บทที่ 529 หลังจากสอบสิ้นสุดลง
สวี่ลู่ไป๋ลุกขึ้นเดินจากไป ทางด้านถังหลี่นางแยกกลับไปที่จวนอู่โหว
ตอนเย็นในวันนั้น
เว่ยฉิงกลับจากกรมอาญา เขารีบเดินตรงไปที่ลาน เห็นภรรยากำลังนั่งอยู่ ชายหนุ่มเดินไปหานางอย่างรวดเร็ว เขากอดและจูบที่แก้มของนาง ถังหลี่มองขึ้นไปบนฟ้า
“การสอบวันแรกของสวี่เจวี๋ยและจื่ออั๋งสิ้นสุดลงหรือยัง?” นางยังคงกังวลเกี่ยวกับมัน
“จบแล้ว” เว่ยฉิงกล่าว
ว่ากันว่าในห้องสอบนั้นเป็นห้องขนาดเล็กที่มีเตียงอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าเตียงจะนุ่มไหม? นางอยากให้ลูกทั้งสองคนได้พักผ่อนอย่างสบาย
ทันใดนั้นถังหลี่ได้กลิ่นและถูกดึงดูดด้วยถุงกระดาษในมือของเว่ยฉิง เมื่อเปิดออกจึงพบกับลูกบ๊วยอยู่ด้านใน
“ข้าซื้อมันมาจากไป๋เว่ยฟาง” เว่ยฉิงกล่าว
ไป๋เว่ยฟางเป็นร้านขายขนมที่มีชื่อเสียง ตอนที่เขานั่งรถม้าผ่านเขาก็นึกได้ว่าภรรยาของเขาชอบกินรสเปรี้ยว ถังหลี่หยิบมาหนึ่งชิ้นใส่ในปาก รสเปรี้ยวอมหวานฟุ้งอยู่ในมาก อร่อยมาก เว่ยฉิงมองภรรยาหรี่ตาถาม
“ฮูหยินเจ้าชอบอาหารรสเปรี้ยวแบบนี้ ลูกในท้องจะเป็นเด็กดื้อหรือเปล่า?”
ลูกของเขาจะเป็นเด็กดีหรือเด็กดื้อ?
จะขี้อายเหมือนจ้วงจ้วงไหม? หรือจะดื้อรั้นเหมือนเอ้อร์เป่า? หรือจะฉลาดอย่างต้าเป่า?
ด้วยความรักที่บิดามารดาและพี่น้องของเขามีให้ เขาจะต้องเติบใหญ่อย่างแข็งแรงและมีความสุขอย่างแน่นอน เว่ยฉิงจะทำของเล่นเล็กๆ ให้เขามากมาย เมื่อโตขึ้นเว่ยฉิงจะพาเขาไปจับปลาในแม่น้ำ พอเขาโตขึ้นอีกนิด เขาจะสอนให้ลูกขี่ม้า …
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เว่ยฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ถังหลี่มองชายตรงหน้าเขายิ้มราวกับคนโง่ นางส่ายหัวไปมา
เมื่อเร็วๆ นี้เขาชอบทำตัวโง่เขลา ไม่รู้ว่ายินดีอะไรนักหนา
ถังหลี่เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง ใบหน้าของเว่ยฉิงเคร่งเครียดขึ้นทันที เขากำมือแน่นกล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายลูกชายของเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาที่เฉียบแหลมของภรรยา ผลที่ตามมาคงเลวร้ายมาก วันนี้เขาน่าจะลางานไปส่งเด็กทั้งสองด้วยตัวของเขาเอง เว่ยฉิงรู้สึกโกรธมาก ถังหลี่จับมือของสามีไว้อย่างปลุกปลอบ
“สามีข้าไปร้องเรียนที่ศาลต้าหลี่แล้ว พี่ใหญ่จะเป็นคนตามหาคนร้ายเอง”
ชายหนุ่มมองหน้าภรรยาเชาพยักหน้า แต่เขายังคงโทษตัวเองอยู่ไม่ได้
“สามี มีข้าและฉือซื่ออยู่ด้วย พวกเราจะไม่ปล่อยให้คนร้ายทำสำเร็จอย่างแน่นอน”
“ในวันที่สอบเสร็จ เราจะไปรับลูกด้วยกัน”
เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนซบศีรษะไปไหล่ของภรรยา พยักหน้ารับ
สามวันต่อมา
ถังหลี่และเว่ยฉิงรวมถึงเถ้าแก่เนี้ยฮวาและเฉาจีต่างมารออยู่ที่นอกห้องสอบ พวกเขายืดศีรษะเพื่อดูผู้เข้าสอบที่ออกมาทีละคน หลายคนมีท่าทีหดหู่และท้อแท้
“การสอบครั้งนี้ยากเกินไป”
“ใช่แล้วยากกว่าครั้งก่อนมาก ข้าคิดอยู่นานกว่าจะเขียนตอบลงไปได้”
“ข้าทำเวลาได้ไม่ดี ยังเขียนไม่เสร็จเลย”
ผู้สมัครพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในไม่ช้าถังหลีก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของทั้งสามคนเดินเคียงข้างมาด้วยกัน นั่นคือสวี่เจวี๋ย เว่ยจื่ออั๋งและจั๋วชู เว่ยฉิงตะโกนเรียกพวกเขา เด็กหนุ่มสามคนที่กำลังพูดคุยกันหันมามอง ถังหลี่เห็นผู้สมัครคนอื่นจึงถามพวกเขา
“ยากมากไหม?”
“ง่ายมาก” เว่ยจื่ออั๋งตอบ
“ใช่แล้ว ข้าเขียนเสร็จก่อน เวลาที่เหลือไม่รู้จะทำอะไร” สวี่เจวี๋ยว่า
“ใช่ ข้าคิดว่าน่าจะใช้เวลานานกว่านั้น” เว่ยจื่ออั๋งเห็นด้วยอย่างมาก
ระหว่างที่สนทนากันอยู่เสียงของพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดี
แววตาของผู้เข้าสอบเต็มไปด้วยความตกใจและขุ่นเคือง ถังหลี่รีบพาเด็กๆ ออกจากฝูงชน นางรู้สึกว่าคำพูดของลูกชายทั้งคู่ดูน่าหมั่นไส้ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กคนอื่นคงได้พุ่งมาทำร้ายเขาแน่
ถังหลี่มีความสุขมากที่ทั้งสองคนทำได้ดี และผลการทดสอบในครั้งนี้ย่อมเป็นไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
“แม่จะกลับไปทำอาหารให้ลูกกิน”
ช่วงเวลาสองสามวันในห้องสอบ พวกเขาคงกินข้าวไม่อร่อย ดูเหมือนน้ำหนักลดไปด้วย นางจึงต้องการชดเชยให้พวกเขา เว่ยฉิงรีบเข้ามา ภรรยาของเขากำลังตั้งท้องอยู่เขาจะปล่อยในนางเหนื่อยได้อย่างไร?
“ข้าทำให้เอง”
เว่ยจื่ออั๋งชำเลืองมองเขา เมื่อคิดถึงฝีมือการทำอาหารของท่านพ่อแล้ว…
“ท่านพ่อให้คนอื่นทำเถอะขอรับ”
“ไอ้เด็กบ้า เจ้ากล้าดูถูกพ่อเจ้าได้อย่างไร?” เว่ยฉิงจ้องเขม็ง ใบหน้าของเว่ยจื่ออั๋งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านพ่อ ข้าแค่เกรงว่าท่านจะเหนื่อย”
“เจ้าไม่ได้กลัวพ่อเหนื่อย เจ้ากำลังดูถูกบิดาต่างหาก”
เมื่อเห็นว่าเว่ยฉิงกำลังโมโหถังหลี่ก็บีบแขนเขาและพูดเบาๆ
“สามี สำรวมหน่อย”
เว่ยฉิงรีบพูดทันที “ลืมไป เจ้าแค่ไม่โชคดีพอที่จะได้กินฝีมือของพ่อเจ้า”
ทั้งครอบครัวเดินหัวเราะกลับไปที่จวนอู่โหว
…..
ในช่วงเวลาสามวันของการสอบ ศาลต้าหลี่ยังคงสืบสวนกรณีที่ศิษย์ถูกใส่ร้ายว่าทุจริต สามวันมานี้ศาลต้าหลี่ค้นพบเบาะแสหลายอย่าง
พวกเขาได้คุยกับคนคุมสอบและพบว่าลายมือในโพยกระดาษที่ถูกพบในกล่องพู่กันของลู่ไป๋เป็นคนละลายมือกับกระดาษสองแผ่นที่ถังหลี่มอบให้
โพยทั้งสามแผ่นนี้น่าจะถูกเขียนขึ้นจากคนสองคนอย่างแน่นอน ศาลต้าหลี่จึงเริ่มสืบจากเบาะแสนี้
พวกเขาไปตามร้านตำราใหญ่ๆ เปรียบเทียบลายมือทีละเล่ม ในที่สุดก็พบว่าเป็นลายมือของบัณฑิตสองคน ทั้งสองคนนี้เข้าสอบหลายครั้งแต่ยังไม่ผ่านการสอบ จึงหาเลี้ยงชีพด้วยการคัดลอกตำรา มีการคัดลอกตำราหลายเล่มเนื้อหาไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
พวกเขาสามารถบอกชื่อหนังสือที่คัดลอกได้ ซ้ำยังบอกชื่อคนที่คัดลอกให้อีกด้วย
สุดท้ายแล้วก็พบว่าคนที่ทำคือศิษย์จากฉิงโจว ฉู่จิ้น!
เมื่อรวมกับคำพูดของสวี่ลู่ไป๋แล้วในรายชื่อผู้ต้องสงสัย ฉู่จิ้นมีความน่าสงสัยมากที่สุด! เจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่ไปคุมที่หน้าห้องสอบ จับกุมเขาทันทีที่เขาออกมา!
ฉู่จิ้นกำลังหยอกล้อกับศิษย์คนอื่นๆ เขารู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีในการสอบครั้งนี้ และอาจจะได้ลำดับหนึ่งก็เป็นได้ แต่ใครเลยจะคิดว่าจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดมาจับข้า! ข้าเป็นบัณฑิตที่เข้ามาสอบ เหตุใดมาจับกันมั่วซั่วแบบนี้!” ฉู่จิ้นพูดเสียงดัง
“พวกข้ามาจากศาลต้าหลี่ เจ้าเป็นผู้ต้องสงสัยว่าใส่ร้ายผู้อื่นทุจริตข้อสอบ” เจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่กล่าว
สิ้นคำพูด ขาของฉู่จิ้นก็อ่อนแรงจนเกือบทรุดลงไปกับพื้น
เป็นไปได้อย่างไร? เขาทำอย่างรอบคอบดีแล้ว!
ฉู่จิ้นถูกพาตัวไปยังศาลต้าหลี่ทันที หลังจากการสอบสวนฉู่จิ้นจึงได้สารภาพออกมาจนหมดสิ้น
โพยเหล่านั้นเป็นของเขา เขาฉวยโอกาสไปยัดให้คนอื่นเพื่อกล่าวหาว่าพวกเขาทุจริต เขาแอบยัดโพยให้สวี่ลู่ไป๋เพราะเห็นว่าสวี่ลู่ไป๋เป็นศิษย์จากฉิงโจวและทำได้ดีกว่าตัวเอง
เขาอิจฉามาก รู้สึกว่าสวี่ลู่ไป๋จะแย่งตำแหน่งของเขา จึงยัดโพยให้เขาเพื่อที่สวี่ลู่ไป๋จะได้ถูกตัดสิทธิ์ในการสอบครั้งนี้!