ตอนที่ 345 ข้าเอาของขายได้หรือไม่ (1)
แน่นอนว่า เทพธิดาที่มาที่นี่แต่ไม่อยากปรากฏกายก็คือ อวิ๋นเซียว
เฉพาะระดับปรมาจารย์เช่นนางเท่านั้นที่จะหลบหนีการตรวจจับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู จ้าวกงหมิงและคนอื่นๆ ในระยะทางห่างออกไปหลายสิบลี้
เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เทพธิดาอวิ๋นเซียวซ่อนตัวอยู่ที่นี่
หลี่ฉางโซ่วบังเอิญค้นพบร่องรอยของเทพธิดาด้วยการใช้ “เครื่องมือเทพ” แห่งเต๋าสวรรค์
เทพธิดาก็สัมผัสได้ในทันทีและเลิกซ่อนตัว จากนั้นก็บินตรงไปที่แท่นทะยานเมฆอย่างเปิดเผย
นางเพียงแค่ไม่อยากปรากฏกาย แต่ไม่ใช่ว่านางจะปรากฏออกมาไม่ได้
ในอากาศ หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปเหลือบมองดูนางเล็กน้อย และรู้สึกว่าเมื่อมองดูนางจากมุมนี้ในระยะไกล นางก็ยิ่งดู…
“ยินดีด้วย เทพแห่งท้องทะเล!”
ชายชราในชุดเสื้อคลุมแต่งงานก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่เมฆพร้อมด้วยเสียงหัวเราะลั่น เขานำเหล่าเจ้าหน้าที่และแม่ทัพแห่งศาลสวรรค์มาจำนวนมาก ซึ่งก้าวออกไปข้างหน้าพลางประสานมือคารวะให้หลี่ฉางโซ่วอย่างต่อเนื่อง
หลี่ฉางโซ่วละสายตาจากระยะไกล แล้วหันกลับมาประสานมือและโค้งคำนับให้บรรดาเซียนแห่งศาลสวรรค์ ทั้งหมดและเริ่มทักทายพูดคุยกัน
ในฐานะเป็นองค์เง็กเซียนแห่งศาลสวรรค์ ข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดสำหรับเขาคืออะไร?
ย่อมต้องเป็นเหล่าเทพและเซียนที่อยู่ภายใต้เขา จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรของตัวเองเพื่อเข้ายึดพลังอำนาจของเขา
แม้เขาจะทักทาย พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเหล่าเทพและเซียนอย่างสนุกสนาน แต่ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้โดยไม่ทำให้ผู้ใดขุ่นข้องหมองใจและไม่ผูกมิตรกับเซียนอื่นๆ นอกจากเทพเฒ่าจันทราเท่านั้น
เมื่อบรรดาเซียนทั้งหมดแสดงความยินดีเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพตงมู่ก็กลับมาบนเมฆอีกครั้งพลางแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เทพแห่งท้องทะเล ท่านควรจัดการกับเรื่องของโลกมนุษย์ก่อนจะได้หารือกันในหอทงหมิงภายในสามปี”
หลี่ฉางโซ่วโค้งคำนับและกล่าวว่า “วันนี้ข้าสามารถได้รับตำแหน่งเทพผู้ชอบธรรมที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ยังต้องขอบคุณแม่ทัพตงมู่ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้”
“เทพแห่งท้องทะเลเกรงใจไปแล้ว” แม่ทัพตงมู่แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “จากนี้ไปท่านและข้าจะเป็นเสนาบดี รับใช้ฝ่าบาทในหอเดียวกัน หากข้ากระทำการอันใดไม่เหมาะควรไป ยังต้องขอท่านช่วยเตือนข้าด้วย เทพแห่งท้องทะเล”
“แม่ทัพตงมู่กล่าวหนักไปแล้ว”
ทั้งเซียนชราจริงและปลอมคู่นี้ต่างมองหน้ากันแล้วยิ้มไปมาด้วย แต่ยังคงเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
เมื่อทำในสิ่งที่ต้องทำทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้น แม่ทัพตงมู่และบรรดาเซียนในศาลสวรรค์ก็กล่าวคำอำลา ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและนำเหล่าทหารสวรรค์และแม่ทัพสวรรค์กลับไปยังประตูสวรรค์ทักษิณ
นับแต่ต้นจนจบบรรดาเทพและเซียนทั้งหมดในศาลสวรรค์ล้วนถูกห่อหุ้มด้วยพลังแห่งเต๋าสวรรค์และได้รับการคุ้มครองจากเต๋าสวรรค์ นี่ก็นับเป็น ‘ข้อได้เปรียบ’ ที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่งของศาลสวรรค์เช่นกัน…
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็สังเกตสีหน้าท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเหล่าเซียนจากทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าอย่างระมัดระวังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่ได้เข้าถึงเท่าใดนัก
การบำเพ็ญเซียนมีไว้เพื่อให้อิสระและละวางความกังวล แล้วเหตุใดกฎแห่งสวรรค์จึงจำกัดเล่า?
บรรดาเซียนของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาปกปักษ์ของเหล่าจอมปราชญ์เทพแล้ว แน่นอนว่า พวกเขาย่อมไม่สนใจศาลสวรรค์
ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็อดจะนึกคิดขึ้นมาในใจถึงสาเหตุที่เห็นจากภายนอกของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นเพราะ ศิษย์ของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิ่งยโสและไม่เคารพต่อบัญชาขององค์เง็กเซียน ดังนั้นองค์เง็กเซียน จึงไปร้องเรียนและบ่นว่าที่วังเมฆม่วงเพื่อให้บรรพาจารย์เต๋าคัดเลือกจอมปราชญ์ของสามบรรพาจารย์สูงสุดแห่งเต๋าและให้สามบรรพาจารย์สูงสุดแห่งเต๋าลงนามในรายนามทะเบียนเทพ
นี่เป็นเฉกเช่นเดียวกับตัวอย่างของตี้ซิน หรือพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซางที่ทรงเขียนบทกวีดูหมิ่นเทพีหนี่วา เทพีหนี่วาจึงส่งปีศาจสามตัวมาจัดการด้วยความเดือดดาล” เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ ซึ่งภัยพิบัติก็ได้เริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว…
เมื่อบรรดาเซียนของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋าหมิ่นศาลสวรรค์ แน่นอนว่า พวกเขายังมีความเชื่อมั่นที่จะกระทำการเช่นนั้นอีกด้วย
ในทางกลับกัน ปรมาจารย์มังกรเหล่านั้นล้วนตื่นเต้น เหล่ามังกรเฒ่ามากมายต่างก็มีน้ำตาคลอเบ้าออกมาขณะจ้องมองไปที่มังกรครามตัวน้อยที่ม้วนตัวไปมาในหมู่เมฆและพายุฝนฟ้าคะนองมืดครึ้มนั้น
วันนี้ หลี่ฉางโซ่วก็จริงใจนัก เขาไม่ได้ลงไปรับแขกผู้ทรงเกียรติโดยตรง แต่ยืนนิ่งเงียบ ๆ ในอากาศและรอให้อ๋าวอี่ทำการแปลงร่างของเขาจนเสร็จสิ้น
เหล่ามนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนที่ด้านล่างล้วนคุกเข่าและก้มกราบกรานอย่างต่อเนื่อง บางคนคิดว่าเทพแห่งท้องทะเลกำลังจะจากพวกเขาไป บรรดาสตรี นับตั้งแต่หญิงชราวัยแปดสิบปีไปจนถึงสาวน้อยแรกรุ่นวัยสิบหกหรือสิบเจ็ดปี พวกนางทั้งหมดล้วนครวญคร่ำร่ำไห้อย่างขมขื่นและไม่เต็มใจ
โชคยังดีที่หลี่ฉางโซ่วส่งข้อความเสียงเพื่อเตือนทูตเทวะหมู่บ้านสงเอาไว้บ้างแล้ว เหล่าทูตเทวะจึงหยิบสองสามข้อความที่เป็นบทกวีปรับจากประโยคที่อ่านยากซึ่งหลี่ฉางโซ่วได้รวบรวมเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้ และเริ่มเผยแพร่ความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับศาลสวรรค์ทันที…
เทพแห่งท้องทะเลเพิ่งได้รับประทานรางวัลจากองค์เง็กเซียน ในภายภาคหน้าก็จะคอยปกป้องชายฝั่งทั้งสี่คาบสมุทร และดูแลชาวประมงที่ตกปลาทำมาหากิน
นอกจากนี้ ยังมีประกาศอีกว่าในอนาคต วิหารเทพทะเลจะแขวนรูปองค์เง็กเซียน องค์เง็กเซียน เป็นหัวหน้าของบรรดาเทพเซียน และปกครองดูแลบรรดาเทพเซียนทั้งมวล…
ไม่นาน เสียงร้องในพิธีเทพทะเลก็หายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้น เหล่าผู้คนต่างพากันชื่นชมยินดี และส่งเสียงร้องสรรเสริญองค์เง็กเซียน อย่างไร้ที่สิ้นสุด
เมื่ออ๋าวอี่พุ่งออกมาจากหมู่เมฆสีดำ ร่างมังกรยาวพันจั้งก็บินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วโฉบวูบลงมาหาหลี่ฉางโซ่วจากระดับความสูงเสียดฟ้าและลดขนาดร่างของเขาลงมาเหลือความยาวนับสิบจั้งก่อนจะร่อนลงบนพื้นและหยุดลงแทบเท้าของหลี่ฉางโซ่วอย่างแข็งขัน
มังกรครามร้องเรียกออกมาอย่างลึกซึ้งว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะเบาๆ เพื่อแสดงการปฏิเสธ แต่มังกรครามก็ยังดื้อรั้นขณะก้มหัวลงและวางหลี่ฉางโซ่วให้อยู่บนหัวของเขาโดยตรง
หลังจากนั้น มังกรครามก็พาหลี่ฉางโซ่วบินไปบนท้องฟ้า และดึงดูดมังกรนับพัน ให้ติดตามเขา บินข้ามทะเลทักษิณไปเป็นเวลานานอย่างเริงร่า
น่าเสียดายที่ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วสวมเสื้อคลุมยาว และไม่ได้สวมเกราะหรือหมวกที่แข็งแกร่ง ทั้งยังไร้ง่ามเหล็กสีทองอยู่ในมือ
ไม่เช่นนั้น ย่อมจะเข้าคู่กับย่อหน้า เกล็ดหิมะพลิ้ว ลมเหนือหวีดหวิว[1] ~ไปแล้ว…
ในเวลานี้ขอบเขตพลังของอ๋าวอี่เทียบเท่ากับผู้ฝึกบำเพ็ญมนุษย์ระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้ว
เรื่องนี้ทำให้หลี่ฉางโซ่วค่อนข้างอารมณ์ดี เผ่าพันธุ์ที่ต้องอาศัยสายเลือดเพื่อเพิ่มพูน เสริมความแข็งแกร่งนั้น ไม่ถูกต้องนัก
การฝึกบำเพ็ญของเผ่ามนุษย์นั้นต้องมีความเข้าใจและรู้แจ้งในเต๋าอันยิ่งใหญ่ขณะที่เผ่ามังกรเพียงต้องกระตุ้นสายเลือดของตัวพวกเขาเองเท่านั้น…
นี่เป็นความอิจฉาไร้ที่สิ้นสุด ข้าอิจฉาไม่ได้
หลังจากบินข้ามไปในท้องฟ้าเหนือทะเลทักษิณได้สักพักแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็กระโดดขึ้นไปบนก้อนเมฆในขณะที่ร่างมังกรของอ๋าวอี่สาดประกายแสงสีทองไปทั่วทุกที่ก่อนจะกลายร่างเป็นมนุษย์ และกระโดดไปที่ด้านข้างของหลี่ฉางโซ่วและฉีกยิ้มบานแฉ่งอย่างกระดากอาย…
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงยังเหมือนเดิมเมื่อเจ้าอยู่ในร่างมนุษย์?”
อ๋าวอี่ก้มศีรษะลงมองดูร่างที่อ่อนเยาว์ของเขา และยังสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “บางทีอาจเป็นเพราะฝันร้ายในวัยเยาว์ของข้าที่ยังไม่จางหายไป…”
“เอ่อ” หลี่ฉางโซ่วยกมือขึ้นตบไหล่อ๋าวอี่และกล่าวว่า “อย่าใส่ใจเรื่องนี้ให้มากนัก ร่างแบบนี้ก็ไม่เลวเลย อืม…อย่างน้อยๆ เจ้าก็ดูเด็ก”
บัดนั้น อ๋าวอี่ก็เงียบงันทันทีพร้อมกับมีเส้นสายสีดำปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากขณะที่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
นักพรตเต๋าชราหน้าเย็นชาในเวลานั้น ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด แม้อ๋าวอี่อยากพบ แต่ตอนนี้ก็ไร้ร่องรอยใด ๆ และหาเขาไม่พบเลย
ในขณะนั้น เหล่ามังกรแท้และมังกรวารีที่ติดตามหลังพวกเขา ได้บินไปที่พิธีเทพทะเลก่อน จากนั้นก็กลายเป็นร่างมนุษย์และเรียงแถวเพื่อเฝ้าปกป้องชายฝั่งทะเลทักษิณ
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ขี่เมฆ บินตรงไปที่พิธีพร้อมกับอ๋าวอี่
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก บัดนี้ เรามีตำแหน่งเทพแห่งศาลสวรรค์แล้ว เราควรทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ? ”
“เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่รอให้บิดาของเจ้าและคนอื่นๆ หารือกันเพื่อได้ข้อสรุปออกมาก็พอ”
“พระบิดาและพวกเขาน่าจะตัดสินใจได้แล้ว”
หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวว่า “อีกราวครึ่งปี ข้าจะไปรายงานต่อศาลสวรรค์ เจ้าจะไปที่นั่นด้วยกันหรือไม่?”
อ๋าวอี่พยักหน้าหงึกหงักพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านเรียกหาข้าได้ตลอดเวลาขอรับ!”
“ภาระบนบ่าของเจ้าจะหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “หากเจ้ามีปัญหา กังวลใจใด ๆ หรือหากไม่แน่ใจก็หารือกับข้าได้ตลอดเวลา อย่าเดินเข้าสู่ทางตันและดื้อรั้นดันทุรังมากเกินไป”
“ขอรับ” อ๋าวอี่แย้มยิ้มและตอบตกลง
รอยยิ้มของหนุ่มน้อยใสกระจ่างจนทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกละอายใจเล็กน้อย…
พิธีเทพทะเลยังคงดำเนินต่อไป
………………………………………………………………..
[1] ผู้เขียนปรับมาจากบทเพลงเหมยหนึ่งกิ่งซึ่งเป็นเพลงประกอบละครชื่อเดียวกันที่โด่งดังมากในยุค 1980 ขับร้องโดยเฟ่ยอวี้ชิง ซึ่งเนื้อหาเพลงต่อไปจะกล่าวถึงในทำนองว่าท่ามกลางแผ่นฟ้าผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล เหมยกิ่งหนึ่งยืนต้นอย่างองอาจกลางหิมะ