บทที่ 495 จิตวิญญาณของเทพเจ้าที่แท้จริง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 495 จิตวิญญาณของเทพเจ้าที่แท้จริง

เงียบไม่พูดจาเป็นเวลานาน หลานเยาเยาเปิดปากอีกครั้ง

“รูปวาดนี้เป็นของเจ้า?”

เมื่อเห็นรูปวาดนี้ก็มีค่ามหาศาล ตอนแรกน่าจะไม่ใช่ส้งเย่นกุย ในใจมีความสงสัยมากมาย เช่น ทำไมส้งเย่นกุยถึงได้คิดให้นางดูภาพวาดนี้?

ภาพวาดนี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อมากมาย เป็นนางที่ไม่ยินยอมเชื่อ

“ไม่ใช่ขอรับ” ส้งเย่นกุยส่ายหัว นึกถึงพระที่มักจะยิ้มให้กับเขาอยู่เสมอนั้น

“เป็นพระคุณเจ้าหยวนซู เขาเอาภาพวาดรูปนี้เก็บไว้ที่ข้านี้ ให้ข้าเก็บซ่อนไว้ดีๆ ยังบอกว่ามีวันหนึ่ง จะมีเทพธิดาท่านหนึ่งผ่านที่นี่ ให้ข้าเอาภาพวาดภาพนี้คืนให้นาง ข้าคิดว่า ภาพที่เก็บซ่อนสิบกว่าปีแล้ว ควรจะคืนเจ้าของเดิมแล้วขอรับ”

ณ เวลานี้!

หลานเยาเยาเพิ่งนึกได้ ตอนนี้นางบอกส้งเย่นกุยว่านางเป็นเทพธิดา ท่าทางการแสดงออกของเขาตะลึงงัน

คาดว่าเขาก็คงไม่เชื่อว่าจะมีเทพธิดาท่านหนึ่งผ่านหมู่บ้านฝันฮั๋วแห่งนี้จริงๆล่ะมั้ง!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง……

ที่นี่นอกจากหมู่บ้านฝันฮั๋ว ก็เหลือเพียงทะเลทรายและทะเลทรายแล้ว ใครจะมาสถานที่ที่กันดารชนิดนี้?

มองดูส้งเย่นกุยม้วนภาพวาดขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นยื่นให้นาง นางไม่ได้รับ แต่หันหลังจากไป

ภาพนี้ไม่ใช่ว่านางไม่อยากรับ แต่นางรู้สึกว่าไม่สามารถรับได้ นางมีลางสังหรณ์ชนิดหนึ่ง รับแล้วสิ่งของมากมายจะต้องเปลี่ยนแปลง รวมถึงความสัมพันธ์ของนางและเย่แจ๋หยิ่ง

“เทพธิดา!”

ด้านหลังส้งเย่นกุยตะโกนเรียกนางเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเข่าสองข้างคุกเข่าลงบนพื้น ต่อจากนั้นจึงได้ยินเสียงของเขาดังมา

“ได้โปรดพาข้าไปเถอะ!”

นางก็คือผู้ที่ต้องการจะพาเขาไปผู้นั้นที่พระคุณเจ้าหยวนซูบอก ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า ในใจของเขาเกิดความรู้สึกที่รุนแรงชนิดหนึ่ง

จนรู้ว่านางคือเทพธิดา เขาจึงคิดได้อย่างฉับพลัน

ไม่ผิด ก็คือนาง!

“เจ้ามั่นใจ?”

คราวนี้ หลานเยาเยาไม่ได้หันกลับ สายตามองไปทางนอกประตู เวลานี้ สองสามคนที่วิ่งหนีไปก่อนหน้านี้ กำลังพยุงหัวหน้าหมู่บ้านที่สูงวัยยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ดวงตาของหัวหน้าหมู่บ้านสูงวัยแดงเล็กน้อย

……

วันที่สาม

หลานเยาเยาที่อยู่ภายใต้การจับจ้องของบรรดาผู้คน ใช้ยาสมุนไพรที่ส้งเย่นกุยเก็บมา ต้มเป็นยาน้ำชนิดหนึ่ง จากนั้นก็โรยลงในบ่อน้ำโบราณ

บ่อน้ำโบราณที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด น้ำในบ่อเปลี่ยนจากสีแดงสดและขุ่นมัวเป็นใสแจ๋วไร้ที่เปรียบ มองไม่เห็นร่องรอยของการโดยย้อมด้วยเลือดโดยสิ้นเชิง

คิดว่าเช่นนี้ หมู่บ้านฝันฮั๋วจะสามารถทนได้จนถึงครั้งหน้าที่น้ำแร่ทะลักออกมาแล้วล่ะ……

ต่อจากนั้นคนกลุ่มหนึ่ง เตรียมตัวพร้อมออกเดินทาง จากไปจากหมู่บ้าน

ส้งเย่นกุยยืนอยู่หน้าหมู่บ้าน นิ่งเงียบเป็นเวลานาน มองดูชาวบ้านทั้งหมดที่มาส่งคนออกเดินอย่างเงียบๆ เขาที่ไม่เคยยิ้มมาก่อนตอนอยู่ในหมู่บ้านได้ยิ้มให้บรรดาผู้คนอย่างจริงใจแล้ว

จากนั้นเขาคุกเข่าบนพื้น โขกหัวเสียงดังที่พื้นทำความเคารพสามครั้งอย่างหนักต่อชาวบ้าน

“ข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่าน”

หัวหน้าหมู่บ้านเดินขึ้นไปสองก้าว สายตาจดจ่ออยู่ที่ส้งเย่นกุย ด้วยตาแดงเล็กน้อยอีกครั้ง

“ขุนเขาเขียวน้ำใสมรกตทะเลทรายเหือดแห้ง ส้งเย่นกุยของสถานที่ลึกเข้าไปในฝันฮั๋ว เด็กดี หมู่บ้านฝันฮั๋วคือบ้านของเจ้าตลอดไป”

หลังจากนั้น

ส้งเย่นกุยติดตามหลานเยาเยาพวกเขาจากไปแล้ว หลังจากเดินแล้วหนึ่งร้อยเมตร ลมเย็นสายหนึ่งพัดมา หลานเยาเยาหันกลับไปมองหมู่บ้านฝันฮั๋วกะทันหัน

เห็นเพียงหัวหน้าหมู่บ้านตั้งใจแน่วแน่ไม่ให้คนข้างๆพยุง ร่างกายหลังค่อม ไล่ตามมาไกลมาก จากนั้นก็คุกเข่าลงหันมาทางพวกเขา โขกหัวทำความเคารพเสียงดังอย่างหนักสามครั้ง ชาวบ้านที่ตามอยู่ด้านหลังก็พากันคุกเข่าลงเคาะหัวทำความเคารพตามหัวหน้าหมู่บ้าน

ในดวงตาแต่ละคนล้วนเปล่งประกายด้วยน้ำตา……

หัวหน้าหมู่บ้านที่เคาะหัวแล้วสามครั้ง น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ดวงตาที่เปล่งประกายด้วยน้ำตา สะท้อนรูปเงาร่างคนที่เหลือความใหญ่เท่ากับนกกระจอก

“หัวหน้าหมู่บ้าน ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา……”

หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “นั่นถึงจะเป็นเส้นทางที่เขาควรจะเดิน!”

หลานเยาเยาพวกเขาที่ยืนอยู่ไกลๆ ยู่หลิวซูไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

“เจ้าสำนัก พวกเขาเป็นอะไรขอรับ? ไม่ใช่ว่าท่านแค่กำจัดเลือดในบ่อน้ำโบราณออกไปให้พวกขาหรือ ไม่ถึงกับต้องนำคนทั้งหมู่บ้านทำความเคารพอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้หรอกมั้ง?”

เห็นหัวหน้าหมู่บ้านที่สูงอายุคุกเข่าลง

หลานเยาเยาเหมือนกับว่าเข้าใจอะไรแล้ว เอาสายตาเคลื่อนไปยังส้งเย่นกุยที่อยู่ข้างกาย เอ่ยเบาๆ :

“พวกเขาไม่ได้คุกเข่าให้ข้า แต่คือคุกเข่าให้เขา ส้งเย่นกุยถึงจะเป็นจิตวิญญาณของเทพเจ้าในใจพวกเขา”

หลังจากที่หวางป้าคนอันธพาลตายไปเป็นคนสุดท้าย หัวหน้าหมู่บ้านกำหนดอย่างชัดเจนในหนึ่งคน แล้วคิดเชื่อมโยงที่ส้งเย่นกุยบอกก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาฆ่าเหล่าอันธพาลนั้นเป็นคนแรก ในหมู่บ้านก็ร่ำลือการเกิดปาฏิหาริย์ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

จากนั้นทุกครั้งที่เขาฆ่าคน ก็ถูกคิดว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เกิดปาฏิหาริย์ทั้งหมด ไม่มีชาวบ้านคนใดตั้งแง่สงสัย อีกทั้งชาวบ้านทุกคนก็ยังปฏิบัติตัวดีต่อส้งเย่นกุยเป็นอย่างมาก

ตอนนี้คิดดู……

ที่แท้พวกชาวบ้านล้วนรู้มาโดยตลอด ส้งเย่นกุยขจัดหายนะเพื่อชาวบ้าน แอบคุ้มครองพวกเขาเงียบๆ

ดังนั้น!

พวกเขาถึงได้อ้างชื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เคารพนับถือเขาดั่งจิตวิญญาณของเทพเจ้า

หลังจากนั้นสามชั่วยาม

อีกกองกำลังทหารกองใหญ่ ปรากฏตัวใกล้กับหมู่บ้านฝันฮั๋ว ผู้นำก็คือราชครูเทียนเวิงที่เส้นผมขาวซีดทั้งหัว สีหน้าเย็นยะเยือก แววตาโหดเหี้ยม

มองเห็นด้านหน้ามีเงาคนขี่ม้ามา รีบโบกมือให้บรรดาผู้คนหยุดลง

คนที่ขี่ม้าสวมชุดองครักษ์วังหลวง มาถึงด้านหน้าของราชครูเทียนเวิงอย่างรวดเร็ว คุกเข่าที่พื้นข้างหนึ่ง

“รายงานราชครู ด้านหน้าไม่ไกลก็คือเนินทะเลทรายลาดเอียง ผ่านที่นั่น ก็ถึงหมู่บ้านฝันฮั๋วแล้วขอรับ”

“หมู่บ้านฝันฮั๋ว?”

“ขอรับ! หมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีอยู่บนแผนที่ มันอยู่ข้างๆทะเลทราย ราวกับว่าเป็นดินแดนในอุดมคติ เทพธิดาพวกเขาพักอยู่ที่นั่นสามวัน เวลานี้ได้เข้าเขตทะเลทรายแล้วขอรับ” องครักษ์รายงานสถานการณ์อย่างละเอียด

“ไปบอกฮ่องเต้ของเจ้า หากว่าต้องการมีชีวิตรอด ยังก็ห้ามเล่นลูกไม้เด็ดขาด”

“ขอรับ!”

ข่าวสารได้แจ้งให้ทราบแล้ว องครักษ์ผู้นั้นรีบลุกขึ้น จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นม้า จากไปอย่างเร่งรีบ

รอจนกลุ่มคนของราชครูเทียนเวิง มาถึงเนินทะเลทรายลาดเอียงที่องครักษ์ผู้นั้นบอก มองเห็นลักษณะไกลๆดวงตาเหยี่ยวอันแหลมคมของราชครูเทียนเวิงก็หรี่ลงอย่างหนัก

คนสนิทที่อยู่ข้างกายกล่าวด้วยโทสะ :

“ชั่งบังอาจมากนัก ฮ่องเต้สุนัขที่ชีวิตดั่งมด คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกราชครู ราชครู ต้องการให้ข้าน้อยไล่ตามองครักษ์วังหลวงหรือไม่ขอรับ เอาคนฆ่าทิ้งซะขอรับ”

“ไม่ต้อง! เจ้าไปตรวจดูต้นไม้โบราณที่แห้งเหี่ยวหน่อย”

ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ยินดังนั้น รีบรับคำสั่งและจากไปทันที ผ่านไปนานก็ควบม้ากลับมาอย่างรวดเร็ว

“รายงานราชครู ที่นั่นคือต้นไม้แห้งเหี่ยวที่เก่าแก่มากต้นหนึ่ง ข้างล่างต้นไม่แห้งเหี่ยวเป็นบ่อน้ำเหือดแห้งเต็มไปด้วยทราย รอบๆมีกระดูกแห้งๆเป็นกอง บ้านพักที่เคยมีอยู่ได้พังทลายกลายเป็นดินตั้งนานแล้วขอรับ

แต่ว่า……”

“แต่ว่าอะไร?” ราชครูเทียนเวิงหรี่ตาลง

“แต่ว่า ที่ตำแหน่งตรงด้านหน้าข้าน้อยได้หาป้ายหมู่บ้านที่แตกหักพบ ด้านบนมีอักษรเลือนรางที่สามารถเห็นได้สามอักษร—หมู่บ้านฝันฮั๋วขอรับ!”

เมื่อผ่านการตรวจสอบดูเช่นนี้

สิ่งที่องครักษ์วังหลวงพูดเป็นความจริง ยังมีหมู่บ้านฝันฮั๋วอยู่จริง เพียงแต่……หมู่บ้านฝันฮั๋วนี้ไม่ใช่เหมือนกับดินแดนในอุดมคติ เป็นหมู่บ้านที่ตายไม่ฟื้นขึ้นมานานแล้ว

เพียงแค่…….

ทำไมองครักษ์ผู้นั้นบอกว่าหมู่บ้านฝันฮั๋วเหมือนดั่งดินแดนในอุดมคติ?

ยังบอกว่าเทพธิดาพวกเขาพักอยู่ที่นั่นสามวันถึงจะเข้าไปที่ทะเลทราย?

นี่ชั่งทำให้คนคิดไม่ตกจริงๆ!

ระหว่างที่บรรดาผู้คนสงสัย ราชครูเทียนเวิงกลับยิ่มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา

“ที่แท้หมู่บ้านฝันฮั๋วก็เคยมีอยู่จริง ดูท่าแล้วยาฉางตานก็อยู่ในทะเลทรายจริงๆ ออกเดินทาง!”

เขาสืบหายาฉานตานมาตลอดหลายสิบกว่าปี ใช้กำลังความคิดทั้งหมดทั้งชีวิตที่มี ต้องรู้จักหมู่บ้านฝันฮั๋วเป็นธรรมดา

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการแผ่นดินใหญ่นี้ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์เป็นต้นมา หลังจากฮ่องเต้พระองค์แรกกับนางฟ้าที่ตกลงมาโลกมนุษย์โดนบีบบังคับจนตาย หมู่บ้านจึงได้ปรากฏขึ้น

ว่ากันว่าก่อนที่ที่นี่ยังไม่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมายของสิ่งต่างๆเป็นขุนเขาเขียวน้ำใสมรกต ทิวทัศน์งดงามทั้งสี่ฤดู เป็นดินแดนในอุดมคติอย่างแท้จริง

และแผ่นดินใหญ่ตอนต้นผืนนี้เป็นฮ่องเต้พระองค์แรก เป็นสถานที่พบกับนางฟ้าที่ตกมายังโลกมนุษย์ ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยช่วงเวลาที่สวยงาม ก่อนจากไปทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาที่คิดอยากใช้ชีวิตอย่างธรรมดาคู่หนึ่งไว้ เป็นพวกเขาสร้างหมู่บ้านฝันฮั๋ว และใจกลางของหมู่บ้านฝันฮั๋วปลูกต้นนี้ไว้

ตอนนี้…….

การเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก

ฝันฮั๋วหายไป มีเพียงเถ้าธุลี