองก็เผยรอยยิ้มได้มากขึ้น แววตาเธอมีประกายความปีติยินดี ดูเหมือนเห็นความสำเร็จอยู่รำไร
ร่างกายเฉินฉีก็สั่นไหว คิดว่าคราวนี้คงจะเอาชนะลี่จุนถิงได้สักที ในใจก็ยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อดไม่ได้ที่อยากจะลงมือทำมันทันที ความกังวลที่เคยมีมาก่อนหน้าก็มลายหายไปในพริบตา
……
หลังจากวันนั้นลี่จีถองก็คอยวนเวียนอยู่ในบริเวณโรงเรียนของถวนจื่อตลอด โดยเฉพาะเวลาที่ถวนจื่อเลิกเรียนก็จะเดินเข้าไปเพื่อสอดส่องดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตอนนี้เธอปล่อยตัวตามสบาย แต่งตัวไม่ให้ดูมีพิรุธอะไร และไม่ให้ผู้คนผิดสังเกตกับการกระทำของเธอ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีคนพบเห็นสิ่งผิดปกติ จึงได้แจ้งเรื่องไปที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยของโรงเรียน โดยหวังว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นความผิดปรกติที่เกิดขึ้น
“ช่วงนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมักจะปรากฏตัวขึ้นในบริเวณโรงเรียนช่วงเลิกเรียน โดยทุกวันฉันมักจะเห็นเธอ โดยเฉพาะเมื่อวานฉันเห็นเธอมีท่าทีลับๆล่อๆ เหมือนกำลังจ้องสังเกตเด็กคนหนึ่งอยู่ ฉันสงสัยว่าเธอมีจุดประสงค์ไม่ดี พวกคุณช่วยตรวจสอบด้วย!”
ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนตบโต๊ะขึ้นมาอย่างแรง แล้วพูดสิ่งที่ได้พบเจอมา คำพูดแฝงไปด้วยเจตนาที่ดี แววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเมื่อได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น เขาโบกมือไปมาอย่างไม่แยแส แล้วหัวเราะ “ผู้ปกครองท่านนี้ ผมว่าคุณคงจะดูผิดไปหรือเปล่าครับ ? เขาอาจจะมาธุระก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีหลักฐานจะพูดเหลวไหลแบบนี้ไม่ได้นะครับ!”
“ฉันจริงจังขนาดนี้จะพูดเหลวไหลได้ยังไง ? มันเป็นสิ่งที่ฉันเห็นจริงๆ และทุกวันเขาจะปรากฏตัวในสถานที่เดิมเวลาเดิม อีกทั้งยังสวมใส่หน้ากาก มันทำให้ฉันรู้สึกกังวล มีคนแบบนี้อยู่ ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กๆ !” เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการของโรงเรียนไม่เชื่อ สีหน้าของผู้ปกครองก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยพูดอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นว่าผู้ปกครองเริ่มไม่พอใจ หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยจึงโบกมือ แล้วอธิบายว่า“คุณเข้าใจผิดแล้วครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น เรื่องที่คุณแจ้งมาพวกเราให้ความสำคัญ เพียงแต่ว่าเราต้องตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน คุณวางใจได้ หากเราพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เราไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอนครับ !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ปกครองต่างก็มองไปยังผู้อำนวยการอย่างสงสัย สุดท้ายก็พยักหน้ารับแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง“ก็ได้ หากคุณรับปากแล้ว งั้นฉันจะรอคำตอบของคุณ จำไว้ด้วยว่า อะไรที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของโรงเรียนและเด็กนักเรียน พวกคุณต้องให้ความสำคัญ!ห้ามให้เด็กๆได้รับอันตรายเป็นอันขาด !”
หลังจากที่ผู้ปกครองแยกย้ายกันกลับไปแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยความสงสัยไปว่า :“ผอ. ครับ เรื่องนี้เราจำเป็นต้องจัดการไหมครับ ? เขาบอกว่ามันเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว เราต้องไปย้อนดูกล้องวงจรปิดถึงจะตรวจสอบได้นะครับ ”
“โอ๊ย จะไปตรวจเช็คทำไม หลังจากนี้ก็คอยจับตาดูนักเรียนหลังเลิกเรียนทุกวันก็พอ ยิ่งไปกว่านั้นเรามีคนเยอะแยะมากมายขนาดนี้จะเกิดอะไรขึ้นได้ ผู้ปกครองคนนั้นก็คงอยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ก็เท่านั้น รอให้ผ่านไปสักวันสองวันค่อยหาข้ออ้างมาพูดกับเขาก็จบแล้ว งานเราเองก็ยุ่งขนาดนี้ จะไปเอาเวลาที่ไหนมาจัดการกับเรื่องแบบนี้กัน!” ผอ.โบกมือไล่ แล้วพูดอย่างเอือมระอา
เมื่อได้รับคำแนะนำจากผอ. ทุกคนก็ไม่มีความเห็นอะไร แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ และก็ไม่มีใครเก็บมันมาใส่ใจอีก